Skip to content

สู่วิถีอสุรา 537

ตอนที่ 537 หนึ่งทวนที่แกร่งที่สุด

‘ทว่ามันก็สร้างแรงบันดาลใจให้ข้า…ที่แท้มันใช้งานแบบนี้ได้ด้วย’ นัยน์ตาซูหมิงวาววับ มองวิหารใหญ่กลางอากาศแล้วหลับตาลง

ครู่ต่อมา วินาทีที่ลืมตาขึ้น ในแววตาเขาปรากฏร่างเงามายา ในนั้นเป็นวิหารหลังหนึ่ง เป็นเมืองที่มีนามเลื่องลือ นั่นก็คือ…เมืองหลวงต้าอวี๋!

ในเงามายาเหล่านั้นมีวิหารกลางของต้าอวี๋ และก็มี…วิหารแดนใต้ต้าอวี๋ที่ถูกเลียนแบบขึ้นมา!

แทบจะเป็นช่วงที่ในดวงตาซูหมิงปรากฏวิหารเหล่านั้นกับราชวงศ์ เขาเดินหน้าไปหนึ่งก้าว ครั้นเหยียบลงไปวิหารมายาตรงหน้าพลันแตกกระจาย สุดท้ายก็ถล่มลง

‘ระหว่างความจริงกับมายาเปราะบางเช่นนี้เอง’ ตอนที่วิหารแดนใต้ต้าอวี๋ถล่มลง ในใจซูหมิงสัมผัสได้ เมื่อวิหารพังลงกลายเป็นเศษกระจายสู่รอบๆ ก็เหมือนเปิดม่านโลกตรงหน้าเขา เผยให้เห็นเกาะหมัวหลัวด้านหลังโลกมายาและยังมีหมัวหลัวที่ก้าวไปในวิหารได้เพียงครึ่งก้าว ทว่ากลับตัวสั่น กระอักโลหิตมาหนึ่งกอง!

หมัวหลัวใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาไม่หวังว่าพลังแห่งต้าอวี๋จะสังหารอีกฝ่ายได้ ถึงอย่างไรวิชานี้ก็เป็นเพียงมายาที่สำนักของเขาสร้างเลียนแบบขึ้นมา แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าจะถ่วงเวลาอีกฝ่ายได้สักระยะ

ทว่าความจริงแล้ว ในสายตาเขาตั้งแต่เริ่มใช้วิชานี้ไปจนภาพมายาต้าอวี๋สลายไป ทุกอย่างเพียงแค่สามลมหายใจเท่านั้น!

เวลาสามลมหายใจเหมือนฟ้าถล่มแผ่นดินแยก แสงสีเหลืองบนท้องฟ้ามอดดับในทันใด หลังจากหมัวหลัวกระอักเลือดก็มีกระเบื้องแผ่นหนึ่งตกลงมาจากแสงมอดดับบนท้องฟ้า

มันเป็นกระเบื้องสีแดงฉาน ภายในแฝงไว้ด้วยความเก่าแก่โบราณ ภาพมายาต้าอวี๋ก็มาจากสิ่งนี้ เมื่อมันตกลงสู่พื้น ด้านบนพลันเกิดรอยร้าวคล้ายจะแตกหัก

‘เป็นไปไม่ได้ เจ้าสำนักเคยบอกว่าในภาพมายาต้าอวี๋ ไม่มีใครออกมาได้ในเวลาแค่หลายลมหายใจ ต่อให้ใช้มันกับผู้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง อย่างน้อยสุดก็ขังไว้ได้ครึ่งก้านธูป!’ จิตใจหมัวหลัวมีความกลัวเข้ามาแทนที่อีกครั้ง ชั่วขณะที่เขากระอักเลือดและจะก้าวเข้าไปในวิหารอย่างแน่วแน่ ยังไม่ทันเหยียบลงโลกรอบตัวก็บิดเบี้ยว ในความบิดเบี้ยวนั้น เขาเห็นภาพน่าสะพรึงที่เคยเกิดขึ้นกับเป่าซาน!

