ตอนที่ 529 ที่ที่ศิษย์พี่ใหญ่ไป
บนผิวทะเล เมื่อเกาะบึงใต้ลอยขึ้นมา น้ำทะเลไหลทะลักสู่รอบๆ ภายในม่านแสงบนเกาะ ชาวเผ่าหมานและเชมันเงียบมองซูหมิงกับจงเจ๋อบนท้องฟ้า
จงเจ๋อยกมือขวา ในมือปรากฏแผ่นหยกบันทึกหนึ่งม้วนแล้วสะบัดไปทางซูหมิง แผ่นหยกบันทึกนี้กลายเป็นเส้นโค้งตรงมาด้านหน้า เมื่อเขารับเอาไว้แล้วก็เพ่งมองอย่างจริงจัง ข้างในเป็นแผนที่ง่ายๆ แดนอรุณใต้บนแผนที่มีแผ่นดินเล็กๆ อยู่สามส่วน ระหว่างแผ่นดินมีทะเลมรณะขวางกั้น แม้บอกว่าเป็นแผ่นดิน ความจริงแล้วมันเหมือนเกาะที่ค่อนข้างใหญ่มากกว่า
และรอบนอกใกล้กับแดนรกร้างบูรพาเป็นเกาะเล็กๆ จำนวนมาก ส่วนในแดนรกร้างบูรพา ตรงชายแดนแผ่นดินกว้างใหญ่ก็มีเกาะอีกไม่น้อยเช่นกัน ในนั้นมีอยู่เกาะหนึ่งที่ใหญ่กว่าเกาะบึงใต้หลายเท่า ด้านบนเขียนไว้ว่าหมัวหลัว
“จงเจ๋อไม่อยากทิ้งเกาะนี้จึงไปกับเจ้าไม่ได้ เรื่องนี้….คงต้องไหว้วานเท่านั้น” จงเจ๋อมองซูหมิง ความซับซ้อนในแววตาค่อยๆ กลายเป็นปลงอนิจจัง แล้วประสานมือคารวะซูหมิง
“ผู้อาวุโสจงเจ๋อช่วยบอกด้วยว่าในตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่ของข้ามาเผ่าเชมันหรือไม่?” ซูหมิงละสายตาจากแผ่นหยกบันทึก มองจงเจ๋อพลางกล่าวขึ้น
“ก่อนภัยพิบัตินายน้อยมาเผ่าทะเลใบไม้ร่วงของข้า ทว่าไม่ไปวิหารเทพเชมัน แต่…ช่วงเกิดภัยพับัติไปแดนรกร้างบูรพาแล้ว…” จงเจ๋อกล่าวเสียงเบา
ซูหมิงขมวดคิ้ว
“ตามที่ข้ารู้มา เหตุที่นายน้อยไปแดนรกร้างบูรพาเหมือนจะเป็นเพราะหลายปีก่อนอาจารย์ของเขาไปที่นั่นเพียงลำพังและไม่กลับมา คล้ายเกิดอะไรบางอย่างขึ้น” จงเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวประโยคนี้
เขารู้ถึงความสัมพันธ์ของนายน้อยเก้าอรุณกับซูหมิง จึงไม่อาจปิดบังเรื่องนี้
ซูหมิงพลันเงยหน้ามองจงเจ๋อ
“ผู้อาวุโสจงเจ๋อช่วยอธิบายให้ละเอียดด้วย”
“ตอนนั้นเผ่าหมานกับเชมันขัดแย้งกัน ข้าจึงไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่ตามที่ข้ารู้มา ผู้อาวุโสเทียนเสียจื่อข้ามผ่านทะเลมรณะเพียงลำพังไปยังแดนรกร้างบูรพา เหมือนว่าจะไปลองหยุดภัยพิบัติ ทว่า…ไม่เคยกลับมาเลย แต่ภัยพิบัติก็มาช้าลงมากจริงๆ
ข้าจำได้ว่าก่อนนายน้อยจะไปแดนรกร้างบูรพา คืนหนึ่งเขายืนอยู่บนยอดเขา มือถือป้ายไม้ชำรุดและมีสีหน้าเศร้าโศกนัก…” จงเจ๋อมองซูหมิงก่อนกล่าวเสียงเบา
ซูหมิงตัวสั่น เสียงระเบิดดังในความคิด เขามองออกว่าจงเจ๋อไม่ได้โกหก อีกทั้งเรื่องนี้ไม่มีความจำเป็นต้องโกหก ตรงหน้าเขาเหมือนมีภาพต่างๆ ลอยขึ้นมา
ในภาพนั้นเป็นทะเลกว้างใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่ระหว่างยอดเขากับท้องฟ้าอย่างเงียบๆ มองทะเลมรณะถาโถมเข้ามา มองแผ่นดินรกร้างบูรพาใหญ่ยักษ์ที่กำลังเข้ามาจากไกลๆ สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก มือถือป้ายไม้หนึ่งแผ่น ด้านบนเขียนเอาไว้ว่าเทียนเสียจื่อ!
