ตอนที่ 690 จุดนั้น
เพลงซวินและเสียงนั้นคือสิ่งสุดท้ายในจิตสำนึกของซูหมิง ขณะร่างดิ่งลง โลกของเขาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ อย่างรวดเร็ว กลายเป็นเศษชิ้นส่วนม้วนกระทบทั่วร่าง ประหนึ่งจุดเปลวเพลิงกลางอากาศแล้วเผาไหม้ทุกอย่างโดยรอบ
บางทีนี่อาจไม่ใช่ความฝัน บางทีอาจเป็นความจริงอีกแบบหนึ่ง
วิชาของตี้เทียนทำให้ซูหมิงตกอยู่ในบ่วง…เหมือนกับหลายครั้งก่อนๆ แล้วเริ่มครั้งต่อไปราวกับเป็นวัฏจักร
นอกจากตัวเขาเองแล้วก็ไม่มีใครรู้เป้าหมายของแผนการเขา ต่อให้สำนักเผ่าเซียนจำนวนมากเข้าร่วมแผนอันยาวนานนี้ด้วย ทว่าก็ทำได้เพียงคาดเดา ไม่มีใครล่วงรู้ความคิดของตี้เทียนได้
บางทีการสังหารที่ตี้เทียนเอ่ยถึงอาจไม่ได้หมายถึงชีวิต แต่เป็นความทรงจำ เพียงแต่ว่าซูหมิงในครั้งนี้ เขาเดินออกจากการควบคุมของตี้เทียนอย่างแท้จริงแล้ว
วินาทีที่ซูหมิงลืมตา แวบแรกที่เห็นคือน้ำวนมรณะหยินยักษ์ปกคลุมทั่วฟ้า แวบที่สองคือขอบโค้งของดาราแท้จริงขนาดยักษ์หลายดวง รวมถึงท้องฟ้าที่กำลังถูกผ้าสีครามเข้มปกคลุมอย่างรวดเร็ว ทว่าในแวบที่สามกลับเป็นฟ้ากระจ่างดาวจากอภินิหารของตี้เทียน ใบหน้ายักษ์ที่รวมขึ้นจากจุดดาว ตอนนี้กำลังสบตากับซูหมิงด้วยความตะลึงและเหลือเชื่อ
แวบที่สี่คือตี้เทียนชุดคลุมดำที่อยู่ไกลออกไปเผาร่างอาคมจนเหลือเพียงศีรษะแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงเห็นความตะลึงและหวาดกลัวทางสีหน้าจากร่างอาคมของตี้เทียน
ความตื่นตะลึงและความหวาดกลัวนั้นเป็นของจริงแท้ สีหน้าเหลือเชื่อจากร่างอาคมตี้เทียนก็เป็นของจริงเช่นกัน!
ซูหมิงตื่นขึ้นแล้ว
“เป็นไปไม่ได้!” ตี้เทียนที่เหลือเพียงศีรษะสูญเสียความน่าเกรงขามเป็นครั้งแรก เสียการควบคุมจิตใจเป็นครั้งแรก และร้องคำรามอย่างเหลือเชื่อเป็นครั้งแรกเช่นกัน
ใบหน้าเขามีเส้นเลือดดำปูดโปน เห็นได้ชัดว่าถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง เขาไม่อาจเชื่อในทุกสิ่งที่เห็น มันทำลายความรู้ความเข้าใจเขา ทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองจนป่นปี้
“เจ้าไม่มีทางตื่นขึ้น นี่คือวิชาดำดิ่งสู่ห้วงลึกที่ข้าเผาร่างอาคมตัวเองเพื่อสำแดง เจ้าไม่มีทางรับมือได้ ไม่มีทาง…เจ้าน่าจะตกอยู่ในห้วงของวิชาเหมือนกับครั้งก่อนๆ และไปเริ่มวงเวียนชีวิตของเจ้าใหม่อีกหลายต่อหลายครั้งจวบจนนิรันดร…
นี่ต่างหากคือโชคชะตาของเจ้า นี่ต่างหากคือโชคชะตาที่ข้ามอบให้เจ้า!
