ตอนที่ 725 ศิษย์พี่รองกับจื่อเยียน
สายลมทะเลปะทะโขดหินจนสาดกระเซ็นพร้อมกับกลิ่นเค็ม แล้วผสานรวมกับกลิ่นหอมของพืชดอก กลายเป็นกลิ่นที่มีความพิเศษริมทะเล คนที่คุ้นเคยน่าจะชอบ หากไม่คุ้นเคยจะรู้สึกเหม็นเล็กน้อย
ฟางชางหลันคุ้นเคยอย่างเห็นได้ชัด นางยืนอยู่ข้างซูหมิง หลังจากช่วยเขาจัดอาภรณ์ครู่หนึ่งแล้ว ก็มองขอบฟ้าไกลออกไปอย่างเงียบๆ
นางรู้ว่าซูหมิงชอบความสงบ
“หลังจากนี้ ข้าจะไปแดนพันธมิตรตะวันตกสักครั้งหนึ่ง” ซูหมิงกล่าวช้าๆ หลังเงียบอยู่นาน
“อืม” ฟางชางหลันพยักหน้าพลางกล่าวเสียงเบา
ซูหมิงหันไปมองฟางชางหลัน หญิงผู้นี้ไม่งามเท่าอวี่เซวียน ทว่าความเงียบสงบของนางให้ความรู้สึกสบายยิ่ง ซึ่งอวี่เซวียนไม่มีสิ่งนี้
“จะกลับมาอีกหรือไม่?” แพขนตาฟางชางหลันขยับไหวเบาๆ และมองซูหมิงเช่นกัน
“อาจจะมา หรืออาจไม่” ซูหมิงเงียบอยู่ครู่หนึ่งถึงกล่าวเรียบๆ
“ไม่ว่าเจ้าจะกลับมาหรือไม่ ข้าจะรออยู่ที่นี่ หากวันหนึ่งเจ้าเหนื่อยก็มาพักที่นี่ได้ หากวันหนึ่งข้าไม่อยู่แล้ว วิญญาณข้าจะอยู่ที่นี่ อยู่เป็นเพื่อนเจ้า” ฟางชางหลันเอ่ยเสียงเบา ในน้ำเสียงมีความตั้งมั่นและไม่ยึดติด
ตั้งมั่นคือนางจะอยู่ที่นี่ ไม่ยึดติดคือตอนนั้นนางปฏิเสธว่าซูหมิงไม่ใช่คู่ชีวิต
ซูหมิงไม่กล่าวอะไร แต่มองทอดไปยังที่ไกล
ทว่าเงียบสงบอยู่กับฟางชางหลันได้พักหนึ่ง…ก็ถูกเสียงเห่าของสุนัขคล้ายกับมังกรคำรามทำลายความเงียบ
สุนัขวิ่งมาถึงตรงนี้ด้วยสีหน้าจนปัญญาและคับอกคับใจ มันร้องเสียงดังขึ้นฟ้า
อวี่เซวียนข้างกายมันเอามือไพล่หลัง ยืนยิ้มตาหยีอยู่ตรงนั้น และเตะมันหลายทีไม่ยอมหยุด ทำให้มันร้องเสียงดังยิ่งกว่าเดิม
ตอนที่ซูหมิงกับฟางชางหลันมองมา เด็กสาวแลบลิ้น ทำท่าทางน่ารักเหมือนรู้สึกกระดากอาย
“โธ่เอ๊ย ไม่รู้ว่าสุนัขตัวนี้มันเป็นอะไร จู่ๆ ก็ร้องตลอดเลย คงไม่ได้รบกวนพวกเจ้าหรอกนะ?” อวี่เซวียนกะพริบตาปริบๆ มองซูหมิงกับฟางชางหลัน ขณะกล่าวก็เตะสุนัขไปอีกทีหนึ่ง
ซูหมิงขมวดคิ้ว ส่วนฟางชางหลันข้างกายยิ้มอย่างอ่อนโยน มองเด็กสาวพลางถามขึ้น
“น้องสาวท่านนี้คือ?”
“สวัสดีผู้อาวุโส ผู้เยาว์อวี่เซวียน เป็น…เป็นคู่หมั้นของซูหมิง” อวี่เซวียนมีสีหน้าเขินอาย
ฟางชางหลันตะลึงงัน จากนั้นก็ยังคงยิ้มแล้วหันไปมองซูหมิง
“ศิษย์พี่รองเป็นสักขีพยานงานแต่งให้กับข้าด้วย อีกไม่กี่วันก็จะเข้าหอกันแล้ว ถึงตอนนั้นผู้อาวุโสต้องมาดื่มเหล้ามงคลในงานด้วยนะ เคยได้ยินท่านพี่เอ่ยถึงผู้อาวุโสมาตั้งนานแล้ว วันนี้ได้มาเจอ….”