เขาเห็นเวลาย้อนคืน เห็นโลกรอบๆ กลายเป็นเศษรวมกันใหม่ เห็นตนก้าวถอยหลัง เห็นร่างตนเดินออกจากวิหารใหญ่

ทั้งยังเห็นซูหมิงยกนิ้วชี้มือขวาเหมือนกับตอนสร้างบาดแผลสาหัสให้กับเป่าซาน

หนึ่งนิ้วกดตรงหน้าอก ความเจ็บปวดไหลเวียนไปทั่วร่าง โลหิตไหลจากมุมปากหมัวหลัว เขากลับไม่มีแรงต่อต้านใดๆ เลย ราวกับว่าในกาลเวลาหวนคืนนี้ จิตกับร่างกายแยกกัน เพราะร่างต้นอยู่ข้างหน้า และขณะเดินหน้าจิตเขาจึงไม่รับรู้ถึงอันตราย ฉะนั้นจึงไม่ต่อต้านใดๆ ทว่าตอนนี้เวลาย้อนคืน ร่างกายยังคงอยู่ในสภาพไม่ต่อต้าน ฉะนั้นทุกอย่างของตนจึงตกอยู่ในห้วงของการถูกโจมตี

นี่ก็คือจุดแข็งที่สุดของซู่มิ่ง!

หมัวหลัวแทบจะวิญญาณออกจากร่าง เขาเห็นจุดจบของเป่าซานอย่างชัดเจน ตนในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้นอยู่ ไม่มีการต่อต้าน หลบไม่ได้ ประหนึ่งกลายเป็นหุ่นเชิดถูกควบคุม ตกอยู่ห้วงการย้อนเวลาและถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัส จนกระทั่ง…ตาย!

โดยเฉพาะหลังจากถูกซูหมิงกดนิ้ว ยามโลหิตไหลริน ร่างกายเขาถูกโจมตีอย่างแรง แต่เพิ่งถอยไปไม่กี่ก้าว โลกตรงหน้าก็พังลงเป็นเศษและรวมขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างวนเวียนเป็นวัฏจักรอีกหนึ่งรอบ ซ้ำไปซ้ำมา ทำให้ส่วนลึกในใจเกิดความรู้สึกจิตใจสลาย

‘ให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ มิเช่นนั้นข้าต้องตายแน่! คนผู้นี้จะต้องเป็นหนึ่งในสามยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนอรุณใต้แน่นอน เขาสร้างชื่อมาหลายปี จะต้องมีกลอุบายอะไรอีกแน่!’ เห็นร่างตนกระเด็นถอยไป ตอนที่ซูหมิงเดินมากำลังจะกดนิ้วที่สองนั้น จิตใจหมัวหลัวตื่นตระหนกถึงขีดสุด เขาสังหารมาตลอดชีวิต ไม่เคยเจอวิชาพิลึกแบบนี้มาก่อน ครั้นนึกไปถึงฐานะของอีกฝ่าย ภายใต้ความตื่นกลัวและภยันตรายถึงชีวิต เขาก็เริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา

วินาทีที่ซูหมิงจะกดนิ้วที่สองตรงระหว่างคิ้วหมัวหลัว

นัยน์ตาหมัวหลัวแดงก่ำแทบทันใด แม้ไม่อาจควบคุมร่างกายตัวเองหรือใช้วิชา เขากลับทำให้ขั้นวิญญาณหมานของตนระเบิดได้!

ตอนที่มือซูหมิงสัมผัสกับระหว่างคิ้ว เส้นเลือดดำปูดนูนทั้งตัวหมัวหลัว ฉับพลันนั้นในร่างเขาปะทุแรงเผาไหม้ ความแกร่งของพลังนี้ก็มาจากการที่เขาเผาผลาญขั้นพลังของตัวเอง ขั้นวิญญาณหมานตอนปลายร่วงหล่นมาถึงขั้นวิญญาณหมานตอนกลางเป็นราคาต้องจ่าย

ทันทีที่ระเบิดพลังจากการแผดเผาขั้นพลัง หมัวหลัวถูกซูหมิงกดนิ้วจนกระเด็นถอยไปพร้อมกับกระอักเลือด ชั่วขณะโลกตรงหน้าเขาพังลงเป็นเศษแล้วกำลังรวมขึ้นอีกครั้ง มันกลับหยุดชะงักไปชั่วครู่ เขาคำรามเสียงต่ำ ก่อนพุ่งออกจากวัฏจักรอันน่าสะพรึงนี้โดยไม่สนสิ่งใด!

เขาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก เข้าใจทันทีว่าโอกาสของตนมีแค่ชั่วพริบตาเดียว ในใจเกิดความกลัวอย่างสุดขีดกับภาพวัฏจักรย้อนเวลานั้น ยามนี้เพิ่งออกมา เขาจึงใช้สองมือทำสัญลักษณ์แล้วชี้ไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล

“เจ็ดอารมณ์ของทุกสิ่งมีชีวิต ชอบ โกรธ ทุกข์ คิดถึง เศร้า กลัว ตระหนก!”

ชั่วขณะที่หมัวหลัวตะโกนพลางชี้นิ้วไปยังซูหมิง พลันมีกลิ่นอายพลังเจ็ดชนิดลอยมาจากนิ้วมือเขา

อีกทั้งจากสีหน้าคลุ้มคลั่งยังกลายเป็นหัวเราะเสียงดัง จากหัวเราะกลายเป็นโกรธ แล้วเปลี่ยนเป็นทุกข์อีกครั้ง จนกระทั่งคิดถึง เศร้า กลัว และตระหนก

เจ็ดอารมณ์สอดคล้องกับวิชาเจ็ดอารมณ์ของทุกสิ่งมีชีวิต มันเผยอยู่บนใบหน้าเขาในชั่วพริบตา จากนั้นกลิ่นอายพลังเจ็ดชนิดจากปลายนิ้วก็กลายเป็นเงาหมอกมายาเจ็ดตนพุ่งไปยังซูหมิง!

หมัวหลัวในยามนี้แผดเผาขั้นพลังตัวเองจึงหลุดมาจากวัฏจักรได้ ทำให้ซูหมิงไม่อาจใช้วิชาของอดีตเพื่อย้อนเวลาเขาได้อีก เขามีสีหน้าสงบนิ่ง ตอนนี้ผ่านไปสิบสองลมหายใจแล้ว ขีดจำกัดของซู่มิ่งใกล้จะมาถึงแล้ว

“เจ็ดอารมณ์…” ซูหมิงเงียบ แววตาเย็นชา ไม่หลบแต่เดินหน้าไปทางหมัวหลัวที่ยามนี้ใช้ทั้งหมดที่มีแล้ว ทันทีที่เดินเข้ามา เงาหมอกจากอารมณ์ชอบเข้ามาหาซูหมิงเป็นอันดับแรก ทว่าเมื่อหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายแล้วกลับทะลวงผ่านไป เหมือนว่าในตัวซูหมิงไม่มีอารมณ์ชอบ

ภาพนี้ทำให้หมัวหลัวอึ้งงัน จากนั้นร่างเงาหมอกแห่งความโกรธก็ตรงเข้ามา แต่เมื่อสัมผัสกับร่างซูหมิงกลับผ่านไปสลายอยู่ด้านหลังเช่นเดิม ซูหมิงยังคงมีสีหน้าเหมือนเคย ไม่เปลี่ยนไปมาก และยังเดินไปทีละก้าว

“นี่…..” หมัวหลัวตะลึงงันอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะตอนเห็นร่างเงาแห่งความทุกข์ เศร้า กลัว และตระหนกสัมผัสกับร่างซูหมิงแล้วทะลวงผ่านไปปานมองไม่เห็น นี่ยิ่งทำให้ความกลัวในใจพลันทะยานถึงขีดสุด!

“เป็นไปไม่ได้ คนไม่มีทางไร้อารมณ์ทั้งเจ็ดนี้!” หมัวหลัวตะโกนเสียงดังก่อนรีบถอยไปด้วยความกลัว เพียงแต่เขาที่กำลังตื่นตระหนกไม่สังเกตเห็นเลยว่าแม้เจ็ดอารมณ์นี้จะสลายไปทั้งหมด ทว่ามีอยู่เสี้ยวอารมณ์หนึ่งหยุดอยู่ในร่างซูหมิง

อารมณ์นั้นก็คือคิดถึง…

วินาทีนั้น ในความคิดซูหมิงผุดขึ้นมาเป็นภาพภูเขาทมิฬ ท่านปู่ ไป๋หลิง ยอดเขาลำดับเก้า และอาจารย์เป็นต้น…

