ตอนที่ 679 เซียนมาเยือน
ศิษย์พี่ใหญ่กำขวานสงครามไว้ในมือ ก่อนมีกลิ่นอายดิบเถื่อนโบราณปะทุมาจากร่างไร้ศีรษะ
กลิ่นอายพลังนี้รวมขึ้นเป็นน้ำวนยักษ์ล้อมศิษย์พี่ใหญ่ไว้ ช่วงที่มันกระจายเป็นวงกว้าง ฟ้าดินเกิดเสียงอึกทึกกึกก้อง เซียนหลายหมื่นคนรอบๆ พากันหน้าเปลี่ยนสี
โดยเฉพาะจี๋อั้น ดวงตาพลันแวววาวจ้องศิษย์พี่ใหญ่ของซูหมิง สีหน้ายังจริงจังขึ้น ด้วยความรู้ของเขา ก่อนหน้านี้จึงยังไม่รู้ความคิดของศิษย์พี่ใหญ่ จนถึงตอนนี้เพิ่งจะมองออกถึงความเด็ดขาดและแน่วแน่
‘บุคคลผู้นี้มีปณิธานแน่วแน่…หลังจากถูกตี้เทียนควบคุมแล้วจึงมีการต่อต้านในส่วนลึกของจิตวิญญาณ เพียงแต่ว่าการต่อต้านของเขาค่อนข้างพิเศษ ไม่ใช่การดิ้นรน แต่ใช้พลังของตี้เทียนมาสร้างความสำเร็จให้ตัวเอง คนคนนี้…นี่ก็เท่ากับว่าตี้เทียนช่วยให้สายเลือดเขาพัฒนาขึ้น ทั้งยังตัดศีรษะตัวเอง ให้สายเลือดวิวัฒนาการจนมีจิตใจแน่วแน่และความกล้าหาญของสิงกาน ใช้พลังของตี้เทียนมาสร้างความสำเร็จให้ตัวเอง คนผู้นี้…จัดการยากยิ่งเหมือนกับซูหมิง และดูจากพลังของสิงกานแล้ว เหมือนว่าจะแกร่งกว่าซูหมิงเล็กน้อย!’
‘ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกซูหมิงว่าเขาเป็นทั้งตี้เทียนและก็ตัวเขาเอง! โดยเฉพาะเมื่อครู่ที่ใช้ศีรษะพุ่งชนซูหมิง เรื่องนี้คนอื่นอาจไม่เห็นเงื่อนงำอะไร ทว่า…ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ซูหมิงเองก็เหมือนจะมองออกอยู่บ้างเช่นกัน’ จี๋อั้นมีสีหน้าทะมึน หลังเกิดเรื่องแล้วเขาคาดเดาได้ง่ายกว่าก่อนเกิดเรื่องมาก
ความจริงก็เป็นอย่างที่จี๋อั้นคิดจริงๆ ก่อนหน้านี้ซูหมิงบอกว่าเข้าใจแล้ว เขาเข้าใจว่านี่คือความปรารถนาของศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่เป็นดาบเล่มหนึ่ง คนจับดาบคือตี้เทียน หากดาบนี้อยากให้ตนคมยิ่งขึ้น มันก็ต้องใช้หินลับดาบ
ซูหมิงเข้าใจความหมายของศิษย์พี่ใหญ่ เขายอมเป็นหินก้อนนั้นเพื่อลับดาบของสิงเทียน[1]!
ช่วงที่ดาบคมขึ้นมันจะแว้งกัดผู้กำดาบ การตัดศีรษะตัวเองนั้นไม่เพียงเผยความแน่วแน่ของศิษย์พี่ใหญ่ แต่มันยังตัดการเชื่อมต่อทุกอย่างระหว่างเขากับตี้เทียน
ฉะนั้นศีรษะที่ลอยอยู่จึงสร้างร่างมายาของตี้เทียนขึ้นและมีสีหน้าเหลือเชื่อ หลังจากจิตวิญญาณหายไปแล้วศิษย์พี่ใหญ่ใช้ร่างสิงกาน ตรงหน้าอกก็นูนขึ้นมาเป็นใบหน้าคนคล้ายกับมองขึ้นฟ้า
จากนั้นศิษย์พี่ใหญ่ก็ส่งเสียงคำรามดังสนั่น
“ศิษย์น้องเล็ก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์ กลิ่นอายพลังหายไปจากแดนหมาน แต่ข้ารู้สึกว่าเขายังไม่ตาย…..แต่กลิ่นอายพลังศิษย์พี่รองของเจ้าอ่อนแอยิ่งนัก…เขาอยู่ในสำนักชุมนุมเซียน!