บนแผ่นไม้มีรอยร้าวหลายเส้น ดุจแตกหักได้ทุกเมื่อ…
กลางคลื่นทะเลมรณะ เมื่อแดนรกร้างบูรพาเข้าชน ร่างเงาอันโดดเดี่ยวของศิษย์พี่ใหญ่เดินอากาศพุ่งตรงไปยังแดนรกร้างบูรพาด้วยความหมองเศร้า
‘อาจารย์! ศิษย์พี่ใหญ่!’ ซูหมิงหันมองไปทางแดนรกร้างบูรพา นัยน์ตามีจิตสังหารบ้าคลั่ง
เขาไม่อยากคิดอะไรมาก เขากลัวว่ายิ่งคิดมากจะยิ่งอยากได้คำตอบมาก และก็จะยิ่งสูญเสียไปมาก
เขาพลันนึกถึงคำพูดของจื่อเยียน ศิษย์พี่รองออกจากยอดเขาลำดับเก้า จากนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย ที่ได้ยินก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ศิษย์พี่รองชอบยอดเขาลำดับเก้า มันเป็นบ้านของเขา หากไม่ใช่เรื่องใหญ่ราวฟ้าถล่ม เขาจะไม่ออกจากยอดเขาลำดับเก้าเด็ดขาด!
ทว่าเขาก็ยังออกไป อีกทั้ง…ไม่เคยกลับมาอีกเลย เดิมทีซูหมิงยังคิดอยู่ว่าเขาจะไปที่ใด ทว่าตอนนี้มั่นใจแล้วว่าศิษย์พี่รอง…ไปแดนรกร้างบูรพา!
เขาต้องไปหาอาจารย์!
และศิษย์พี่ใหญ่ก็ตามไปหลังจากนั้น ไปตามหาอาจารย์เช่นเดียวกัน บางทีอาจกำลังตามหาศิษย์น้องรองของเขา!
“หู่จื่อล่ะ…เขายังอยู่ยอดเขาลำดับเก้าหรือไม่…” ซูหมิงพึมพำ
เขาพลันอยากกลับยอดเขาลำดับเก้าเร็วๆ อยากไปดูว่าหู่จื่อยังอยู่หรือไม่ จากนั้นก็ไปแดนรกร้างบูรพา ตามร่องรอยศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง ไปตามหาพวกเขาและอาจารย์!
จงเจ๋อมองซูหมิง ชายหนุ่มที่สร้างความรู้สึกต่างกันจากการเจอกันสามครั้งคนนี้ ทำให้เขานึกถึงนายน้อยเก้าอรุณ นึกถึงร่างที่ไปแดนรกร้างบูรพา และยังนึกถึงเผ่าทะเลใบไม้ร่วงของเขา ตอนนี้เผ่าล่มสลาย ชาวเผ่าส่วนใหญ่กระจัดกระจาย เขานึกถึงอายุขัยที่เหลือไม่มากของตน นึกถึงเสียงคำรามด้วยความโกรธตอนยังหนุ่มของตน
จงเจ๋อหมุนตัวจากไปพร้อมกับความห่อเหี่ยวอย่างช้าๆ
ฟ้าค่อยๆ มืดลง เสียงคลื่นทะเลดังแว่วเข้ามาเป็นระลอก ซูหมิงนั่งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งของเทือกเขา มองสีดำมืดไกลๆ โดยไม่กล่าวอะไร
ไม่รู้ว่าเมื่อไร ฟางชางหลันค่อยๆ เดินมาจากเงามืดด้านหลัง มองเขาอย่างอบอุ่นอยู่ข้างๆ เพียงนั่งลงข้างเขา ไม่กล่าวสิ่งใด
เสียงน้ำทะเล ความมืดมิด ไม่มีบทสนทนา ไม่มีการมองตา ฟางชางหลันอยู่เป็นเพื่อนซูหมิงอย่างเงียบๆ และผ่านค่ำคืนนี้บนยอดเขาไป
จนกระทั่งฟ้ามัวเริ่มปรากฏแสงสว่างเลือนรางผ่านชั้นเมฆ นั่งมาหนึ่งคืนเต็มได้ขบคิดอะไรมากมาย ซูหมิงที่มีภาพต่างๆ ของยอดเขาลำดับเก้าผุดขึ้นมาตรงหน้าหลับตาลง
“ขอบคุณ” ซูหมิงเอ่ยเสียงเบา
