ตอนที่ 533 ทำลายเกาะ 2
แทบเป็นช่วงที่คนที่เหลือจากเกาะอารักขาตายลง ซูหมิงค่อยๆ ยกทวนยาวขึ้น ขณะคนรกร้างบนเกาะหมัวหลัวกำลังตื่นตะลึง พวกเขาก็เห็นกับตาว่าซูหมิงบนท้องฟ้าพลันสะบัดมือขวา
ครั้นสะบัดมือ ทวนยาวกลายเป็นสายรุ้งยาวสีม่วงทะลวงมวลอากาศ ฉีกฟ้าดินเป็นรอยเปิดยักษ์ แล้วตรงไปยังม่านแสงเกาะหมัวหลัว
วินาทีที่เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นกับเสียงสั่นสะเทือนกึกก้องไปทั้งเกาะ ม่านแสงถูกแสงม่วงทะลวงผ่าน ส่งเสียงดังโครมพร้อมกับทะลวงเข้าไปยังแผ่นดินของเกาะ เกิดเป็นแรงปะทะสีม่วงกวาดไปรอบๆ ม่านแสงแตกกระจายเป็นเศษนับไม่ถ้วน ประหนึ่งว่ามีมือใหญ่ไร้รูปกดมาจากด้านบน ม่านแสงระเบิดแล้วม้วนตลบเศษม่านแสงเข้าไป
แทบจะเป็นช่วงเดียวกับที่ม่านแสงเกาะถูกทำลาย ณ วิหารใหญ่หลังหนึ่งกลางยอดเขาจำนวนมากบนเกาะ!
วิหารนี้ดูโบราณยิ่งนัก ข้างในวางป้ายวิญญาณสำหรับบูชาเป็นแถวๆ ดูเหมือนกับหอคอยเล็ก บนป้ายวิญญาณเหล่านั้นสลักอักขระไม่น้อย ปล่อยกลิ่นอายพลังทะมึนพิลึก
ใต้แถวป้ายวิญญาณมีชายชราเสื้อขาวนั่งอยูผู้หนึ่ง ตรงหน้าเขาวางดาบยาวหนึ่งเล่ม ดาบนี้ปล่อยไอหนาวเยือก หากมองนานๆ จะเกิดความรู้สึกหลอนว่ามีเสียงวิญญาณกรีดร้องข้างหู ทั้งยังมีไอดำปล่อยมาจากดาบยาว วนเวียนอยู่รอบๆ
ชายชราผมขาวทั้งศีรษะ บนใบหน้ามีแผลเป็นจากหางคิ้วทางขวาเชื่อมจนถึงมุมปากทางซ้าย รอยแผลเป็นนี้ยังแดงๆ อยู่ ดูดุร้ายยิ่งนัก ทั้งยังทำให้ชายชราดูน่ากลัวยิ่ง
เขามีสีหน้าสงบนิ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าเหตุการณ์ทุกอย่างข้างนอกไม่มีอะไรน่าสนใจ
ข้างกายเขายังมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่คนหนึ่ง ชายคนนี้สวมเสื้อคลุมยาว มีสีหน้าสงบนิ่งเช่นกัน ในมือมีกระดูกถูกขัดจนมันวาวสองชิ้น และเขากำลังหมุนมันอย่างต่อเนื่อง
ตรงประตูใหญ่ใกล้กับวิหาร ตอนนี้มีคนยืนอยู่สามคน สามคนนี้สองคนเป็นชายชราผมขาว และอีกคนเป็นผู้เยาว์ พวกเขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเคารพ และในความเคารพยังมีความหวาดกลัว
“ท่านบรรพบุรุษ เขาเรียกตัวเองว่าซูหมิง มาจากแดนอรุณใต้…….เจ็ดอารักขานอกเกาะถูกสังหารแล้ว ปราการชั้นแรกในเกาะก็ถูกทำลายแล้ว” ผู้เยาว์หนึ่งในสามคนนั้นกล่าวเสียงเบา
“กับอีแค่เดรัจฉานจากอรุณใต้คนหนึ่ง……” ชายชราเสื้อคลุมขาวที่มีรอยแผลเป็นดาบบนใบหน้า ยามนี้ลืมตาขึ้น เมื่อกวาดมองสามคนแล้ว ก็มองดาบยาวสีดำตรงหน้าตน
