Skip to content

สู่วิถีอสุรา 530

ตอนที่ 530 ท่านปู่ ท่าน…เป็นใคร?

วินาทีที่ซูหมิงชกหมัดออกไป เสียงหึเย็นชาดังแว่วมาจากในอากาศ เสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว ซูหมิงตัวสั่นสะท้าน ทั้งตัวมีเสียงกึกๆ ปานจะระเบิดทลาย เขาดึงฟางชางหลันถอยไปอย่างไม่ลังเลแล้วหายวับไปในพริบตา ก่อนมาปรากฏตัวห่างออกไปหลายร้อยจั้ง

ฟางชางหลันหน้าซีดเผือด ทว่ากลับมีสีหน้าแน่วแน่ ตอนที่ซูหมิงดึงนางถอยมา นางก็ยกมืองามขึ้นชี้ไปข้างหน้าอย่างไม่ตื่นตระหนก

ม่านแสงป้องกันนอกเกาะบึงใต้พลันเปล่งแสงสว่างวูบวาบ

แสงไหลเวียนไปรอบด้าน รวมขึ้นเป็นหนึ่งจุดจากตรงขอบ แล้วกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งลงมายังร่างเลือนรางมายาตรงหน้าซูหมิง

เสียงโครมครามพลันดังกึกก้อง ซูหมิงมีสีหน้าจริงจัง ปล่อยมือฟางชางหลัน ปะทุพลังกระดูกเซ่นไหว้ทั้งตัว แล้วเดินไปทางร่างมายาที่กำลังเข้ามาใกล้

แทบจะเป็นช่วงที่เขาก้าวเดิน ฟางชางหลันนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ไม่สนอันตรายใดๆ และก็ไม่กังวลว่าซูหมิงจะแบ่งความสนใจมา นางหลับตาลง ไม่รู้ว่าใช้วิชาอะไร จากนั้นพลันกล่าวขึ้น

“ทางซ้ายสามจั้งสอง ทางขวาเจ็ดจั้งเก้า ตรงหน้าสองร้อยจั้งแปดสิบสี่ จุดขอบเขตพื้นที่!”

ทันทีที่นางกล่าวประโยคนี้ ร่างเงามายากึ่งโปร่งใสที่กำลังเดินมาทางซูหมิงพลันมองฟางชางหลันด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย ส่วนซูหมิง ร่างเงาเขาขยับเข้าไปใกล้ แสงทองขยับวูบวาบทั้งตัว ก่อนใช้หนึ่งนิ้วกดอากาศด้านซ้ายสามจั้งสองของฟางชางหลัน เสียงกึกๆ ดังก้องทันใด ร่างเงามายาหยุดชะงักตาม

ขณะเดียวกัน ซูหมิงใช้ฝ่ามือขวากดไปทางขวา แรงผลักส่งไปยังจุดทางขวาเจ็ดจั้งเก้า เสียงโครมดังกึกก้อง เสียงกึกๆ ดังขึ้นอีกครั้ง ร่างมายาโปร่งใสร้องคำราม ยกมือขวาเหมือนทำสัญลักษณ์มือ ไม่โจมตีซูหมิง แต่กดอากาศไปทางฟางชางหลันแทน!

ทันใดนั้นเอง ซูหมิงกำหมัดซ้ายแล้วชกไปยังจุดที่สามของจุดขอบเขตพื้นที่ ห่างจากตรงหน้าไปสองร้อยจั้งแปดสิบสี่ เมื่อชกหมัดออกไป รอบๆ ร่างมายาโปร่งใสบิดเบี้ยวปานอากาศถล่มทลายลง ราวกับว่ามีแรงดูดมหาศาลดึงร่างมายาให้ม้วนหายเข้าไปข้างใน

แม้ซูหมิงจะไม่หายไป ทว่าฝ่ามือสังหารจากสัญลักษณ์มือที่กดไปทางฟางชางหลันยังคงอยู่ ยามนี้กำลังจะสัมผัสกับตัวนางแล้ว

ด้วยขั้นพลังของนางย่อมไม่มีทางหลบพ้น นางเงยหน้ามองซูหมิง นัยน์ตาอาลัยอาวรณ์ ทว่ากลับยิ้มน้อยๆ

ครั้นเห็นทุกอย่างเหมือนไม่อาจเปลี่ยน ซูหมิงพลันเพ่งสายตามอง มือซ้ายยกขึ้นชี้อากาศ มือขวากดลงแผ่นดิน

“อดีต…อนาคต…” ขณะกล่าวเสียงเบา ร่างเงาเขาเกิดการซ้อนทับและตัดสลับกัน กาลเวลารอบๆ เหมือนจะย้อนคืน ช่วงที่ทั้งโลกราวหยุดชะงัก ผนึกฝ่ามือที่กดไปทางฟางชางหลันก็หยุดในชั่วพริบตาเช่นกัน อีกทั้งยังมีเค้าลางจะย้อนกลับคืน

ซูหมิงเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาหนึ่งก้าวอย่างไม่ลังเลแล้วมาปรากฏอยู่ตรงหน้านาง ตอนที่ยกมือขวาขึ้น กาลเวลารอบๆ กลับมาดังเดิม การหมุนโคจรทุกอย่างเร็วกว่าเมื่อครู่หลายเท่า เหมือนจะไล่ตามเวลาจริงๆ ให้ทัน

ฝ่ามือนั้นปะทะกับมือขวาซูหมิง ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผนึกฝ่ามือสลายไป ซูหมิงมีโลหิตไหลจากมุมปากแต่ยืนแน่นิ่ง

เพราะด้านหลังเขาคือฟางชางหลัน สตรีคนที่ยอมเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตเพื่อเขา

ฟางชางหลันเหม่อมองแผ่นหลังตรงหน้า นัยน์ตาอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ

ผนึกฝ่ามือหายไป ทุกอย่างในมวลอากาศกลับมาเป็นดังเดิม สิ่งที่แปลกคือระลอกคลื่นรุนแรงขนาดนี้และยังมีเสียงระเบิดดังสนั่น กลับไม่สร้างความสนใจให้กับคนอื่นๆ บนเกาะบึงใต้เลย เหมือนไม่ได้ยินและไม่เคยรู้สึก

“เป็นพลังนี้ ทว่ามีไหวพริบมากกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย…” ฟางชางหลันกล่าวเสียงเบา ก่อนยืนขึ้นมาอยู่ตรงหน้าซูหมิงเพื่อเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากให้เขา

แต่เมื่อมือนางสัมผัสกับโลหิต นางและซูหมิงกลับอึ้งงันอยู่ตรงนั้น เพราะโลหิตนี้เน่าอย่างรวดเร็วบนนิ้วนาง พริบตาเดียวก็กลายเป็นสีดำ เปลี่ยนเป็นพลังความตายแล้วค่อยๆ หายไป

ฟางชางหลันเบิกตากว้าง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะเงยหน้ามองซูหมิง นางเห็นความเศร้าในแววตาเขา

ใจนางสั่นไหว ขณะกำลังจะถาม ซูหมิงกลับหลับตาลง

ซูหมิงรู้จักร่างเงากึ่งโปร่งใสนั้น ในร่างเงานั้นเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของตี้เทียนเล็กน้อย เพียงแต่กลิ่นอายพลังนี้เบาบางยิ่งนัก อีกทั้งยังคล้ายมาเยือนโดยตัดขาดจากความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต

เมื่อครู่นี้ฟางชางหลันใช้วิชาของนาง อยากช่วยซูหมิงให้เห็นความทรงจำลึกยิ่งขึ้น ทว่าสุดท้ายก็ยังล้มเหลว มิหนำซ้ำยังเหนี่ยวนำกลิ่นอายพลังของตี้เทียนมา หากไม่ใช่เพราะซูหมิงเป็นอย่างปัจจุบันนี้ ฟางชางหลันคงต้องตายอย่างแน่นอน

“จุดขอบเขตพื้นที่ เมื่อครู่เพิ่งเชื่อมต่อกับอากาศของที่นี่ สามจุดที่ทำให้ร่างเงาโปร่งใสมาที่นี่ได้เรียกว่าจุดขอบเขตพื้นที่รึ?” ซูหมิงลืมตามองฟางชางหลัน

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” ซูหมิงถามนิ่งๆ

“ขะ…ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนที่สัมผัสถึงกลิ่นอายพลังนั้นก็เห็นรอบๆ ตัวเขามีสามจุดนี้อยู่ และเหมือนว่าจะใช้สามจุดนี้ในการมาเยือน ระยะห่างระหว่างเขากับสามจุดนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนไป” นัยน์ตาฟางชางหลันดูสับสนขณะกล่าวเสียงเบา ยามนี้นางยังตกอยู่ในห้วงที่โลหิตของซูหมิงบนนิ้วกลายเป็นสีดำ และกลายเป็นพลังความตาย

ซูหมิงมีสีหน้าซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ในความคิดผุดภาพโลหิตกลายเป็นพลังความตายตลอด และยังมีจุดขอบเขตพื้นที่สามจุดจากปากฟางชางหลัน

ผ่านไปนาน ฟางชางหลันมองซูหมิงแล้วกัดริมฝีปากล่าง

“เหตุใดโลหิตเจ้าอยู่ในมือข้าแล้วถึงเป็นเช่นนี้?”

“ข้าเหนื่อยแล้ว ชางหลัน” ซูหมิงเงียบ เขานั่งขัดสมาธิบนพื้นแล้วค่อยๆ หลับตาลง

ฟางชางหลันยืนเงียบอยู่ข้างๆ ไปพักหนึ่ง นางรู้สึกว่าซูหมิงตรงหน้าคล้ายต่างจากอดีต เขาในตอนนี้อารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน

‘ทุกอย่างนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่โลหิตเขากลายเป็นพลังความตายในมือข้าแน่นอน ข้าจะต้องรู้สาเหตุของเรื่องนี้ให้ได้!’ นัยน์ตานางฉายแววเด็ดเดี่ยว มองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป

นางที่จากไปไม่ได้ยินเสียงพึมพำของซูหมิง

“ขอบคุณเจ้า ชางหลัน”

ตามแผนของซูหมิง เขาจะให้ชางหลันใช้ความสามารถพิเศษนี้มองความทรงจำของลิ่วล้อตี้เทียนที่เขาจับเอาไว้ ทว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้กลับทำให้เขาล้มเลิกความคิดนี้ไปชั่วคราว

เรื่องนี้เกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายมาก หากเรียกร่างเงากึ่งโปร่งใสที่มีกลิ่นอายพลังของตี้เทียนมาอีก ซูหมิงรู้ว่าด้วยขั้นพลังของตนในตอนนี้ เกรงว่าเมื่ออีกฝ่ายเตรียมตัวมา คงยากจะปกป้องฟางชางหลันได้

ซูหมิงนั่งอย่างเงียบงัน พลางมองท้องฟ้าจากสว่างค่อยๆ มืดลง มองความมืดหายไปทีละน้อย วันใหม่มาเยือน ภายใต้การจัดระเบียบของจงเจ๋อ ผู้คนบนเกาะในช่วงหลายวันนี้ก็ช่วยกันเสริมสร้างวงแหวนอาคมอย่างต่อเนื่อง พวกเขาลองทำให้เกาะนี้จมลงทะเลอีกครั้ง เรื่องนี้ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย

สำหรับฟางชางหลัน ไม่ใช่ว่าซูหมิงไม่ห่วง สตรีคนนี้เปลี่ยนไปมาก ให้ความรู้สึกต่างกับตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาหรือความเด็ดขาด ทำให้แม้นางมีขั้นพลังไม่สูง ก็พอจะใช้วิชาพิลึกของตนปกป้องตัวเองได้

สตรีคนนี้กล้าใช้ขั้นพลังเซ่นไหว้กระดูกคิดสังหารขั้นวิญญาณหมานตอนกลาง คนแบบนี้ซูหมิงไม่มีทางดูถูกแน่

มิหนำซ้ำ…

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นความต่างของเจ้า คนอย่างเช่นเจ้า บนแผ่นดินหมานจะมีสักกี่คนเชียว…” ซูหมิงพึมพำ

ช่วงที่โลหิตของตนกลายเป็นพลังความตายในมือฟางชางหลัน เขาก็นึกถึงกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ที่มาจากโลกหยินศักดิ์สิทธิ์กำลังบินออกจากน้ำวน นึกถึงภาพที่เห็นท้องฟ้าดวงดาว แล้วทั้งตัวถูกพลังความตายเข้มข้นปกคลุมจนมิด

ความรู้สึกนั้นหากย่อเล็กลงหลายเท่าก็จะกลายเป็นโลหิตหนึ่งหยด มีลักษณะแบบเดียวกับบนนิ้วของฟางชางหลัน

“สามจั้งสอง เจ็ดจั้งเก้า สองร้อยจั้งสี่สิบแปด….” ซูหมิงมองพรมแดนผืนฟ้าไกลๆ พลางกล่าวกับตัวเองเบาๆ สีหน้าเขาซับซ้อนขึ้น นัยน์ตาหวนรำลึกขณะออกเสียงจุดขอบเขตพื้นที่สามจุด

ตอนฟางชางหลันกล่าวตัวเลขสามตำแหน่งนั้น ซูหมิงไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่าหลังจากโลหิตกลายเป็นพลังความตาย ขณะเขากำลังตื่นตะลึง ตัวเลขสามจุดนั้นก็ลอยขึ้นในความคิดอย่างต่อเนื่อง

เขารู้สึกรางๆ ว่าตัวเลขสามจุดนั้นคุ้นยิ่งนัก…ความคุ้นนี้สลักอยู่ในจิตวิญญาณ ฝังลึกลงในไขกระดูก ยากจะดับสูญชั่วนิรันดร์

“หากมีจุดขอบเขตพื้นที่จุดที่สี่ เช่นนั้นจะใช้สามร้อยจั้งเจ็ดสิบเอ็ดหรือไม่…หากมีจุดที่ห้าจะใช่ห้าร้อยจั้งหกสิบสามหรือไม่…หากมีจุดที่หกจะใช่เจ็ดร้อยจั้งแปดสิบเอ็ดหรือไม่…” ซูหมิงกล่าวเสียงเบากับตัวเองด้วยความขมขื่น หกตัวเลขนี้เขาจะลืมได้อย่างไร และต้องคุ้นหูกับมันอย่างแน่นอน!

“สามสิบสอง เจ็ดสิบเก้า สองร้อยสี่สิบแปด สามร้อยเจ็ดสิบเอ็ด ห้าร้อยหกสิบสาม เจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ด…ท่านปู่ ท่านกำลังจะบอกอะไรข้ากันแน่ บนขั้นบันไดภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าร่องลมในตอนนั้น ท่านบอกตัวเลขหกตัวนี้กับข้า ให้ข้าจดจำเอาไว้ เดิมทีข้าคิดว่ามันเป็นจุดให้พักผ่อน ทว่าจนถึงตอนนี้ข้าถึงรู้ว่ามัน…ไม่ใช่” ซูหมิงหลับตา น้ำตาไหลรินลงมา

“ท่านปู่…ท่าน…เป็นท่านปู่จริงๆ หรือ…เป็นท่านปู่แห่งเผ่าเขาทมิฬจริงๆ หรือ…เป็นท่านปู่ที่เลี้ยงดูข้ามาแต่เยาว์วัย สอนการเป็นคน ให้ข้าเรียนรู้การระวังตัว เรียนรู้การคิด เรียนรู้การสังหารจริงๆ หรือ…

ท่านปู่ ท่าน….เป็นใครกันแน่?” ซูหมิงหลับตาลง น้ำตาไหลมากยิ่งกว่าเดิม

“ท่านปู่ ภูเขาทมิฬเป็นของจริงหรือไม่ เป่ยหลิง เหลยเฉิน อูลา ไป๋หลิง…ทุกอย่างเหล่านี้เป็นของจริงหรือไม่?” ซูหมิงลืมตามองระหว่างท้องฟ้ากับผืนทะเล มองไปอย่างนั้นจนกระทั่งน้ำตาเหือดแห้ง จนกระทั่งในตัวเขามีความเศร้าโศกเพิ่มเข้ามา จนกระทั่งเขายืนขึ้น ไม่เห็นร่างสตรีที่มองเขาอยู่บนยอดเขาไกลๆ มาตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา

จนกระทั่งเขาก้าวเดินขึ้นสู่ฟ้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version