Skip to content

สู่วิถีอสุรา 524

ตอนที่ 524 สิ่งนั้นมันไม่จริง

หยามู่เดินเข้าไปคุยกับเจ้าของสายตาเหล่านั้น ซูหมิงเดินออกจากวงแหวนอาคมด้วยสีหน้าสงบนิ่ง มองดวงตะวันบนท้องฟ้า ชั่วขณะที่หรี่ตา ดวงตะวันในสายตาเขาค่อยๆ โปร่งใส เผยวงแหวนอาคมที่สร้างขึ้นจากหินวิญญาณเกือบหนึ่งร้อยก้อนภายใน

การใช้งานวงแหวนอาคมนี้คือปล่อยแสงสว่าง ปล่อยความร้อน ให้ความรู้สึกเหมือนมองดวงตะวันจริงๆ

ท้องฟ้าสีครามในสายตาซูหมิงก็ค่อยๆ ถูกเปิดออกทีละชั้น เผยให้เห็นน้ำทะเลสีดำทึบด้านหลัง นี่คือม่านแสงเกราะป้องกัน บางทีอาจมีผลอำพรางที่โลกภายนอก ทว่าภายในมันเป็นท้องฟ้าคราม

นี่คือหมู่เกาะที่จมลงใต้ทะเลลึก เดิมทีมันอาจอยู่ข้างบน แต่มีคนใช้วิชาบางอย่างกดมันลงมา ที่นี่จึงตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ว่าคนแดนรกร้างบูรพาจะหาอย่างไรก็ยากจะหาเจอ

ซูหมิงขยายจิตสัมผัสผ่านทั้งเกาะบึงใต้ในชั่วพริบตา ภายใต้การขยายจิตสัมผัส เขาตรวจพบจุดสองจุดที่มีระลอกคลื่นรุนแรง ในระลอกคลื่นสองจุดนี้ซูหมิงคุ้นเคยอยู่หนึ่ง มันมาจากจงเจ๋อ อีกหนึ่งจุดปั่นป่วนเล็กน้อย ทว่าก็ยังแข็งแกร่ง ดูจากพลังในระลอกคลื่นแล้วคือจุดสูงสุดของขั้นวิญญาณหมานตอนกลาง เหมือนว่าอีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ตอนปลาย!

บางทีอาจกล่าวได้ว่าอีกครึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ประตูของขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย

วินาทีที่ซูหมิงตรวจพบระลอกคลื่นสองจุดนี้ พวกเขาก็สังเกตเห็นซูหมิงเช่นกัน ระลอกคลื่นสองจุดพลันแผ่ขยายมา ทว่ายังไม่ทันค้นหา จิตสัมผัสของซูหมิงก็หายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย หาไม่เจออีก

เวลานี้ ณ ยอดเขาสองจุดตรงจุดสูงสุดของเทือกเขา ภายในถ้ำของยอดเขาทางซ้าย จงเจ๋อที่มีผมยาวพลันลืมตาขึ้นในห้องลับ นัยน์ตาเขามีประกายวาบผ่าน อีกทั้งยังลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาอยู่นอกถ้ำในชั่วพริบตา เขายืนอยู่บนยอดเขา เสื้อคลุมยาวทั้งตัวปลิวไสว สองมือไพล่หลัง มีสีหน้าจริงจัง สายตามองไปยังแผ่นดิน

“กลิ่นอายพลังแกร่งมาก…ดูท่าคงจะมีแขกมาเยือน” จงเจ๋อพึมพำเบาๆ รูปร่างหน้าตาเขาไม่ได้ต่างจากในตอนนั้นมากนัก เพียงดูผ่านโลกมากขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งในตัวเขายังซ่อนพลังความตายเอาไว้

แทบจะเป็นช่วงที่จงเจ๋อเดินออกมา ภายในถ้ำยอดเขาทางขวา ถ้ำนี้หรูหรายิ่งนัก เต็มไปด้วยของล้ำค่า อีกทั้งยังมีเสียงเสพกามหอบหายใจดังก้องในถ้ำ

ห้องส่วนตัวในถ้ำนี้มีชายเปลือยกายทั้งตัวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ทั้งตัวเป็นสีทองแดงโบราณ ไม่มีผม สีหน้าเย็นชา ไม่มีความอารมณ์ความรู้สึกใดๆ

รอบตัวเขามีสตรีเปลือยกายเจ็ดคน สตรีเจ็ดคนนี้กอดร่างเขาเอาไว้ แต่ละคนมีสีหน้าหลงใหลร้อนรุ่ม พวกนางบิดตัวปานอ้อนวอน ทั้งยังหอบหายใจก้อง ชวนให้คนฟังยากจะควบคุมตัวเอง

สตรีเจ็ดคนล้วนมีใบหน้างดงามมาก โดยเฉพาะผิวกายแดงๆ ในตอนนี้ ยิ่งเต็มไปด้วยแรงดึงดูดอันน่าตะลึง

วินาทีที่ซูหมิงกวาดจิตสัมผัสมา ชายหัวโล้นที่กำลังหลับตานั่งณานพลันลืมตาขึ้น หน้าเปลี่ยนอารมณ์ ก่อนขยับวูบไหวออกจากถ้ำทั้งๆ ที่ยังเปลือยกาย ช่วงที่มาปรากฏอยู่กลางอากาศ บนตัวเขาก็มีเสื้อคลุมยาวสีขาวเพิ่มมาหนึ่งชั้น

เขายืนอยู่กลางอากาศ หลังจากสบตากับจงเจ๋อไกลๆ แล้วก็มองด้านล่างพร้อมกัน

“หาคนผู้นี้ไม่พบ เขาเป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าเชมันของเจ้ารึ?”

“อีกฝ่ายแค่ปล่อยกลิ่นอายพลังผ่านไป ยากจะมองออก” จงเจ๋อที่อยู่ไกลๆ มีสีหน้าสงบนิ่ง กล่าวคำเนิบช้า

“ปิดวงแหวนอาคม ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใคร เขาต้องปรากฏตัวแน่!” ชายหัวโล้นตรึกตรองชั่วครู่แล้วก็กล่าวอย่างเย็นชา

วินาทีที่จงเจ๋อกับชายหัวโล้นตรวจหากลิ่นอายพลังของซูหมิง ซูหมิงที่ยืนอยู่นอกวงแหวนอาคมปานไม่มีตัวตน จงเจ๋อกับชายวัยกลางคนหัวโล้นตรวจไม่พบ

‘เคล็ดปิดกลิ่นอายพลังของเผ่าเซียนวิเศษจริงๆ’ ซูหมิงค่อยๆ คลายสัญลักษณ์นิ้วที่มือขวา

ยามนี้หยามู่กับจื่อเยียนไม่รู้เรื่องราวเมื่อครู่แม้แต่น้อย หลังจากอธิบายกับเจ็ดแปดคนนั้นแล้วก็เดินมาอยู่ข้างซูหมิง

“ผู้อาวุโสซู ข้าจะพาท่านไปหาศิษย์น้องหญิงฟาง” จื่อเยียนกล่าวเสียงเบา

“ไม่ต้อง ข้าจะไปเอง” ซูหมิงกล่าวเสียงเรียบก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าว ร่างเงาพลันหายวับไปจากจุดเดิม

จื่อเยียนอึ้งงัน จากนั้นมีสีหน้าห่อเหี่ยวเล็กน้อย นางมองเทือกเขาไกลๆ พลางพึมพำเสียงที่มีเพียงตนได้ยิน

“ชางหลัน เขามาแล้ว…เทียบกับข้าแล้วเจ้าช่างโชคดี ทว่าข้าไม่เสียใจกับการตัดสินใจในตอนนั้น หากอยากมีชีวิตต่อไป ในพวกเราสองคนจะต้องมีคนหนึ่งยอมจ่ายอย่างมหาศาล…” ในใจจื่อเยียนขมขื่นเล็กน้อย มีสีหน้าซับซ้อนและหมองหม่น นางนึกถึงร่างที่พอเห็นนางแล้วจะชอบเอียงใบหน้าให้แสงตะวันส่องสะท้อน และคิดว่าตัวเองนั้นงามสง่านัก…ขณะนึกไปนึกมา ด้านหลังนางก็มีโอบกอดอบอุ่นเพิ่มเข้ามา

“จื่อเยียน…” เสียงหยามู่ดังขึ้นอย่างอบอุ่น

เสียงนี้และอ้อมกอดนี้ตัดอารมณ์ของนาง แม้นี่จะไม่ใช่อ้อมกอดที่นางชอบ ทว่ามันก็ให้ความอบอุ่นอย่างที่นางไม่เคยมีมาก่อน ความอบอุ่นนี้ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความซาบซึ้งใจอย่างหนึ่ง

ตรงหางตาจื่อเยียนมีน้ำตาไหลริน หลังจากนางเช็ดแล้วก็หันไปมองหยามู่ เผยรอยยิ้มบางชวนให้ไหวหวั่น

“จื่อเยียน ข้าจะปกป้องเจ้า แม้ว่าโลกนี้จะดับสูญ แม้ว่าข้าต้องตาย วิญญาณข้าจะอยู่ข้างเจ้า และใช้ทุกอย่างของข้าเพื่อปกป้องเจ้า…

ข้ารู้ว่าเจ้าเพียงแค่ไม่รังเกียจข้า แต่ก็ไม่ได้ชอบพอข้า…ทว่าข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะเปลี่ยนความคิด” หยามู่กอดจื่อเยียน พึมพำกับตัวเองเบาๆ อย่างจริงจัง

เพียงแต่แม้จื่อเยียนในอ้อมกอดจะยิ้มน้อยๆ น้ำตาตรงหางตาก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความซับซ้อน แม้หยุดไหลแล้ว ทว่าเมื่อมันหยดลงในใจนางก็กลับกลายเป็นร่างเงาใต้แสงตะวันในตอนนั้น

“โลกใบนี้ไม่มีถ้าหาก…ร่างกายต้อยต่ำอย่างข้าก็ไม่มีถ้าหาก…” จื่อเยียนหลับตาลง เพราะการปรากฏตัวของซูหมิง ความทรงจำที่ถูกผนึกไว้จึงยากจะฝังลึกลงไปอีกครั้ง

……………..

ดวงตะวันเทียมบนท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง กลายเป็นสีแดงของตะวันยามเย็น หากใช้เพียงตาเนื้อไม่ใช้จิตสัมผัสคงมองไม่ออกว่ามันเป็นของปลอม

ยามเย็นนี้ บนที่ราบทุ่งหญ้าสีเขียวปรากฏเงาของเทือกเขา บนยอดเขาแห่งหนึ่งกลางเทือกเขานี้มีเรือนพักอยู่หลังหนึ่ง

ในเรือนพักนี้เรียบง่ายแต่ดูงดงามมาก ไม่มีเครื่องเรือนตกแต่งอะไรมากนัก ท่ามกลางดวงตะวันยามเย็น แสงสุดท้ายส่องลงมา ย้อมทุกอย่างให้เป็นสีแดงส้ม ในเรือนนี้เดิมทีมีคนอยู่สองคน ทว่าสองปีก่อน จื่อเยียนถูกส่งไปอยู่กับหยามู่ ที่นี่จึงเหลือสตรีเพียงคนเดียว

สตรีผู้นี้อายุราวสามสิบปี บนใบหน้าไม่มีร่องรอยของกาลเวลามากนัก บางทีอายุจริงๆ ของนางอาจไม่น้อยแล้ว ทว่าด้วยนิสัยรักสงบ เหมือนว่าแม้แต่เวลายังถอนหายใจให้ ไม่ยอมจดจำนางเอาไว้

นางนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง มองดวงตะวันบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ มองสีของอาทิตย์ยามเย็น มองท้องฟ้าสีคราม แสงตะวันสาดส่องใบหน้านาง ดูงดงามยิ่งนัก

กระทั่งภายใต้แสงตะวันยังเห็นขนอ่อนๆ บนใบหน้านาง ความอบอุ่นนุ่มนวลในความสงบทำให้คนมองเห็นแล้วต้องเกิดความรู้สึกอยากปกป้อง

“อาจารย์ เหตุใดต้องทำเช่นนี้”

“หลายปีมานี้ท่านอวิ๋นไหลดีกับท่านมาก และก็ดีกับข้ามากเช่นกัน ท่านตอบรับเขาไปก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

“อีกอย่างท่านอวิ๋นไหลเคยบอกว่าขอแค่ท่านตอบรับเขา เขาจะให้ท่านทะลวงขั้นพลังในตอนนี้ทันที จะได้เข้าสู่เซ่นไหว้กระดูกตอนกลาง และข้าก็จะได้เป็นบุตรบุญธรรมของเขาด้วย”

“กระทั่งตำแหน่งของข้าในเกาะบึงใต้จะสูงขึ้นอีกไม่น้อย หากได้รับยอดวิชาจากท่านอวิ๋นไหลมา ชีวิตนี้ข้าจะต้องมีโอกาสข้ามสู่ขั้นวิญญาณหมานแน่ อาจารย์ ท่านอย่าดึงดันไปเลย”

ภายในเรือนแห่งนี้ ช่วงที่สตรีผู้นั้นมองดวงตะวันยามเย็น เสียงโน้มน้าวยังคงดังอยู่ตลอด ในน้ำเสียงนี้มีความร้อนใจ คนที่กล่าวเป็นเด็กหนุ่มข้างกายนาง อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี

“ให้ข้าอยู่เงียบๆ สักครู่” ขณะเด็กหนุ่มกำลังกล่าว สตรีผู้อ่อนโยนขมวดคิ้วพลางเอ่ยเสียงเบา แม้แต่คำพูดยังอ่อนแรงราวกับว่าในตัวนางไม่มีอารมณ์ใดๆ

“อาจารย์! ข้าไม่เข้าใจว่าท่านคิดอะไรอยู่ ก่อนและหลังภัยพิบัติหลายปีมานี้ พวกเราก็ลำบากมามากแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะมาเจอท่านอวิ๋นไหล เขาสนใจท่าน เหตุใดท่านต้องปฏิเสธ?

ตอนนั้นอาจารย์อาจื่อเยียนก็ไม่ปฏิเสธและยังยอมรับในทันทีด้วย ข้ารู้ว่านางปกป้องท่าน แต่ท่านเห็นความทุกข์ของนางในช่วงหลายปีมานี้หรือไม่ ท่านไม่คิดจะตอบแทนนางบ้างรึ?” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างร้อนรน ทั้งยังเสียงแหลมขึ้นเล็กน้อย

หญิงผู้นั้นตัวสั่น กัดริมฝีปากเอาไว้

“ด้วยขั้นพลังของท่านอวิ๋นไหล สตรีคนใดเขาก็ไม่สนใจ เพียงแต่ว่าเขาเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ชอบใช้กำลังบีบบังคับ อยากให้ยอมปฏิบัติตามเขามากกว่า มิเช่นนั้นแล้วด้วยขั้นพลังของท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าจะปฏิเสธท่านอวิ๋นไหลได้อย่างนั้นรึ!”

เด็กหนุ่มกล่าวต่อ เสียงแหลมขึ้นอีก

ขณะนางตัวสั่นไหวก็ค่อยๆ หันมามองเด็กหนุ่ม

“ท่านอวิ๋นไหลยังเป็นผู้ปกป้องเกาะบึงใต้ ให้พวกเรามีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย คนแบบนี้ท่านมีสิทธิอะไรไม่เชื่อฟังเขา ต่อให้เป็นหญิงบำเรอของเขาแล้ว…” เด็กหนุ่มยังกล่าวไม่จบ สตรีคนนั้นก็ยกมือขวาขึ้นตบหน้าเขาอย่างแรง

เด็กหนุ่มโซเซถอยหลัง เงยหน้าจ้องอาจารย์ของตนแล้วตะโกนเสียงดัง

“ท่านไม่คิดเผื่อตัวเองก็คิดเผื่อข้าบ้าง ข้าอยากเป็นบุตรบุญธรรมของท่านอวิ๋นไหล ข้าอยากเรียนวิชาของท่านอวิ๋นไหล!”

นางมองเด็กหนุ่มตรงหน้า มองใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวโกรธ ในใจนางเจ็บปวดรวดร้าว แม้ในช่วงหลายปีมานี้ ศิษย์ของนางจะพูดเช่นนี้มาตลอด ทว่าตอนนี้กลับทำเสียงแหลมจนนางรู้สึกไม่คุ้นชิน

นางมองเด็กหนุ่ม ใบหน้าอีกฝ่ายในสายตานางดูคุ้นเคย คล้ายคลึงกับบุคคลนั้นในความทรงจำนางอยู่รางๆ เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนางรับเด็กคนนี้เป็นศิษย์

“ข้าจะสนับสนุนเจ้า ข้าตกลง หลังจากเป็นบุตรบุญธรรมของอวิ๋นไหลแล้ว จากนี้ไปเจ้าจะไม่ใช่ศิษย์ของข้าอีก” สตรีนางนั้นหลับตา สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

เด็กหนุ่มตะลึงงัน จากนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ รีบวิ่งออกจากเรือนพัก เห็นได้ชัดว่าจะไปแจ้งกับอวิ๋นไหลบิดาบุญธรรมในอนาคตของเขา

ฝีเท้าที่จากไปของเด็กหนุ่มทำให้ใจนางเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองตะวันยามเย็นอยู่นาน เนิ่นนาน…

“สิ่งนั้นมันไม่จริง” ด้านหลังนาง ยามนี้มีเสียงถอนหายใจดังแว่วเข้ามา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version