“พวกเจ้าสามคนเอาดาบหมัวหลัวข้าไป แล้วใช้อาคมรกร้างโลหิต เท่านี้ก็สังหารมันได้แล้ว ไปเอาหัวมันมาให้ข้า”
เมื่อชายชรากล่าว ดาบยาวสีดำตรงหน้าส่งเสียงอื้ออึง เสียงนี้แฝงไว้ด้วยความเหี้ยมโหดและจิตสังหาร หลังจากเสียงดังขึ้นแล้ว ดาบยาวสีดำบินขึ้นเอง จนกระทั่งบินวนในวิหารใหญ่ครบหนึ่งรอบแล้วก็ตรงไปยังผู้เยาว์คนนั้น ก่อนผู้เยาว์จะรับมันด้วยสองมืออย่างนอบน้อม
เขามีสีหน้าตื่นเต้นพลางรีบกล่าวขึ้น
“ท่านบรรพบุรุษวางใจเถอะ มีดาบหมัวหลัวอยู่ ใช้คู่กับอาคมรกร้างโลหิต ต่อให้บุคคลนี้เป็นขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย ก็ต้องถูกสังหารในอาคม!”
ผู้เยาว์คนนั้นกล่าวบอกลาในทันใด ชายชราสองคนข้างๆ ก็นัยน์ตาเป็นประกายวาว ฉายแววเหี้ยมโหดเช่นกัน แล้วจากไปอย่างนอบน้อมพร้อมกับผู้เยาว์ กลายเป็นสายรุ้งยาวสามเส้นบินออกจากวิหาร
“เจ้าน่าจะรู้ พวกเขาสามคนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ต่อให้มีดาบหมัวหลัวของเจ้าก็ตาม” หลังจากสามคนนี้ออกไป ชายวัยกลางคนที่หมุนกระดูกในมือกล่าวเบาๆ
“แล้วอย่างไร!” ชายชรามีสีหน้าสงบนิ่งก่อนหลับตาลง
“ไม่คิดเลยว่าแดนอรุณใต้จะมีผู้แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ อ่านขั้นพลังไม่ออก เห็นอยู่ว่าเป็นแค่เซ่นไหว้กระดูก ทว่าถ้าสัมผัสดีๆ กลับแกร่งจนน่าตะลึง ดูจากการต่อสู้ของเขาที่สังหารเจ็ดอารักขาในชั่วพริบตา เกรงว่าคงบรรลุจุดสูงสุดขั้นวิญญาณหมานตอนปลายของเผ่าหมานแล้ว กระทั่ง…..ยังมากกว่าอีกเล็กน้อย” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างเนิบช้า
“เกรงว่าศัตรูแบบนี้ ต่อให้เป็นเจ้าก็ยังต้องระวังอย่างยิ่ง ฉะนั้น……เจ้าเลยไม่ยอมออกไปในทันที” ชายวัยกลางคนยิ้มมองชายชรา
“เจ้าพูดพอรึยัง?” ชายชราลืมตามองชายวัยกลางคนอย่างเย็นชา
“ก็ถูก ต่อให้ทุกคนบนเกาะหมัวหลัวตายหมด ขอแค่เจ้ายังอยู่ เกาะนี้ก็ยังดึงดูดคนรกร้างให้มามากขึ้นอีกได้ และก็ยังทำให้อิทธิพลของเจ้าขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย” ชายวัยกลางคนยิ้ม
“ให้คนด้านล่างพวกนั้นหยั่งเชิงไปเรื่อยๆ โลหิตและการเข่นฆ่าจะทำให้บุคคลนั้นเหนื่อยล้า และหาจุดอ่อนจากการหยั่งเชิง จากนั้นเจ้าก็จะปรากฏตัวและออกไปสู้ แม้เกาะหมัวหลัวจะมีโลหิตไหลปานสายน้ำหรือทุกหย่อมหญ้าตายลงก็ตาม”
ชายวัยกลางคนถอนหายใจ
“มิหนำซ้ำ เจ้าอยู่ในวิหารนี้ยังใช้วิญญาณเซ่นไหว้บรรพบุรุษได้ในระดับสูงสุด เจ้าจะปลดปล่อยพลังขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ได้ในเวลาอันสั้น ฉะนั้นเจ้าจึงรอเขามาที่นี่ มันย่อมดีกว่าออกไปสู้ข้างนอกมาก