เหตุใดเจ้าถึงตื่นเร็วขนาดนี้! โชคชะตาของเจ้าเป็นของข้า ทุกอย่างของเจ้าต้องไปตามความคิดข้า!” ตี้เทียนคลุ้มคลั่ง เขาเอ่ยเสียงหลงดังกังวาน เวลานี้พลันเงยหน้าขึ้นฟ้า ตะโกนเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง
“เป็นเจ้า เจ้ารบกวนวิชาของข้า เจ้าทำให้เขาตื่นจากห้วงลึก เป็นเจ้า! เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นใครกันแน่!”
เสียงตี้เทียนดังสนั่นหวั่นไหว เทียบกับเขาแล้ว ซูหมิงในตอนนี้มีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย ทว่าที่มากกว่าคือสงบนิ่ง
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจทุกอย่าง…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขาเงยหน้าขึ้นเช่นกัน แล้วตะโกนไปทางใบหน้าจากดาราบนฟ้าที่เริ่มบิดเบี้ยว
“เนิ่นนานมาแล้ว มีเรือรบวิเศษลำหนึ่งบินออกจากโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์…นั่นคือของวิเศษของเผ่าวิญญาณหยิน พวกเขาพาดวงจิตของหยินศักดิ์สิทธิ์ไปในฟ้ากระจ่างดาวอันไร้ที่สิ้นสุดของสี่มหาโลกแท้จริง เพื่อตามหาศพของผู้แข็งแกร่งทั้งหมด
จนวันหนึ่ง เผ่าวิญญาณหยินเจอศพเด็กทารกคนหนึ่ง พวกเขาคิดว่าศพนี้ตรงตามความต้องการเลยผนึกไว้ในเรือรบวิเศษของพวกตน…
ผ่านไปอีกนานปี ของวิเศษของเผ่าวิญญาณหยินเสียหายเพราะเหตุไม่คาดคิดในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม จึงตกลงมายังดินแดนที่เรียกว่ามรณะหยิน ที่นั่น…คือถิ่นของเผ่าหมาน และของวิเศษของเผ่าวิญญาณหยินนั้นก็สร้างขึ้นเป็นโลกเก้าหยิน
เทพหมานรุ่นหนึ่งเคยไปที่นั่น รุ่นสองกับรุ่นสามก็เคยไป…
บางทีอาจเป็นเทพหมานรุ่นสองที่พาทารกคนหนึ่งออกมาจากโลกเก้าหยินด้วย
บางทีการไปหาเด็กทารกคนนั้นอาจเป็นความประสงค์ของรุ่นหนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เทพหมานรุ่นสองพาเด็กทารกคนนั้นกลับวังจักรพรรดิแห่งต้าอวี๋ด้วย และให้อยู่กับบุตรสาวเขา เหมือนเป็นบุตรของตัวเอง
นี่คือเด็กทารกมรณะ เพราะเดิมทีเขาเป็นศพ….” ซูหมิงพึมพำเสียงเบา น้ำเสียงไม่มีความขมขื่น แต่เข้าใจถ่องแท้
“เทพหมานรุ่นสองพาศพเด็กทารกคนนั้นกลับมาได้ไม่นาน เผ่าเซียนก็ก่อสงครามครั้งใหญ่กับเผ่าหมาน เพราะรุ่นหนึ่งจากไป เพราะเผ่าหมานไม่แกร่งอย่างในอดีตอีก และเพราะ…เผ่าเซียนกลัวการเติบโตของเผ่าหมาน
สงครามครั้งนั้นเซียนชนะ
พวกเขาสังหารเทพหมานรุ่นสองแล้วแยกร่างเขาออกเป็นชิ้นส่วน หลังจากสงครามครั้งนั้น แผ่นดินหมานก็แยกออกเป็นหลายส่วน สงครามครั้งนั้น วังจักรพรรดิต้าอวี๋ถูกแช่แข็ง เมืองหลวงต้าอวี๋หายไปจากแผ่นดินหมาน