เห็นซูหมิงเข้ามาใกล้อีกทั้งยังยกมือซ้ายขึ้น ความรู้สึกยามตกอยู่ในห้วงวัฏจักรและภาพโลกโดยรอบพังทลายเป็นเศษผุดขึ้นอีกครั้ง ขณะหมัวหลัวกำลังหวาดกลัว เขาพลันกัดฟันเผาขั้นพลังตัวเอง ครั้งนี้รุงแรงกว่าเดิม จากขั้นวิญญาณหมานตอนกลางร่วงมายังตอนต้น แล้วใช้การเผาผลาญขั้นพลังนี้สร้างเป็นแรงระเบิด เขาร้องคำรามพร้อมเดินหน้าหนึ่งก้าวเพื่อจะเข้าไปในวิหารใหญ่

นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย รูปร่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เวลาของซู่มิ่งใกล้จะจบลงแล้ว ทว่าสีหน้ายังคงนิ่งสงบ เขาไม่เดินหน้าอีก เพียงแสงสีม่วงขยับวูบวาบ ทั้งตัวก็กลายเป็นซู่มิ่งในชุดเกราะฝังศพ!

พริบตาเดียว ซูหมิงถูกแสงม่วงโอบล้อมทั้งตัว

ตอนที่ยกมือขวาขึ้นปรากฏทวนยาวในมือ นี่เป็นครั้งแรกของซูหมิงที่อยู่ในร่างซู่มิ่งแล้วปล่อยพลังของเกราะฝังอสูร!

เวลานี้หมัวหลัวใช้พลังจากการเผาขั้นพลังพุ่งออกจากการย้อนเวลาของซูหมิง หลังจากยอมจ่ายไปในราคาสูงลิ่ว ในที่สุดก็กลับเข้ามาในวิหาร ทันทีที่เหยียบเข้าไป เขากางแขนสองข้างแล้วเปล่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้า

“มรดกบรรพบุรุษ โปรดอภัยให้ร่างแห่งหมัวหลัวศิษย์รุ่นสาม โปรดช่วยข้าสร้างความรุ่งโรจน์ของสำนักเวไนยสัตว์อีกครั้ง!” ขณะหมัวหลัวคำราม ป้ายสถิตวิญญาณที่วางเรียงตรงหน้าในวิหารเปล่งแสงอ่อนแสบตา ในแสงนั้นปรากฏวิญญาณรูปร่างไม่ชัดเจนหลายตน การปรากฏตัวของวิญญาณเหล่านี้ทำให้วิหารพลันเย็นเยียบประดุจมีลมหนาวพัดเข้ามา วิญญาณเหล่านั้นพุ่งมาจากป้ายสถิตวิญญาณที่แตกหักไปทีละป้ายแล้วตรงมายังหมัวหลัว ก่อนมุดเข้าไปในร่าง

ทำให้กลิ่นอายพลังของเขาพุ่งทะยานขึ้น จากขั้นวิญญาณหมานตอนต้นบรรลุถึงวิญญาณหมานตอนกลาง และเพิ่มขึ้นอีกครั้งจนถึงวิญญาณหมานตอนปลาย ยังไม่จบเท่านั้น ขณะหมัวหลัวมีสีหน้าเจ็บปวดและร้องโหยหวน ขั้นพลังก็เพิ่มขึ้นอีก ยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์ แต่เป็นจุดสูงสุดของขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย!

ทุกอย่างนี้เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญขั้นพลัง มิเช่นนั้นแล้วด้วยสภาพคลุ้มคลั่งแบบนั้น เขาจะได้รับพลังสมบูรณ์ในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร!

หมัวหลัวตาแดงก่ำ ยามนี้ร่างกายเขาเจ็บปวดปานจะฉีกแยกออก จึงคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม จังหวะที่ขั้นพลังทะยานขึ้น เขาพลันหมุนตัวกลับ คิดจะคำรามใส่ซูหมิง ทว่าซูหมิงในร่างซูมิ่งสวมเกราะ มือขวาถือทวนยาวก้าวเดินมาทางหมัวหลัว แล้วปาเข้าใส่ก่อนที่ร่างซู่มิ่งจะหายไป

หนึ่งทวนนี้ ด้วยร่างของซู่มิ่งที่แกร่งที่สุด และยังสวมเกราะฝังอสูร มันเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งทวนที่เลิศล้ำที่สุด!

หนึ่งทวนนี้ หากวัดพลังจริงๆ มันอยู่เหนือกว่าขั้นสมบูรณ์ มีเค้าลางของขอบเขตสร้างชะตาอยู่เสี้ยวหนึ่ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version