นอกจากนี้แล้วยังมีท่านโม่เชวี่ยอยู่ ต่อให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด ต่อหน้าท่านโม่เชวี่ยทุกอย่างจะหายไป”
ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะ เกิดความรู้สึกสงสารผู้มาเยือนนามซูหมิงคนนี้
“และเจ้าก็อยู่ที่นี่เช่นกัน” ชายชราที่มีแผลเป็นบนใบหน้ากล่าวนิ่งๆ
ชายวัยกลางคนเงียบพลางลอบถอนหายใจ
แทบเป็นช่วงที่ชายวัยกลางคนเงียบ พลันมีเสียงโครมครามดังสนั่นกึกก้อง ทั้งยังมีแรงปะทะแผ่กระจาย ทั้งเกาะสั่นสะเทือน
ด้านนอกวิหารมีเสียงเข่นฆ่าดังสนั่น ซูหมิงในชุดเกราะสีม่วงมือถือทวนยาวเดินหน้ามาทีละก้าว จังหวะก้าวไม่เร็ว ทว่าด้านหลังกลับมีศพนับไม่ถ้วน!
อีกทั้งบนท้องฟ้ายังมีแสงดำบินวนรอบๆ แสงนั้นก็คือกระบี่เล็ก และยังมีจิตแรกของซูหมิงควบคุมอยู่ ผู้ที่กล้าบินบนท้องฟ้าล้วนต้องเผชิญหน้ากับกระบี่เล่มนี้
ไกลออกไปอีก ยามนี้เสียงโครมครามดังบนท้องฟ้า มีร่างมายายักษ์ปรากฏขึ้น รูปร่างของมันคืองูน้อยจู๋จิ่วอิน มันร้องคำรามและเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง
คนรกร้างล้วนตาแดงก่ำ พุ่งเข้ามาโดยไม่สนสิ่งใดและใช้วิชาของตน ขั้นพลังต่ำสุดคือเซ่นไหว้กระดูก ยามนี้บุกเข้ามาพร้อมกับกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นจากในตัวพวกเขาและแสงโลหิต รวมถึงเสียงคำรามดังติดต่อกัน
หากมองจากบนท้องฟ้าจะเห็นชัดว่าบนเกาะหมัวหลัวทั้งหมดมีม่านแสงสีโลหิตอยู่หลายชั้น ม่านแสงโลหิตคลุมเกาะไปมากกว่าครึ่ง รวมถึงซูหมิงกับคนบนเกาะหมัวหลัวทั้งหมดด้วย
ม่านแสงโลหิตขยับวูบวาบอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ขยับแสงจะมีแสงสีแดงลงมายังซูหมิง
หากมองดีๆ จะเห็นว่าม่านแสงโลหิตมีทั้งหมดเก้าชั้น ยิ่งอยู่ข้างนอกจะยิ่งเข้มข้น ด้วยการห่อเป็นชั้นๆ มันจึงมีลักษณะเป็นวงแหวนอาคม ด้านบนสุดของม่านแสงมีดาบยาวสีดำลอยอยู่เล่มหนึ่ง นอกดาบยาวนั้นก็มีคนสามคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนม่านแสง สามคนนี้ก็คือผู้เยาว์กับชายชราสองคนที่อยู่ในวิหารก่อนหน้านี้
พวกเขาสามคนหลับตาสนิท ราวกับกำลังหมุนโคจรวงแหวนอาคม
“ข้าเคยบอกแล้ว หลังจากผ่านไปจะมีโลหิตไหลเป็นสายน้ำ” ซูหมิงเดินหน้าไปอย่างช้าๆ นิ้วชี้มือซ้ายกดไปข้างๆ คนรกร้างที่พุ่งเข้ามาคนหนึ่งมีโพรงโลหิตตรงระหว่างคิ้ว ก่อนกระเด็นถอยไป