อวี่เซวียนทำท่าเขินอาย ทั้งยังมีความเพ้อฝันไร้เดียงสา นางกล่าวด้วยเสียงเบา ทว่ายังกล่าวไม่จบ ซูหมิงก็หยิบเส้นผมนางออกมา ทำให้อวี่เซวียนหยุดชะงักทันควัน
ฟางชางหลันยิ้มน้อยๆ พิจารณามองอวี่เซวียนอยู่หลายที
ก่อนตรงเข้าไปดึงแขนซูหมิงอย่างสนิทสนม แล้วเอียงศีรษะมองอวี่เซวียนอีกครั้ง พร้อมกันนั้นรอยยิ้มนางก็เบ่งบานคล้ายดอกไม้
“เช่นนั้นก็ยินดีกับน้องอวี่เซวียนด้วย อืม ถึงตอนนั้นข้าจะไปดื่มเหล้ามงคลที่งานอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ข้ามีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับคู่หมั้นของเจ้า เจ้าช่วยหลบไปก่อนได้หรือไม่”
ซูหมิงยิ้มเจื่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฟางชางหลันมีสีหน้าแบบนี้ แม้ยังคงยิ้มบางๆ ทว่าในรอยยิ้มซ่อนคมหนามเอาไว้
ระหว่างที่อวี่เซวียนกับฟางชางหลันสนทนากันและซูหมิงยิ้มเฝื่อนอยู่นั้น บนยอดเขาอีกลูกไกลออกไป จื่อเยียนพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ สายตามองศิษย์พี่รองด้วยรอยยิ้ม
เสี้ยวหน้าของศิษย์พี่รองอยู่ภายใต้แสงตะวัน เขามองจื่อเยียนก่อนค่อยๆ เผยรอยยิ้ม
เพียงแต่ว่ารอยยิ้มของสองคนดูห่อเหี่ยวเล็กน้อย มีการหวนคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับสหายที่ไม่เจอกันมานานปี และซ่อนความงามของอดีตเอาไว้ ตอนที่เจอกันอีกครั้ง จึงเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่คนแปลกหน้า
“ตอนอยู่ยอดเขาลำดับเก้า เจ้าชอบข้าจริงๆ หรือ?” จื่อเยียนยิ้มพลางถามเสียงเบา
“ชอบจริงๆ ทว่า….พอเจ้าเห็นข้าก็รีบหลบ ข้าเลยไม่มีโอกาสสารภาพรัก” ศิษย์พี่รองกระแอมไอทีหนึ่งแล้วเปลี่ยนตำแหน่ง ให้แสงตะวันส่องใบหน้าอีกด้านหนึ่ง
พอเห็นท่าทางของศิษย์พี่รอง จื่อเยียนก็ปิดปากหัวเราะ เสียงหัวเราะดูมีความสุขนัก ราวกับย้อนไปในอดีต
“จริงๆ ข้าอยากบอกเจ้ามาตลอดว่า…ท่าทางให้แสงตะวันส่องเสี้ยวใบหน้าของเจ้ามัน…..ไม่น่าดูเอาเสียเลย” จื่อเยียนปิดปากหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น
ศิษย์พี่รองลูบใบหน้า เปลี่ยนมุมอีกครั้ง แล้วเอียงศีรษะมองจื่อเยียน
“แบบนี้ล่ะ?”
“ก็ไม่น่าดูอยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้นแบบนี้?”
“ก็ยังไม่น่าดู”
“แต่ตอนนั้นข้าเห็นศิษย์น้องเล็กก็ทำแบบนี้” ศิษย์พี่รองเปลี่ยนอีกหลายมุม สุดท้ายก็ถอนหายใจ
“จริงๆ แล้วตอนเจ้ายิ้มด้วยสีหน้าอบอุ่น แววตาอ่อนโยน มันดูดีกว่าเมื่อครู่มาก” จื่อเยียนมองศิษย์พี่รอง เอ่ยยั่วเย้าทั้งยังหัวเราะอยู่
นางเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่แม่นางน้อยในอดีตอีก เสน่ห์ของหญิงโตเต็มวัยเผยจากตัวนาง กระทั่งการพูดยังสง่างามกว่าเมื่อก่อนมาก
ศิษย์พี่รองเห็นจื่อเยียนมีความสุข ในสายตาเขาก็เหมือนปรากฏภาพเลือนราง เด็กสาวบนยอดเขาลำดับเก้าค่อยๆ ซ้อนทับกับจื่อเยียนในยามนี้ แล้วค่อยๆ แยกออกจากกัน มีความคล้ายกันและก็มีการเปลี่ยนแปลง
ภายใต้สายตาของศิษย์พี่รอง จื่อเยียนค่อยๆ ก้มหน้าลง นางยิ้มกว้างมากขึ้นเพราะอยากปกปิดความรู้สึกในใจ นางไม่อยากให้ศิษย์พี่รองของซูหมิงเห็นหัวใจอ่อนแอของตน
ศิษย์พี่รองเงียบอย่างที่พบเห็นได้ยาก ด้วยนิสัยของเขาจะอยู่เงียบๆ น้อยมาก ทว่าตอนนี้เขามองจื่อเยียน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจถึงเจ็บปวด ฉะนั้นจึงเงียบงันลง
เขาจะมองสิ่งที่จื่อเยียนปกปิดไม่ออกได้อย่างไร ด้วยประสบการณ์โชกโชน จะมองไม่ออกถึงความเหนื่อยล้าในใจนางได้อย่างไร ภายใต้ความเงียบสงบ เขาค่อยๆ เดินไปหานาง
จื่อเยียนกัดริมฝีปากล่าง มองบุรุษผู้คล้ายดอกไม้ตรงเข้ามา จนกระทั่งมาอยู่ตรงหน้าตน ด้วยระยะที่ใกล้เช่นนี้ ทำให้ได้กลิ่นพืชดอกจากตัวอีกฝ่าย นางจึงก้มหน้าลง
นางไม่เห็นว่าไกลออกไปด้านหลังนาง หยามู่กำลังนั่งอยู่บนหินผา เหม่อมองนางด้วยสีหน้าขมขื่น
“ไปกับข้าเถอะ” ศิษย์พี่รองยื่นมือมาเชยคางจื่อเยียน ก่อนจูบตรงหน้าผากเบาๆ
จื่อเยียนมีสีหน้าเหม่อลอย มองศิษย์พี่รองอยู่นาน ก่อนยกมือขึ้นลูบใบหน้าเขาเบาๆ หลังจากส่ายศีรษะแล้วถึงถอยไปหลายก้าว ศิษย์พี่รองเงียบ มองจื่อเยียนถอยไปพลางถอนหายใจ ใบหน้าเผยรอยยิ้มอบอุ่นอีกครั้ง
“เช่นนั้นก็ขอให้เจ้ามีความสุข” กล่าวจบก็เงยหน้าขึ้นมองหยามู่ที่นั่งอยู่บนหินผาไกลๆ หลังมองอย่างลึกซึ้งแล้วก็หมุนตัวไปจากยอดเขา
คล้อยหลังศิษย์พี่รอง จื่อเยียนเหมือนเสียพละกำลังทั้งหมด นางโซเซถอยไปหลายก้าว น้ำตาไหลมาตามหางตา เมื่อครู่นี้นางอยากตอบรับ ทว่า…นางทำไม่ได้
จื่อเยียนรู้ว่าอดีตในความทรงจำเป็นอดีตไปแล้ว ทุกอย่างพูดได้เพียงว่าโชคชะตากำหนด
นางกับศิษย์พี่รองเพียงแค่รู้สึกดีต่อกัน นั่นคือศิษย์พี่รองชมชอบนาง แต่นาง…ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ในแดนอรุณใต้มา ท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยน ภาพศิษย์พี่รองก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเป็นพิเศษ นั่นเป็นเพราะความทรงจำในอดีต
ในความทรงจำนั้น เป็นเพราะการจำใจต่อความจริง ดังนั้นนางจึงนึกเสียใจภายหลัง ทว่านี่…ไม่ใช่ความรัก
นางหลอกตัวเองไม่ได้ และก็หลอกศิษย์พี่รองไม่ได้เช่นกัน
ขณะหลั่งน้ำตา ร่างเงาที่นางคุ้นเคยเข้ามาอยู่ข้างกาย เขาคือหยามู่ หลายปีมานี้เขาดูแลนางเป็นอย่างดี โอนอ่อนกับนาง ยอมเพื่อนางโดยไม่หวังผลใดๆ
“หยามู่…พวกเรากลับบ้านกันเถอะ” จื่อเยียนเช็ดน้ำตา สายตามองหยามู่ มองแววตาอบอุ่นของเขา มันช่าง….คล้ายกับศิษย์พี่รอง
ซูหมิงไม่ได้อยู่เกาะบึงใต้นานนัก เช้าตรู่วันที่สองกลุ่มเขาก็จากไป ตอนที่พวกเขาไกลออกไปแล้ว ฟางชางหลันยืนมองร่างซูหมิงจากไปอย่างเงียบๆ เหมือนครั้งก่อน นางไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้เจอกันอีก ไม่รู้ว่าตน…..จะยังอยู่หรือไม่
นางรู้ว่าในใจซูหมิงมีตนอยู่ แต่ก็แค่มีเท่านั้น นั่นไม่ใช่ความรัก แต่เป็นม่านกั้นที่นางบอกไม่ถูก เหมือนว่าระหว่างนางกับซูหมิงมักจะมีหุบเหวอยู่เสมอ หุบเหวนั้นไร้รูปเหมือนกับ…..ความเป็นและความตาย
“เขาเป็นคนไร้ความรัก” มีเสียงเรียบนิ่งแว่วมาจากข้างฟางชางหลัน
นางคือหวั่นชิว นางเดินมาอยู่ข้างฟางชางหลัน สายตามองร่างซูหมิงบนฟ้าไกลๆ เช่นกัน
“แม้แต่เขายังไม่รู้ว่าตนเป็นคนไร้ความรัก…บนโลกใบนี้ไม่มีหญิงคนใดเข้าไปในหัวใจเขาได้อย่างแท้จริง เว้นแต่จะเป็น…คนตาย” หวั่นชิวกล่าวเสียงเบา
“บางทีสักวันหนึ่งเขาน่าจะเข้าใจ มีแต่ให้เขาเข้าใจเท่านั้น เขาถึงจะยอมรับความรักเข้ามาในใจตน” เสียงหวั่นชิวเบาลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็เป็นพึมพำกับตัวเอง
“ผิดแล้ว” ฟางชางหลันส่ายศีรษะ
“เขาไม่ใช่คนไร้หัวใจ สิ่งที่เขาต้องแบกรับมีเยอะเกินไป มันกดทับอยู่ในใจเขาจนรับสิ่งอื่นไม่ได้ เพราะว่าในใจเขาสับสนมาโดยตลอด”
หยามู่กับจื่อเยียนมองพวกซูหมิงบินจากไปเช่นกัน ด้านหลังพวกเขามีบุรุษยืนอยู่เงียบๆ คนหนึ่ง เขาคือจื่อเชอ หลายปีในร่างจู๋จิ่วอินทำให้เขาฟื้นสติปัญญากลับมา
ซูหมิงเคยรับปากกับจื่อเยียนเอาไว้ว่าจะช่วยตามหาจื่อเชอ และวันนี้ก็มาถึง เขาทำตามสัญญาแล้ว
จื่อเชออยากจะติดตามซูหมิงต่อ แต่พอเห็นพี่สาว เขาจึงเลือกอยู่ที่นี่
บนท้องฟ้า อวี่เซวียนขี่สุนัขอยู่ข้างกายซูหมิง นางมองเขาอยู่ตลอด ในใจนึกลำพองใจเล็กน้อย จากการก่อกวนของนาง ซูหมิงกับฟางชางกลันเลยไม่มีเวลาส่วนตัวกันอีก นางใช้ทุกวิถีทางเปลี่ยนทุกวิธีคอยตามอยู่ตลอดทั้งวัน
ศิษย์พี่รองกลับมามีท่าทีอบอุ่นอีกครั้ง มองไม่เห็นความห่อเหี่ยวและเสียใจ แต่มีเพียงตัวเขาที่รู้ว่าการเดินทางมาครั้งนี้ ในใจเขาเกิดเค้าลางของจิตใจเปลี่ยนครั้งที่สาม เพราะสตรีคนหนึ่ง เพราะความชมชอบในอดีต
‘นางไม่ได้ชอบข้า และไม่ใช่บุรุษข้างกายนางตอนนี้ แต่นางชอบ…..สายตาอบอุ่น นางชอบสายตานี้ เพราะมันมอบความอบอุ่นให้แก่นาง’ ศิษย์พี่รองถอนหายใจเบาๆ
หลังจากกลุ่มคนบินข้ามผ่านทะเลมรณะจนมาถึงหมู่เกาะของสำนักเหมันต์สวรรค์ มองไปสุดสายตา ซูหมิงกับศิษย์พี่รองก็เห็นยอดเขาหนึ่งกลางทะเล เห็นร่างเงาสูงใหญ่ยืนอยู่บนยอดเขา นั่นคือ…หู่จื่อ