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม เจ้าต้องไปสำนักชุมนุมเซียนบนแดนหมาน ไปช่วยศิษย์พี่รองของเจ้าออกมา!” เสียงศิษย์พี่ใหญ่ดังกึกก้องสั่นสะเทือนแผ่นดินและผืนฟ้า
“ศิษย์น้องเล็ก ขั้นพลังเจ้ายังมีแววว่าจะเพิ่มขึ้นอีก และยังมีโอกาสทะลวงสู่ระดับสูงกว่านี้ได้อีก ทว่าจิตใจเจ้าไม่แน่วแน่ ข้ามองออกว่าฟ้าดินหมานยอมรับเจ้าแล้ว ดวงชะตาเผ่าหมานเสริมร่างกายเจ้า เจ้า…..คือเทพหมานรุ่นสี่!
แต่เจ้ายังไม่ยอมรับฟ้าดินหมาน ไม่ยอมรับดวงชะตาเผ่าหมาน ทั้งยังไม่ยอมรับฐานะเทพหมานรุ่นสี่ ศึกครั้งนี้ศิษย์พี่จะสู้แทนเจ้าเอง เจ้าคิดให้ดีๆ ว่าจะรับฐานะเทพหมานหรือไม่!” ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนเงียบมาตลอด ตอนนี้กลับเอ่ยค่อนข้างยาว แทบเป็นขณะเดียวกับที่กล่าวประโยคนี้ ศิษย์พี่ใหญ่พลันเดินขึ้นฟ้าไปหนึ่งก้าว
ทันใดนั้นจี๋อั้นหรี่ม่านตาลง เขารู้สึกถึงจิตสังหารของสิงกานและความดิบเถื่อน เวลานี้จึงเคลื่อนตัวพร้อมกับประสานสัญลักษณ์มือแล้วสะบัดไปข้างนอก ฉับพลันนั้นรอบตัวเขาปรากฏวงแสงนับไม่ถ้วน วงแสงเหล่านี้โอบล้อมรอบๆ เหมือนกับปากแห่งอากาศจำนวนมาก ตอนที่มันปรากฏก็มีกลิ่นอายพลังชั่วร้ายแผ่กระจาย
ศิษย์พี่ใหญ่เข้ามาใกล้ แล้วยกขวานสงครามในมือก่อนฟันไปทางจี๋อั้น
เสียงครึกโครมดังสนั่น สองคนอยู่กลางอากาศและต่อสู้กันอย่างดุเดือด หนำซ้ำวิญญาณนักรบเชมันเกือบร้อยบนพื้นดินยังเงยหน้าขึ้นพร้อมกับมีสีหน้าแจ่มใสอีกครั้ง พวกเขาพากันเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ขณะเดียวกันวิญญาณทุกตนล้วนตัดศีรษะตัวเองให้เป็นอย่างศิษย์พี่ใหญ่ จากนั้นศีรษะของพวกเขากลายเป็นขวานสงคราม ครั้นกำเอาไว้ในมือแล้วก็บินขึ้นตรงไปหาจี๋อั้น
ซูหมิงนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ เขามองศิษย์พี่ใหญ่ที่ไร้หัวต่อกับสู้กับจี๋อั้น มองฟ้าดินส่งเสียงดังสนั่นไม่หยุด ในความคิดมีคำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ลอยขึ้น คำพูดเหล่านั้นประทับตราอยู่ในใจ
เป็นอย่างที่ศิษย์พี่ใหญ่ว่าไว้จริงๆ ส่วนลึกในใจซูหมิงยังไม่ยอมรับฟ้าดินเผ่าหมาน ไม่ยอมรับดวงชะตาเผ่าหมาน และไม่ปรารถนาเป็นเทพหมาน