ฟางชางหลันไม่กล่าว นางทอดมองไกล มองท้องฟ้าที่แม้ยังมืดสลัวแต่กลับสว่างกว่าค่ำคืนมากก่อนส่ายศีรษะ
“หากเจ้าไม่อยากอยู่เกาะบึงใต้ ก็ไปเกาะเผ่าชะตาชีวิตกับจื่อเยียน นางรู้ตำแหน่ง”
ซูหมิงลืมตามองสตรีที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตนตลอดคืน มองเสี้ยวหน้าด้านข้าง ใบหน้านั้นช่างงดงามนัก
“เจ้าไม่ต้องห่วงข้า แม้ขั้นพลังข้าจะไม่สูง หลายปีมานี้ก็เตรียมทางหนีเอาไว้อย่างดี ข้าไม่เป็นอะไรหรอก แต่เจ้า เกาะหมัวหลัวนั่น…” ฟางชางหลันหันหน้ามา ดวงตางามมองซูหมิงโดยไม่หลบ
“ข้ารู้ว่าอวิ๋นไหลบูชาของวิเศษอยู่ ของวิเศษนี้เขาต้องใช้วิชาของข้าถึงจะใช้งานมันได้อย่างสมบูรณ์ มันมีประวัติลึกลับ หากเจ้าเอามันไปด้วย…” ฟางชางหลันกล่าวทันที ซูหมิงเห็นสีหน้าเป็นห่วงและกังวล
“ไม่เป็นไร ในเมื่อต้องใช้วิชาของเจ้าถึงจะใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ ดูแล้วเจ้าก็ใช้งานได้เช่นกัน”
“แต่ว่า…..” ฟางชางหลันร้อนรน ขณะกำลังจะค้านซูหมิงกลับเผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นบางยิ่งนัก ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง
“เจ้าเห็นความทรงจำยี่สิบปีของข้า นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด” ซูหมิงยิ้มมองฟางชางหลัน
ฟางชางหลันอึ้งงัน แต่ไม่นานก็นึกถึงความแกร่งของอวิ๋นไหล
พออยู่ต่อหน้าซูหมิงกลับไม่อาจโต้ตอบแม้แต่น้อย ความแข็งแกร่งระดับนี้มากเกินกว่าความเข้าใจของนาง
“เจ้า…ตอนนี้เจ้ามีขั้นพลังระดับใด?” ฟางชางหลันเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถามเสียงเบา
“เซ่นไหว้กระดูก” ซูหมิงมองนาง
“เป็นไปไม่ได้…” ฟางชางหลันเบิกตากว้าง นัยน์ตาขยับแสงอ่อน นางยกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏกระดูกหินหยก หลังจากกดมือแล้วนางก็ใช้มือซ้ายดึงมือซูหมิงแล้วหลับตาลง
ซูหมิงไม่ปฏิเสธ ครู่ต่อมาฟางชางหลันตัวสั่น พลันลืมตาขึ้น
“คำอวยพรจู๋จิ่วอิน…กระดูกเซ่นไหว้ทั้งตัว…” นางพึมพำเบาๆ พลางมองซูหมิง แววตาดูเหลือเชื่อ
ซูหมิงไม่กล่าวอะไร เพียงแค่พยักหน้าให้
ผ่านไปพักใหญ่กว่าฟางชางหลันจะกลับมาเป็นปกติ นางมองซูหมิงด้วยแววตาเปล่งประกายยิ่งขึ้น ทว่าก็ยังมีความลังเลเล็กน้อย หลังจากกัดริมฝีปากครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ซูหมิง ยังจำครั้งแรกที่พวกเราพบกันได้หรือไม่ ครั้งนั้นหลังจากเจ้าแยกกับพี่ชายข้า ข้า…เห็นความทรงจำของเจ้า”