“ข้าเคยบอกแล้ว ผู้บุกรุกแดนอรุณใต้ของข้า ไม่ว่าอยู่ไกลเพียงใดจะต้องถูกประหาร!” ซูหมิงปาทวนยาวในมือขวา ทวนนี้ตรงเข้าไปปักอยู่บนยอดเขาไกลๆ ส่งเสียงดังสนั่น ขณะเดียวกับที่ภูเขาระเบิดกระจายเป็นเสี่ยงๆ ซูหมิงยกมือขวาขึ้นแล้วคว้าไปยังเศษภูเขานั้น แล้วสะบัดไปข้างนอก
ตรงจุดที่ภูเขาถล่มเกิดพายุหมุนขึ้น พายุม้วนเศษหินแล้วกระจายออกสู่รอบๆ ในเศษหินเหล่านี้แฝงไว้ด้วยพลังหมานวายุ ทั้งยังรวมเข้ากับฝนโลหิต
“ข้าเคยบอกแล้ว เลือดแดนอรุณใต้ต้องชำระด้วยเลือด!” ซูหมิงเดินมาอยู่ข้างทวนยาวที่ปักอยู่บนยอดเขาที่ถล่มลง ใช้มือกำเอาไว้แล้วก็ค่อยๆ ดึงขึ้น ในเวลาเดียวกันเขายกมือซ้ายแล้วคว้าไปด้านหลังอย่างสบายๆ คนรกร้างที่กำลังพุ่งเข้ามาจากด้านหลังคนหนึ่งถูกซูหมิงบีบคอเอาไว้
ช่วงที่หมุนตัวกลับ เขาไม่เห็นแววตาสิ้นหวังและหวาดกลัวของบุคคลนี้ จนบีบคอละเอียดแล้วก็คลายมือออก ก่อนเงยหน้ามองสามคนที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนม่านแสงโลหิต
วินาทีที่มองสามคนนั้น ทั้งสามคนก็สังเกตเห็นถึงสายตาเย็นชาของซูหมิงเช่นกัน ต่างพากันตื่นตะลึง ทันใดนั้นเอง ในม่านแสงโลหิตที่คลุมไปมากกว่าครึ่งเกาะหมัวหลัว ตอนนี้ยังมีคนรกร้างอีกหลายร้อยคน ภายใต้การต่อสู้กันอย่างไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางท้องฟ้าสีแดงและแผ่นดินสีแดงเปียกโชก ในที่สุดพวกเขาก็เสียสติ
พวกเขาหวาดกลัว ทุกอย่างเป็นเพราะการเข่นฆ่าของซูหมิง ความไร้ปราณี เฉยชาและสังหารอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกเหมือนอยู่ในนรก
พวกเขาเจอกับคนที่เหี้ยมโหดกว่าพวกเขา ทันทีที่เผชิญหน้ากับคนแบบนี้ ทุกอย่างของพวกเขาล้วนป่นปี้!
“นี่คือคนรกร้างอย่างนั้นหรือ……พวกเจ้ารังแกได้แต่ผู้อ่อนแออย่างนั้นรึ?”
ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็ปาทวนยาวในมือลงสู่พื้น
วินาทีที่ทวนยาวสัมผัสกับพื้น มันพลันขยับแสงสีม่วงอย่างเด่นชัดแล้วละลายไปพร้อมกับๆ เกราะสีม่วงบนตัวซูหมิง เกราะนี้กลายเป็นเส้นสีม่วงนับไม่ถ้วนในพริบตาเดียว หลังจากถอดเกราะ แสงสีม่วงทั้งตัวซูหมิงสว่างจ้าละลานตา เส้นสีม่วงเหล่านั้นปานมีชีวิต มันมุดเข้าสู่ผืนดินอย่างบ้าคลั่ง
แทบเป็นช่วงที่พวกมันมุดเข้าผืนดิน ในม่านแสงสีโลหิตมีเสียงร้องโหยหวนดังกึกก้อง พบว่าผืนดินใต้เท้าหลายร้อนคนที่เหลืออยู่พลันมีเส้นสีม่วงมุดขึ้นมาแล้วตรงเข้าสู่ร่างกายพวกเขา ชั่วพริบตาเดียวในม่านแสงและทั้งเกาะถูกย้อมกลายเป็นสีม่วง!