ตอนที่ 532 ทำลายเกาะ 1
เสียงของซูหมิงดังก้องในเกาะหมัวหลัว สร้างเป็นคลื่นเสียงนับไม่ถ้วนภายใต้แรงสั่นสะเทือน ด้วยการแผ่ขยายและกระแทกของคลื่นเสียง ทำให้มีเสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่าในเกาะ เสียงโครมครามดังเข้าสู่หูของทุกคน
เสียงนี้เย็นเยียบดุจหิมะ เต็มไปด้วยจิตสังหาร ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความน่ากลัวที่หมายมั่นจะทำลายล้างทุกอย่าง ทุกคนที่ได้ยินส่วนใหญ่ล้วนเกิดความรู้สึกตื่นกลัวอย่างยิ่ง พากันเงยหน้าขึ้น พวกเขาเห็นแม่น้ำสายฝนเส้นยาวชนเข้าใส่ม่านแสงคุ้มกันจนสั่นสะเทือน
เกาะหมัวหลัวอยู่นอกแผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพา เป็นเกาะค่อนข้างใหญ่ในหมู่เกาะจำนวนมาก เดิมทีเกาะนี้ไม่มีอยู่ แต่ช่วงที่แผ่นดินรกร้างบูรพาชนแดนอรุณใต้ ผิวดินก็หลุดออกมาเอง
ต่อมาเพราะสาเหตุต่างๆ ของแดนรกร้างบูรพา ผู้ฝึกตนที่เข้าไปในแดนรกร้างบูรพาไม่ได้จึงยึดครองที่นี่ไว้จนมันกลายเป็นสวนสวรรค์ของพวกเขา ผู้ฝึกตนเหล่านี้มีเบื้องหลังมากมาย ในนั้นมีคนที่สังหารคนมากเกินไปและไม่ยอมกลับตัว มีคนที่หักหลังสำนักกับชนเผ่า และยังมีคนที่ฝึกฝนเพียงลำพังอีกเล็กน้อย
ที่นี่มีคนที่สองมือเปื้อนกลิ่นคาวเลือดอยู่แทบทุกแห่งหน รวมทั้งความเหี้ยมโหด กระหายเลือด ราวกับว่าคนเหล่านี้มีนิสัยเหมือนกัน โดยเฉพาะความโหดเหี้ยมต่อชาวแดนอรุณใต้ มันเป็นความบันเทิงที่ดีที่สุดในช่วงหลายปีมานี้
หากเจอคนแดนอรุณใต้เพศชายก็ต้องสังหาร กระชากวิญญาณหรือหลอม หากเจอสตรีเช่นนั้นก็จะยิ่งน่าเวทนา หลายปีมานี้ คนแดนอรุณใต้ตายในมือพวกเขานับไม่ถ้วน!
คนแดนอรุณใต้เหล่านี้ส่วนใหญ่ยากจะเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติอยู่แล้ว และยังต้องมาเจอภัยพิบัติคนที่เทียบเท่ามหันตภัยอีก สาเหตุเหล่านี้ความจริงเป็นเพราะแดนอรุณใต้เล็กกว่าแดนรกร้างบูรพามาก
ฉะนั้นจากการชนหลายครั้ง ด้วยความที่แดนรกร้างบูรพากว้างใหญ่ มันจึงรับผลจากภัยพิบัติน้อยมาก
พูดได้ว่าเมื่อเกิดหมู่เกาะตรงชายแดนรกร้างบูรพาขึ้น ที่นี่จึงกลายเป็นจุดรวมพลของคนที่ถูกแดนรกร้างบูรพาเนรเทศ กระทั่งหลายปีมานี้ยังมีคนจากแดนรกร้างบูรพามาที่นี่ไม่น้อย จึงทำให้เกาะนี้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะการปรากฏตัวของตาแก่หมัวหลัว ด้วยความแกร่งของขั้นพลัง เขาจึงได้ครอบครองเกาะที่ใหญ่ที่สุด ตั้งชื่อให้ว่าหมัวหลัว และกลายเป็นอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ผู้ฝึกตนนอกทะเลมรณะของแดนรกร้างบูรพา!
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนแดนรกร้างบูรพาของตาแก่หมัวหลัวจะเรียกตัวเองว่าบึงรกร้างและมีฉายาว่าคนรกร้าง ไม่เพียงเหี้ยมโหดต่อคนแดนอรุณใต้และรุกรานสังหารหลายครั้งเท่านั้น พวกเขายังมองแผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพาเป็นศัตรู ทว่าด้วยความเกรงกลัวจึงไม่กล้าไปล่วงเกิน แต่หากเจอคนจากแผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพามาเพียงลำพัง ก็จะต้องมีจุดจบเหมือนกับแดนอรุณใต้
การมาของซูหมิงและเสียงสะเทือนนภา รวมถึงแม่น้ำสายฝนที่ชนกับม่านแสงคุ้มกัน ทำให้ทุกคนบนเกาะหมัวหลัวตื่นตกใจ พวกเขาไม่ตื่นกลัวมากนัก แต่กลับเกิดความเหี้ยมโหดขึ้น
นี่คือกลุ่มอิทธิพลที่รวมขึ้นจากคนชั่วนับไม่ถ้วน คนเหล่านี้ชอบรังควานความดีแต่กลัวความชั่ว จะเผยเขี้ยวกับผู้อ่อนแอ พวกเขาจัดงานหมัวหลัวขึ้นเอง งานนี้ไม่เป็นรองงานเลี้ยงดื่มเลือดอรุณใต้ และเป็นคุณค่าสิ่งเดียวที่พวกเขาอยู่เพื่อมัน
ด้วยความที่มีอิทธิพลมาก หากเจอผู้แข็งแกร่งจึงไม่ยอมศิโรราบ คิดว่าการสังหารของตนและความเหี้ยมโหดจะสร้างความตื่นกลัวให้กับผู้แข็งแกร่งทุกคนได้
ความจริงแล้วหลายปีมานี้พวกเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ ทำให้คนจำนวนมากเลือกหลบ ทว่าพวกเขาไม่รู้ว่าครั้งนี้ต้องเจอกับซูหมิง!
การรับมือกับชาวเผ่าบนหมู่เกาะไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องสันดานของมนุษย์ ใช้เพียงแค่คำเดียวนั่นคือ ฆ่า!
สังหารพวกเขาให้โลหิตไหลเป็นสายน้ำ!
สังหารพวกเขาไม่ให้เหลือรอด!
สังหารพวกเขาให้แม้ความตายยังต้องหวาดกลัว!
ให้เกาะนี้กลายเป็นการสั่งสอนจากแดนรกร้างบูรพา!
เสียงโครมครามดังสนั่น ม่านแสงของหมู่เกาะถูกแม่น้ำสายฝนชนอย่างแรงจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ม่านแสงขยับวูบวาบอย่างต่อเนื่อง ทว่ากลับยังไม่แตกออก
เสียงร้องคำรามดังมาจากบนเกาะ เห็นร่างคนรกร้างบินขึ้นมาจากรอบๆ เกาะ ตรงเข้ามาเป็นกลุ่มพร้อมกับความเหี้ยมโหดและกระหายเลือด
ขณะเดียวกัน บนเกาะเล็กเจ็ดเกาะที่ปกป้องอยู่รอบๆ เกาะนี้ก็มีสายรุ้งยาวเจ็ดสายบินขึ้นมา ด้านหลังสายรุ้งยาวมีคนตามมาหลายร้อย ช่วงเวลานี้เสียงคำรามดังสนั่นฟ้า กึกก้องสะเทือนแก้วหูอยู่นอกเกาะหมัวหลัว
การมาของซูหมิงและเสียงอันทรงพลัง แม้ไม่ทำให้คนรกร้างบนเกาะหมัวหลัวตื่นกลัว แต่ก็สร้างความตะลึงอย่างมาก ฉะนั้นพวกเขาจึงลงมือเป็นกลุ่ม
ในอดีตพวกเขาเคยเจอผู้แข็งแกร่งมาก่อน ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ อีกทั้งผู้แข็งแกร่งที่มาหลายครั้งก่อนก็ยังตกใจกลัวกับความบ้าคลั่งและไม่กลัวตายของพวกเขาจนหนีไป
ครั้งนี้ พวกเขาก็ยังคิดจะใช้วิธีแบบเดิม!
ทว่า…วิธีนี้ไม่มีประโยชน์กับซูหมิง!
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่สนใจม่านแสงคุ้มกันเกาะหมัวหลัวอีก แต่ยืนอยู่กลางอากาศ มองร่างเงาและใบหน้าดุร้ายที่กำลังร้องคำรามพร้อมกับตรงเข้ามาจากรอบๆ เขาค่อยๆ ยกมือขวาแล้วกำอย่างแรง กลางฝ่ามือเขาพลันเปล่งแสงสีม่วงอย่างชัดเจน
แสงสีม่วงสว่างจ้าอยู่ในมือซูหมิงและยืดยาวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นทวนสีม่วงยาวหลายจั้ง ทวนนี้มองแวบแรกก็น่าตะลึงแล้ว วินาทีนี้เขาจับทวนในแนวขวางไว้ตรงหน้าด้วยมือเดียว มุมปากก็ยกยิ้มเย็นชา นัยน์ตาเย็นชาเผยจิตสังหาร
ช่วงที่เผยจิตสังหาร ซูหมิงเปล่งแสงม่วงทั้งตัว แสงม่วงนั้นปกคลุมร่างราวน้ำหลาก ภายใต้แสงสว่างจ้าลานตา มือขวาถูกปกคลุมด้วยเกราะ
เกราะนั้นปานมีชีวิต มันลุกลามอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั้งตัว จนกระทั่งศีรษะยังปรากฏเกราะม่วงคลุมใบหน้า จากนั้นเส้นผมเขายังกลายเป็นสีม่วงสะบัดพลิ้วอยู่ด้านหลัง
ซูหมิงยืนอยู่กลางอากาศ สวมเกราะทั้งตัว มือถือทวนยาว ยามนี้มีพลังน่าสะพรึงยิ่งกว่าเดิม
เขาเงยหน้าขึ้น สะบัดทวนยาวที่ยกเป็นแนวขวางตรงหน้าจนเกิดเสียงหวืดดังกึกก้อง ปลายทวนชี้ไปยังหนึ่งในสายรุ้งยาวจำนวนมากของเจ็ดเกาะที่โอบล้อมเกาะหมัวหลัว
“ผู้บุกรุกแดนอรุณใต้ของข้า ไม่ว่าอยู่ไกลเพียงใดก็ต้องประหาร!”
สิ้นเสียง ร่างเงาก็เขาเดินหน้าหนึ่งก้าว ใช้ความเร็วอันไม่อาจบรรยายกลายเป็นสายรุ้งสีม่วงตรงไปยังกลุ่มคนที่กำลังบินเข้ามา
ผู้ปกป้องของเกาะลำดับหกนี้ คนนำหน้าเป็นชายวัยกลางคน สวมอาภรณ์สวยงาม ใบหน้าทะมึนทึบและมีจิตสังหาร ทว่าในใจยามนี้กลับสั่นไหวและตะลึง ไม่ว่าจะเป็นเสียงทรงพลังของซูหมิงหรือแสงม่วงที่วูบวาบทั้งตัวแล้วกลายเป็นเกราะม่วง สิ่งเหล่านี้ทำให้แม้แต่เขาที่มีขั้นพลังวิญญาณหมานตอนต้นยังเกิดความกลัว
หากแต่เขาเชื่อว่า ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใด เมื่ออยู่ต่อหน้าความบ้าคลั่งและไม่กลัวตายของคนรกร้างอย่างพวกเขาแล้วก็ต้องเลือกหนี ด้วยความที่คิดแบบนั้น ชายวัยกลางคนจึงร้องคำรามพลางยกมือขวาขึ้นใช้วิชา ขณะกำลังจะแสดงพลังอย่างเต็มที่นั้น ในดวงตาเขาพลันปรากฏเงาสีม่วงเพิ่มเข้ามา
สีม่วงนี้บีบเข้ามาอยู่ในสายตาเขา ชายวัยกลางคนจึงอึ้งงันไปชั่วครู่ หลังจากได้สติกลับมาก็คิดจะถอย ทว่าทันใดนั้นเขากลับรู้สึกเจ็บตรงระหว่างคิ้ว ไม่รู้ว่าทวนยาวสีม่วงทะลวงศีรษะเขาไปหนึ่งจั้งตั้งแต่เมื่อไร แล้วพาไปพร้อมกับโลหิตแตกกระจาย
นอกจากทวนยาวแล้ว สิ่งที่เขาเห็นยังมีร่างเงาเย็นชาสวมเกราะสีม่วงถือทวนยาว นี่คือภาพสุดท้ายที่เห็นในชีวิต
เสียงระเบิดดังกังวาน ซูหมิงใช้ทวนยาวทะลวงผ่านศีรษะคนจนร่างระเบิดกระจาย ชั่วขณะที่เลือดเนื้อกระจุย ผู้ติดตามด้านหลังบุคคลนี้ก็ตรงเข้ามาโดยไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อยประหนึ่งคลุ้มคลั่งขึ้นมา
ซูหมิงมองอย่างเย็นชา ก้าวเดินหน้าหนึ่งก้าว แสงม่วงขยายเป็นผืนใหญ่ เสียงร้องโหยหวนดังกึกก้อง จุดที่ซูหมิงผ่านจะมีทวนยาวสีม่วงกวาดเข้าไปแล้วทะลวงกลุ่มคนดุจมังกรม่วง ครู่ต่อมายามซูหมิงเดินออกมาจากกลุ่มคน ทุกคนจากเกาะผู้อารักขาลำดับหกด้านหลังเขาล้วนร่างระเบิดกระจาย เลือดเนื้อตกลงสู่ทะเล
อีกทั้งยังมีโลหิตไหลมาตามทวนยาวขณะซูหมิงถือเอียงอยู่ เขายืนอยู่กลางอากาศแล้วค่อยๆ หันไปมองร่างคนที่บินออกมาจากเกาะอารักขาที่เหลืออีกหกเกาะ
“ผู้เหยียดหยามแดนอรุณใต้ เลือด….ต้องชำระด้วยเลือด!” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง เสียงเขากระจายออกไปก้องกังวานรอบทิศ จากนั้นร่างกลายเป็นสายรุ้งยาวอีกครั้ง ตรงไปยังอีกกลุ่มคนหนึ่ง ราวกับว่าซูหมิงในตอนนี้ หลังจากสวมเกราะม่วงแล้วเขารู้จักแต่โจมตี ไม่รู้จักถอย!
ในตัวเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย ทั้งยังมีร่างเงามายาดุร้ายปรากฏด้านหลังปานสัตว์ชั่วร้ายกำลังคำราม!
ซูหมิงในตอนนี้ทำให้คนรกร้างหมัวหลัวพากันตื่นตระหนกและมีสีหน้าหวาดกลัว ถูกความกลัวครอบงำกายและใจ
เพราะเมื่อซูหมิงเข้ามาใกล้ บนท้องฟ้านอกหมู่เกาะนี้ไม่ว่าจะมีพลังระดับใด ก็ล้วนไม่มีชีวิตรอดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา!
เพราะต่อให้พวกเขาบ้าคลั่ง ทว่าซูหมิงบ้าคลั่งยิ่งกว่า!
เพราะแม้พวกเขาจะเหี้ยมโหดและกระหายเลือด ทว่ากลับพบว่าซูหมิงเหี้ยมโหดยิ่งกว่า!
ประโยคที่ว่าเลือดต้องชำระด้วยเลือดกลายเป็นระฆังแห่งการสูญเสียของคนรกร้าง กลายเป็นคลื่นเสียงสะเทือนฟ้า ซูหมิงกำลังสังหาร จุดที่เขาผ่านหลังจากเดินผ่านผู้ที่ขวางหน้าและอยู่ในสายตาไปแล้ว ร่างกายคนเหล่านั้นพลันกลายเป็นเศษเนื้อ โลหิตตกลงสู่เบื้องล่าง และผสานรวมกับสายฝนบนท้องฟ้าจนกลายเป็นสายฝนโลหิต!
ขั้นวิญญาณหมานตอนต้นก็ไม่เท่าไร ในสายตาของคนรกร้างบนเกาะหมัวหลัว เพียงครู่เดียวท้องฟ้าโลกภายนอกแทบจะกลายเป็นสีโลหิต
ท่ามกลางฝนโลหิต ผู้ปกป้องหมู่เกาะทั้งเจ็ดกลุ่มตายไปมากกว่าครึ่ง ความตื่นตะลึงทางสีหน้าเป็นสิ่งที่ยากจะใช้คำพูดมาบรรยาย
พวกเขายังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนรกร้างของหมู่เกาะอารักขานอกม่านแสง ช่วงที่หลายร้อยคนถูกสังหารจนเหลือเพียงหลายสิบคน กลุ่มคนรกร้างที่คิดว่าตนเหี้ยมโหดกับทุกคนและไม่กลัวความตายเหล่านี้ล้วนเสียสติ จิตใจแหลกสลาย พากันร้องเสียงดังและแตกรังด้วยความกลัว
“มันเป็นคนบ้า!”
“มันเป็นวิญญาณชั่วร้ายกระหายเลือด!”
“แดนอรุณใต้ ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนชั่วร้ายเช่นนี้อยู่ นะ…นี่…..”
เห็นกลุ่มคนอันน้อยนิดรอบๆ กำลังหนีด้วยความกลัว ซูหมิงจึงยกมือซ้ายขึ้นชี้ไปยังท้องฟ้า เมฆหมอกทั้งผืนฟ้าพลันหมุนโคจรกลายเป็นพายุหมุนลงมา ซัดสาดทะเล โหมซัดคลื่นยักษ์ ภายใต้การกวาดล้างนี้ หลายสิบคนที่กำลังหนีเหล่านั้นถูกม้วนเข้าไปในพายุหมุน เสียงระเบิดดังสนั่น จากนั้นก็ไม่มีใครมีชีวิตรอด!