ซูหมิงมีสีหน้าสงบ เขาจะลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาสงสัยในตัวเอง ทุกอย่างเป็นเพราะฟางชางหลันและสีหน้าเห็นใจกับคำพูดที่เขาไม่เข้าใจในตอนนั้น
“ซู่มิ่งหรือ…” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
“เจ้า…รู้แล้ว?” นัยน์ตาฟางชางหลันเริ่มฉายแววสงสารเหมือนกับตอนนั้น กล่าวขึ้นเบาๆ
“ข้าเห็นเจ้าอยู่ในหลุมดำ ผ่านมาห้าสิบปี…ข้ายังเห็นเจ้าถูกล่ามโซ่ จนกระทั่งข้าเห็นเจ้าตาย…” ในใจนางเก็บความลับนี้มายี่สิบปี ในที่สุดตอนนี้ก็ได้พูดกับซูหมิง
“ข้าเห็นพวกเขาเรียกเจ้าว่าซู่มิ่ง…ข้าเห็นเจ้าผ่านความตายมาหลายร้อยครั้ง…ข้ายังเห็นที่ที่หนึ่งเรียกว่าภูเขาทมิฬ เพียงแต่ตอนที่ข้าจะดูต่อไป กลับถูกพลังจากโลกภายนอกเข้ามาทำลาย
พลังนั้นแข็งแกร่งมาก ข้าต่อต้านไม่ได้เลย ข้ารู้สึกได้ว่าพลังนั้นจะทำลายข้า เพราะข้าเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สุดท้ายช่วงที่พลังนั้นกำลังจะลบข้ามันกลับหายไป…” ฟางชางหลันกล่าวเบาๆ นางดึงมือซูหมิงและหลับตาอีกครั้ง
วินาทีที่หลับตาลง มีเสียงโครมดังในความคิดซูหมิง ผุดขึ้นมาเป็นภาพย้อนเวลา ภาพเหล่านั้นคือทุกอย่างที่นางเห็นในตอนนั้น
“ยี่สิบปีมานี้ ขั้นพลังข้าเพิ่มขึ้นเร็วมาก สาเหตุหลักๆ ก็เพราะตอนที่ข้าเห็นความทรงจำเจ้า พลังที่จะทำลายข้านั้น ข้าเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ได้หายไป แต่ยังอยู่ในตัวข้า…
ข้าอยากช่วยเจ้า อยากให้เจ้ารู้ว่าเจ้าเสียอะไรไป ความทรงจำจริงๆ ของเจ้ายังมีอีกเท่าไรที่ถูกเปลี่ยนหรือถูกผนึกเอาไว้ ฉะนั้นข้าถึงตั้งใจฝึกฝนเพื่อผสานรวมกับพลังนั้น…ข้าอยากฝึกวิชาเฉพาะของข้าให้ถึงจุดสูงสุด ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งจะต้องช่วยเจ้าได้แน่”
“หากเจ้าเชื่อข้า ให้ข้าลองมอง…ความทรงจำในอดีตของเจ้าอีกครั้ง…..” เสียงพึมพำของนางก้องอยู่ข้างหูซูหมิง ขณะซูหมิงเงียบ สภาพจิตใจเขาเริ่มกระจัดกระจาย ถูกฟางชางหลันเหนี่ยวนำย้อนเวลากลับไปในอดีต
ตรงหน้าเขาผุดขึ้นมาเป็นหลุมดำ มีตัวเองถูกล่ามโล่อยู่ บนศีรษะยักษ์มีร่างเงานั่งขัดสมาธิ และยังมีหนึ่งประโยค…..
“เจ้าทำให้ข้า…ผิดหวังมาก…”
จนกระทั่งผ่านไปนาน ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น ฟางชางหลันตรงหน้าตัวสั่น มุมปากมีโลหิตไหล ซูหมิงใช้มือซ้ายดึงนางมาอยู่ข้างหลัง แล้วยกมือขวาขึ้นต่อยไปยังจุดที่นางนั่งอยู่ก่อนหน้านี้โดยพลัน
มวลอากาศพลันบิดเบี้ยว มีเสียงหึเย็นชาเหมือนดังแว่วมาจากมิติเวลาที่ห่างไกล!