สงครามครั้งนั้น ตี้เทียนนำศพเด็กทารกกับบุตรสาวเทพหมานรุ่นสองกลับไปยังแดนเซียน…
พวกเขาพบความประหลาดของเด็กทารกมรณะ บางทีอาจเป็นเพราะความใกล้ชิดกันของบุตรสาวเทพหมานรุ่นสองกับทารกนั้น เด็กทารกหญิงเลยมีความประหลาดด้วยเล็กน้อย พวกเขาสองคนพี่น้องเลยต้องเป็นหุ่นเชิดนับแต่นั้นมา
ทารกมรณะถูกผนึกอยู่ในพื้นที่บางแห่งในแดนเซียน ส่วนน้องสาวเขาถูกเต้าเฉินพาตัวไป…ในตอนนี้เอง เจ้าตี้เทียนอาจพบวิธีทำให้ตัวเจ้าแกร่งขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดจากตัวทารกมรณะคนนี้ ฉะนั้นเจ้าจึงเริ่มแผนการซึ่งใช้เวลาเนิ่นนานอย่างที่เจ้าเคยเอ่ยถึง…
บางทีทารกมรณะคนนี้อาจไม่ได้ตายจริงๆ
บางทีความตายของเขาในแดนแสงสว่างหยางอาจหมายถึงการมีชีวิตในแดนมรณะหยินได้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพบอะไรเข้า ทว่ามันทำให้เจ้าเริ่มแผนการนี้ ขั้นตอนก็คือให้ทารกมรณะตกอยู่ในห้วงลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตกอยู่ในบ่วง ณ แดนมรณะหยิน
ขณะตกอยู่ในบ่วงของผนึกหลายครา เจ้าสร้างความทรงจำให้ทารกคนนี้ หรือก็คือความทรงจำของภูเขาทมิฬ…และใช้ความทรงจำนี้เป็นพื้นฐานในการเริ่มต้นวัฏจักรทุกครั้ง
เพราะความทรงจำเหมือนกับภาพวาด ขอแค่วาดออกมาก่อน เจ้าก็จะทำให้ทารกคนนี้ตกเข้าไปได้และไม่อาจเดินออกมา…
ตกอยู่ในบ่วงมากี่ครั้งแล้วข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าการตื่นขึ้นทุกครั้งในภูเขาทมิฬ ตอนข้าถือเศษหินที่เสี่ยวหงเอามาให้…ข้ารู้สึกต่างกับเมื่อก่อน
นี่คือวัฏจักร นี่คือโชคชะตา นี่ก็คือข้า…” ซูหมิงเบนสายตาออกจากดาราบนฟ้า แล้วมองตี้เทียนที่แทบจะเสียสติอย่างสงบ
“มีคนคนหนึ่ง หรืออาจเป็นวิญญาณดวงหนึ่ง ตอนที่เจ้าเริ่มแผนนี้ครั้งแรกเขาก็ผสานรวมเข้าไปด้วย แล้วเปลี่ยนมันอย่างเงียบๆ อยากให้ข้าตื่นขึ้น อยากให้ข้าตื่นอย่างแท้จริง ให้ข้าได้เห็น…โลกนอกบ่อน้ำ
บุคคลนี้เป็นใคร ข้ามีคำตอบในใจแล้ว” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา
ตี้เทียนหายใจกระชั้น เขาที่เหลือเพียงศีรษะตอนนี้กำลังลุกไหม้ ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยและความบ้าคลั่ง เขาจ้องซูหมิงเขม็ง นัยน์ตาฉายแววละโมบเป็นครั้งแรก นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของเขา
ความโลภนั้น คล้ายเขาอยากกินซูหมิงเข้าไปเพื่อได้รับทุกอย่างของอีกฝ่ายมา!
“เจ้าคือซู่มิ่ง ชีวิตของเจ้าเป็นของข้า ต่อให้เจ้าเข้าใจหลายเรื่องแล้วอย่างไร เจ้ายังอยู่ที่แดนมรณะหยิน เจ้ายังตกอยู่ในบ่วง แม้เจ้าจะตื่นขึ้น เจ้าก็ยังต้องตกอยู่ในบ่วง!”