หากภูเขาทมิฬเป็นของปลอม หากทุกอย่างไม่ใช่ความจริง เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่คนเผ่าหมานและก็ไม่มีสายเลือดเผ่าหมาน หากทุกอย่างย้อนกลับไป ตนเองในวัยเยาว์ไม่เหมือนกับเผ่าหมานเลย ที่ได้รับการฝึกฝนหมานตอนพิธีชี้นำหมานนั่นก็เป็นเพราะว่า…
เศษหินสีดำที่อยู่ตรงหน้าอกมานานปี ทุกอย่างเป็นเพราะมัน
ซูหมิงรู้สึกขมฝาดในใจเล็กน้อย จริงๆ คือเขารู้นานแล้วว่าตนเป็นปุยขาวของเมล็ดหลิวไร้ราก ลอยล่องไปตามลม ไม่รู้ว่าตนจะไปที่ใด ไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใด และก็ไม่รู้ว่าตน…เกิดจากที่ใด
เขาในสภาพนี้ไม่มีทางให้ฟ้าดินยอมรับ ไม่มีทางให้ดวงชะตาเผ่าหมานยอมรับและยอมรับว่าตนเป็นเทพหมานอย่างแน่นอน
“ข้าไม่ใช่เผ่าหมาน…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ
เสียงโครมครามดังอย่างต่อเนื่อง ด้านหลังจี๋อั้นปรากฏรูปปั้นยักษ์สิบแปดรูป ทุกรูปล้วนดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง รูปร่างต่างกัน มีคนมีสัตว์ เต็มไปด้วยความดุร้ายและชั่วร้าย ทั้งยังแผ่กลิ่นอายหนาวเยือก
นอกจากนี้บนตัวรูปปั้นสิบแปดรูปยังเห็นว่ามีวิญญาณร้ายอยู่ แต่กลับไม่มีกลิ่นอายความแค้นโอบล้อม ทว่ามีกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นอายชั่วร้าย ราวกับว่ามันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโลกใบนี้ แต่เป็นวิญญาณร้ายนอกโลกจากฟ้ากระจ่างดาวที่ไกลออกไป ไม่รู้ว่าล่องลอยมานานเท่าไรแล้ว
เสียงคำรามของพวกมันพิเศษมาก มีความเล็กแหลมและมีพลัง ตอนที่ได้ยินปราณและโลหิตในตัวคนจะหมุนโคจรย้อนกลับ หัวใจเต้นแรง ทั้งยังทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลง
ซูหมิงมองรูปปั้นสิบแปดรูปแล้วพลันหรี่ตาลง เขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก รู้สึกว่าเสียงคำรามชั่วร้ายจากนอกโลกนี้คุ้นหูอยู่เล็กน้อย เหมือนว่าเคยได้ยินที่ใดมาก่อน
ทว่าความรู้สึกคุ้นเคยเพิ่งเกิดขึ้น ยังไม่ทันที่ซูหมิงจะได้ตรึกตรอง ก็มีเสียงครึกโครมดังแว่วมาจากบนฟ้า
ทันทีที่เสียงนั้นแว่วเข้ามา มีกลิ่นอายพลังที่ไม่ใช่ของเผ่าหมานหลั่งไหลลงมาจากฟ้า ซูหมิงรู้สึกได้ทันที เพราะทันทีที่กลิ่นอายพลังพวกนั้นลงมา ร่างกายเขาเกิดเค้าลางจะเสื่อมถอยในทันที
ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นน้ำวนยักษ์สองจุดบนฟ้าที่เคยปรากฏตอนเริ่มสงคราม แต่หลังจากนั้นก็ถูกฟ้าบิดเบี้ยวบังเอาไว้!
นั่นไม่ใช่ของเผ่าหมาน เห็นได้ว่ากลิ่นอายพลังจากเซียนนั้นแผ่กระจายมาจากวงแหวนอาคมน้ำวนสองจุดที่ตอนนี้เหมือนจะลดระดับลงมา
‘กลิ่นอายพลังแห่งแสงสว่างหยาง!’ ซูหมิงหรี่ม่านตา หากเป็นเมื่อก่อนร่างกายเขาคงไม่มีแรงต่อต้านกลิ่นอายพลังแสงสว่างหยางอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ในร่างกายเขาผนึกหินแสงสว่างหยางครึ่งก้อนเอาไว้ จากการที่ต่อต้านอยู่เรื่อยๆ เขาจึงยืนหยัดอยู่ใต้กลิ่นอายแสงสว่างหยางได้นานขึ้นอีกเล็กน้อย
เวลานี้เขานัยน์ตาแวววาว ก่อนขยับวูบไหวตรงไปยังวงแหวนอาคมน้ำวนสองจุด ไม่จำเป็นต้องไปฟังเสียงตื่นเต้นของเซียนหลายหมื่นคนด้านล่าง เขาก็มองออกว่ากำลังมีเซียนมาเยือนอย่างแน่นอน
แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงเข้าใกล้ มีเสียงโครมครามพลันดังขึ้นอีก เห็นเพียงว่าวงแสงยักษ์สองวงเปล่งแสงสว่างจ้าละลานตาเหนือวงแหวนอาคมน้ำวนบนฟ้าแล้วลดระดับลงมา มองไกลๆ เหมือนกับลำแสงยักษ์สองเส้นเชื่อมฟ้าและดิน
ภายในลำแสงวูบวาบสองเส้นนั้น ค่อยๆ ปรากฏร่างเงาแยกกันอยู่หลายคน คล้ายๆ ถูกยืดยาวจากความเลือนรางและบิดเบี้ยว ก่อนรวมกันขึ้นและหดเล็กลงจนออกมาเป็นร่างคน
แทบเป็นช่วงที่ปรากฏร่างคน ยังไม่ทันรวมจนสมบูรณ์ ซูหมิงก็เข้าไปใกล้พร้อมกับจิตสังหาร ด้วยความเร็วของเขา พริบตาเดียวก็บุกทะลวงเข้าไปในลำแสงเส้นหนึ่งพร้อมด้วยเสียงโครม วินาทีที่เข้าไป ร่างกายเขามีควันดำลอยขึ้นฟ้า นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของเขา แต่ด้วยพลังแห่งแสงสว่างหยางเข้มข้น ร่างกายเลยแก่ชราขึ้นและมีควันดำลอยโชยออกมาเอง
ร่างซูหมิงแก่ชราไปเป็นส่วนใหญ่ ทว่าความเร็วไม่ลดน้อยลง กลับเร็วขึ้นเรื่อยๆ ขณะพยายามระงับความเจ็บปวดทั้งในและนอกร่างกายเนื่องด้วยพลังแห่งแสงสว่างหยางนั้น เขาพลันยกมือขวาขึ้นแล้วสะบัดไปข้างหน้าอย่างแรง
ร่างสามคนตรงหน้ายังไม่ทันเป็นรูปร่างก็ตัวสั่น มีเสียงร้องเล็กแหลมดังแว่วผ่านเข้ามา ก่อนที่ร่างสามคนนั้นจะสลายเป็นควันหายไป
ซูหมิงยังไม่หยุด เขาขยับวูบไหวพร้อมกับกดนิ้วชี้มือขวาไปยังร่างเงาด้านข้างที่รวมกันแล้วมากกว่าครึ่ง หลังจากร่างเงานั้นสลายไป เขาก็กระทืบเท้าลงพื้น เกิดระลอกคลื่นกว้างใหญ่แผ่กระจายเป็นวงกว้างอย่างรุนแรง
ทำให้ร่างสามคนที่อยู่ใกล้ที่สุดตัวสั่นไหว สุดท้ายก็ระเบิดกระจุย ซูหมิงขยับวูบไหวอีกครั้ง แล้วชกหมัดขวาไปยังร่างเงาสุดท้ายที่เหลืออยู่ในลำแสงตอนนี้
หนึ่งหมัดนี้คือการโจมตีสุดกำลังของขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย ใช้คู่กับทั้งร่างซึ่งพัฒนาเป็นหมาน กระทั่งร่างแยกตี้เทียนยังหวาดกลัว ยามนี้ชกออกไปยังร่างเงาที่รวมตัวกันแล้วมากกว่าครึ่ง
[1] สิงเทียน เป็นคนยักษ์ไร้หัวในตำนานโบราณหนึ่งของจีน เดิมต่อสู้กับจักรพรรดิหวงเพื่อแก้แค้นให้จักรพรรดิเหยียนผู้เป็นนาย แต่ถูกจักรพรรดิหวงตัดหัวขาด