แววตาตี้เทียนฉายความคลุ้มคลั่ง ขณะเดียวกันมีดาราขยับวูบวาบในดวงตาเขา เมื่อมันเปล่งประกายสว่างจ้าแสบตา ใบหน้าดาราบนฟ้าก็ร้องตะโกน ดวงตาเปล่งแสงดาวพร่างพราวเช่นกัน
“โชคชะตาพันปี ตกอยู่ในบ่วงพันปี เจ้า….จงตกอยู่ในบ่วงอีกครั้ง!” ตี้เทียนตะโกนเสียงดังลั่น ใบหน้าบนฟ้าก็ตะโกนเช่นกัน ดวงดาราทั้งหมดพลันรวมมายังซูหมิง ราวกับว่าตี้เทียนไม่ยอมพ่ายแพ้เด็ดขาด เขาจะทำมันอีกครั้ง
“ไม่มีประโยชน์” ซูหมิงถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ ก่อนยกมือขวากดนิ้วชี้ไปตรงหน้า
“นี่คือหนึ่งจุด” ขณะซูหมิงกล่าวเสียงเบา ตรงที่เขาชี้ไปปรากฏจุดแสงผลึกขึ้น
“ลากจากทางซ้ายให้เป็นวงกลม ตอนที่หยุดวาด…จุดสิ้นสุดจะอยู่ตรงนี้” ซูหมิงยกมือขวา แล้วเริ่มวาดเป็นวงกลมจากทางซ้าย สุดท้ายก็เป็นวงกลมที่สมบูรณ์ จุดเริ่มต้นกับจุดสุดท้ายผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
“นี่คือวัฏจักร”
“เช่นนั้นต่อให้ข้าเริ่มวาดจากทางขวา เริ่มจากจุดสุดท้ายทวนเข็มขึ้นเป็นวงกลม…” ซูหมิงกล่าวพลางใช้นิ้วชี้มือขวาเริ่มวาดวงกลมย้อนกลับจากจุดสุดท้าย ทว่าจุดที่มาชนกันเป็นวงกลมสมบูรณ์ก็ยังคงเป็นจุดเดิม
“นี่…ก็คือวัฏจักร” เมื่อซูหมิงเอ่ยจบ ก็มีกลิ่นอายพลังบอกไม่ถูกแผ่มาจากตัวเขา กลิ่นอายพลังนี้ไม่ใช่ขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ แต่มัน…เหนือกว่าวิญญาณหมาน
กลิ่นอายพลังนี้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อบอวลอยู่ในตัวเขา ทำให้วินาทีที่ฟ้ากระจ่างดาวลงมาสัมผัสกับร่างก็ระเบิดสลายไปโดยพลัน เหมือนกับจุดที่ซูหมิงอยู่เป็นแดนต้องห้ามของแสงดารา
เส้นผมเขาปลิวไสว ดวงตาสงบนิ่ง คำพูดเหมือนแฝงไว้ด้วยสติปัญญาที่ไร้สิ้นสุดดังก้องกังวานในฟ้าดิน
“วัฏจักรคือจุดหนึ่ง จุดนี้ก็คือ…เขาแดนหมาน จุดนี้คือจุดเริ่มต้นและก็เป็นจุดสิ้นสุด จากจุดนี้เดินไปหาอนาคตได้และก้าวสู่อดีตได้เช่นกัน”
“จุดนี้คือจุดของกระจกเงา เป็นด้านตรงของกระจก เป็นโลกปกติ เป็นอดีตเดินไปสู่อนาคต ทว่าในกระจกเป็นด้านกลับ เป็นด้านตรงข้ามของความเป็นตาย ด้านตรงข้ามของอดีตและอนาคต เหมือนกับที่ข้าตระหนักรู้เริ่มจากฤดูหนาวไปสู่ฤดูใบไม้ผลิในสำนักซ่อนมังกร….เพราะโลกในกระจกไม่มีใครเคยมา ไม่มีใครเคยเดินไปหาอดีต
เผ่าเซียนก็คือด้านตรงของกระจก เป็นโลกนอกกระจก คือเดินไปสู่ความตาย ส่วนแดนมรณะหยินของเผ่าหมานคือโลกภายในกระจก เดินจากความตายไปสู่ความเป็น…” กลิ่นอายพลังซึ่งเหนือกว่าวิญญาณหมานพลันปะทุจากร่างซูหมิง กระจายอบอวลอยู่บนในเขา เขาในเวลานี้เลยเหมือนกับเทพเจ้า!
“เจ้า…เจ้า…” ตี้เทียนมีสีหน้าตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม ซูหมิงในสายตาเขาน่าหวาดกลัวจนใจสั่นไหว ความน่ากลัวนี้ไม่ใช่เพราะขั้นพลัง แต่เป็น…ความเข้าใจ!
“เดิมทีข้ายังมีจุดที่ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา