ตอนที่ 75 สหาย โปรดรั้งอยู่ก่อน
ส่วนฐานะผู้มีพรสวรรค์ของอูเซินในเผ่าร่องลม ไม่ได้ส่งผลต่อซูหมิงในตอนนี้แม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เขาใคร่ครวญอย่างหนักแล้ว ถึงได้กล้ามาหาอูเซิน
‘พรุ่งนี้ยามรุ่งอรุณ ตอนเริ่มงานประลองในด่านสอง จะต้องอาศัยจังหวะตอนที่ผู้คนสนใจงานประลอง รีบไปซื้อสมุนไพรมาให้ได้มากที่สุด’ ซูหมิงกล่าวขึ้นในใจ ก่อนเก็บเหรียญหินเข้าไปในอกเสื้อทั้งหมด เขาไม่รู้สึกว่ามันหนัก แม้จะมีเสียงกุกกักในอกเสื้อ ทว่าความอิ่มอกอิ่มใจกลับทำให้เขามองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป
เมื่อเก็บเหรียญหินเสร็จแล้ว ซูหมิงจึงหยิบกล่องไม้เล็กออกมา หลังจากเปิดฝาจึงพบว่าด้านในเป็นสมุนไพรเจ็ดใบ ดวงตาของเขาเปล่งประกาย
ในความคิดของซูหมิง สิ่งนี้สำคัญพอๆ กับเหรียญหิน ไม่คิดเลยว่าอูเซินจะครอบครองเจ้าสิ่งนี้อยู่ มันเป็นหนึ่งในสองสมุนไพรจำเป็นสำหรับการหลอมโอสถแดนใต้ที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
“ที่แท้มันก็เรียกว่าว่านเจ็ดใบ…น่าเสียดายยังขาดอีกหนึ่งชนิด มิเช่นนั้นแล้วก็ว่าจะลองหลอมโอสถแดนใต้สักครั้ง ไม่รู้ว่ามันมีสรรพคุณต่างจากโอสถวิญญาณผาอย่างไร” ซูหมิงมองอยู่นาน ก่อนเก็บมันไว้กับตัว ยามนี้ตรงอกเสื้อของเขา ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าซ่อนของเอาไว้มากมาย
ทว่าเรื่องนี้ซูหมิงก็ต้องจำใจ สิ่งของเยอะ ทำได้เพียงนำติดตัวเอาไว้เท่านั้น
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ซูหมิงจึงนั่งขัดสมาธิหลับตา เขาไม่ได้โคจรพลังโลหิต แต่กลับนึกถึงเคล็ดวิชาหมานธุลีโลหิตดำในความคิด ก่อนจะเริ่มฝึกฝน
นี่เป็นเคล็ดวิชาหมานที่เขาสามารถฝึกฝนได้ในตอนนี้ ทว่าหากเทียบกับวิชาสูบวิญญาณแล้ว มันกลับมีพลังในการสังหารหรือทำให้บาดเจ็บได้มากกว่า อีกทั้งขั้นตอนยังไม่ซับซ้อน
เวลาค่อยๆ ดำเนินผ่านไป หนึ่งคืนไร้เสียง จนกระทั่งแสงแรกของตะวันตกลงบนฟากฟ้า ทั้งเมืองหินโคลนราวกับตื่นจากการหลับใหล เสียงครึกครื้นเริ่มดังขึ้น ก้องกังวานแปดทิศ
วันนี้มีพิธียิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน เป็นด่านสองในงานประลอง! ในด่านนี้จะไม่ได้ทดสอบศักยภาพ แต่จะทดสอบความเร็วซึ่งเกี่ยวโยงถึงขั้นพลังเล็กน้อย สถานที่ประลองไม่ใช่ในเมืองหินโคลน แต่เป็นลานใหญ่ยักษ์ที่มีรูปปั้นทั้งเก้า ณ ใต้เขาร่องลม
เมื่อยามรุ่งอรุณมาเยือน ผู้คนทุกเผ่าที่พักอยู่ในเมืองหินโคลนต่างพากันเดินทางไปยังลานใหญ่ยักษ์ เผ่าเขาทมิฬก็เช่นเดียวกัน ภายใต้การนำของผู้นำกองรักษาการณ์และซานเหิน เป่ยหลิง อูลา กับเหลยเฉินเดินออกจากเรือนพัก ทว่ากลับไม่มีท่านปู่
จนกระทั่งทุกคนออกไปหมดแล้ว ซูหมิงจึงเดินออกมาจากห้อง ทว่าไม่พบท่านปู่ เขาไม่ทราบว่าท่านปู่ไปไหน แต่หลังจากขบคิดดูแล้ว ก็ไม่ควรจะใส่ใจเรื่องนี้ ในความคิดของเขา ท่านปู่น่าจะอยู่กับจ้าวหมานเผ่าร่องลม
ซูหมิงเดินออกจากเรือนพัก เขาไม่ได้ปลอมแปลงใบหน้า เพราะพบว่าศาสตราวุธหมานท่านปู่ให้ชิ้นนี้ไม่อาจเปลี่ยนได้ตามอำเภอใจ ตอนนี้เปลี่ยนได้เพียงโม่ซูกับชายหนุ่มตอนชิงโลหิตต้นกำเนิดจากอูเซินเท่านั้น
ส่วนรูปร่างที่สาม แม้จะเปลี่ยนได้ ทว่าก็มักจะมีบางจุดที่ไม่เข้ากัน เห็นได้ชัดว่าเจ้าสิ่งนี้มีขีดจำกัด ฉะนั้นเขาจึงไม่เปลี่ยน แต่ใช้รูปร่างของตัวเองไปเดินในเมือง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีการเตรียมพร้อมอยู่บ้าง ซื้อเสื้อหนังสัตว์มาคลุมตัวหลายชุด ปกปิดใบหน้า เผยเพียงดวงตาทั้งสองข้าง แม้ว่ามันจะดูแปลกไปเล็กน้อย ทว่าในเมืองหินโคลนกลับมีหลายคนที่แต่งตัวเช่นนี้ เหมือนว่าไม่อยากให้ผู้อื่นจำใบหน้าได้ในขณะเจรจาซื้อขาย
ซูหมิงเดินอยู่ในเมืองหินโคลน ผู้คนตามท้องถนนในเมืองดูบางตา ส่วนใหญ่แล้วจะไปที่ลานเพื่อรับชมงานประลองในด่านที่สอง
นอกจากผู้คนบนถนนแล้ว แม้แต่ผู้คนในร้านค้าแผงลอยยังบางตาไปไม่น้อย
ซูหมิงกำลังเดินอยู่บนถนน เป้าหมายของเขาชัดเจนยิ่ง หลายวันมานี้แม้จะยังไม่คุ้นชินกับเมืองหินโคลนมากนัก ทว่าสำหรับร้านค้าพวกนี้แล้ว เขากลับทราบแหล่งของมันเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะร้านค้าเหล่านี้ มีการขายสมุนไพรโดยเฉพาะ และเป็นเป้าหมายหลักของซูหมิง ยามนี้เบื้องหน้าเขามีอยู่หนึ่งร้าน ไม่มีชื่อ เป็นเพียงร้านไม่ใหญ่มาก ด้านในมีชาวเผ่าร่องลมคนหนึ่งกำลังนอนหาวอยู่บนโต๊ะ เมื่อเห็นซูหมิงเข้ามา เขาจึงกวาดสายตามองแล้วรีบลุกทันที
ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายกล่าว ซูหมิงใช้น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวขึ้นเรียบๆ
“ข้าต้องการใบตาข่ายเมฆา หนึ่งร้อยใบ!” ขณะกล่าว ซูหมิงใช้มือขวาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อวางลงบนโต๊ะเบาๆ พลันมีเหรียญหินสีขาวปรากฏขึ้นมาหนึ่งเหรียญ
ชาวเผ่าร่องลมคนนั้นพลันมีดวงตาเป็นประกาย สำหรับลูกค้าแบบซูหมิง เขาเคยชินเสียแล้ว ทราบดีว่าบุคคลเช่นนี้ส่วนใหญ่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตน ทั้งยังไม่ต้องการให้ตัวเขาไปแนะนำสมุนไพรใดๆ เพราะเป้าหมายของพวกเขาชัดเจน
ชาวเผ่าร่องลมพยักหน้าทันทีโดยไม่ลังเล ก่อนหมุนตัวเดินหายเข้าไปในห้อง ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับถุงหนังหนึ่งใบ วางลงตรงหน้าซูหมิง เขาหยิบขึ้นมาเปิดมองผ่านๆ ด้านในล้วนเป็นใบตาข่ายเมฆา จำนวนน่าจะประมาณหนึ่งร้อยใบ สมุนไพรเช่นนี้หาซื้อได้ยากด้านนอก ทั้งยังมีจำนวนน้อย ทว่าในเมืองหินโคลนกลับพบเห็นได้ทั่วไป
ซูหมิงถือถุงหนังหมุนตัวออกไปจากร้าน และก็ใช้วิธีเดิมเข้าไปซื้อสมุนไพรติดต่อกันหลายสิบร้าน ทุกร้านจะซื้อใบตาข่ายเมฆาจำนวนมาก ทั้งยังซื้อสมุนไพรเสริมชนิดอื่นมาอีกไม่น้อย
นอกจากนี้ เขายังซื้อสมุนไพรที่ไม่จำเป็นมาอีกเล็กน้อยเพื่อความปลอดภัย หากเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้มีคนสงสัย ก็ยากจะรับรู้ถึงเป้าหมายของเขา
สามพันกว่าเหรียญหิน ไม่ถึงครึ่งวันก็เหลือเพียงหนึ่งพันกว่า ความเร็วในการใช้เงินเช่นนี้ ทำให้ซูหมิงปวดใจยิ่งนัก ทว่าก็ช่วยไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า หากไม่มีเงินทองที่มากพอมาค้ำจุนเอาไว้ เกรงว่าการหลอมโอสถ จะทำสำเร็จได้ยาก
“เฮ้อ ต้องประหยัดแล้ว…ใช้จ่ายเร็วเกินไป” ซูหมิงมีใบหน้าขมขื่น ถุงใบเล็กใหญ่บนตัวล้วนเป็นถุงหนังทั้งหมด ของเหล่านี้มีมากเกินไป ทำให้เขาปวดศีรษะอย่างมาก ทว่าก็ต้องจำใจ
“ซื้อมาได้พอประมาณแล้ว กลับเรือนพักไปเก็บสมุนไพรพวกนี้ก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยออกมาเดินเล่นใหม่ก็ได้” เมื่อซูหมิงตัดสินใจได้ จึงรีบเดินกลับไปยังเรือนพักเผ่าเขาทมิฬ
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ซูหมิงพลันชะงักฝีเท้า ขมวดคิ้วขึ้นก่อนคลายออกอย่างรวดเร็ว สีหน้าเป็นปกติแล้วเดินต่อไป เบื้องหน้าเป็นผู้อาวุโสปากแหลมแก้มลิงคนหนึ่ง เขาก้มศีรษะ ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าของเขาดูลำพองใจ ปากกล่าวพึมพำ มือขวากำลังนับนิ้ว เหมือนกำลังคิดคำนวณอะไรบางอย่าง
ซูหมิงเดินผ่านไปอย่างสงบนิ่ง ในช่วงที่เฉียดไหล่กับผู้อาวุโส พลันได้ยินคำกล่าวพึมพำของเขา
“กำไร ครั้งนี้ได้กำไรมาเยอะเลย ต้องขอบคุณโม่ซู มิเช่นนั้นครั้งนี้คงขาดทุนไม่น้อย คนดี คนดีจริงๆ”
ซูหมิงยังคงสงบนิ่ง หลังจากเฉียดไหล่กับผู้อาวุโสแล้วจึงเดินหน้าต่อไป ทว่าผู้อาวุโสท่านนั้นเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็พลันหันกลับมามองหลังซูหมิง นัยน์ตาเป็นประกายวูบวาบมองถุงหนังเล็กใหญ่บนตัวซูหมิง
“สหายท่านนี้ โปรดยั้งเท้าก่อน” ผู้อาวุโสรีบกล่าวทันที
ซูหมิงขมวดคิ้ว แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่เพียงแต่ไม่หยุด กลับเร่งฝีเท้าด้วย
“เฮ้ย สหาย ช้าก่อน!” ผู้อาวุโสรีบวิ่งตามเข้ามาขวางหน้าซูหมิงเอาไว้ เผยรอยยิ้มคุ้นเคยที่เคยพบ
นัยน์ตาซูหมิงฉายประกายเย็นชา ไม่กล่าว เพียงแต่เดินเลี่ยงไปด้านข้าง
ผู้อาวโสรีบถอยไปหลายก้าว รอยยิ้มบนใบหน้าไม่หุบลงแม้แต่น้อย รีบกล่าวขึ้นว่า
“สหายฟังข้าก่อน แค่ประโยคเดียว! ข้าเห็นสหายซื้อของมามากมายเช่นนี้ ดูท่าคงจะไปมาหลายร้าน แต่ข้ามีของดีที่แม้แต่ร้านค้าพวกนั้นยังไม่มี!”
ซูหมิงไม่สนใจ เดินหน้าต่อไป ทว่าผู้อาวุโสกลับไม่ใส่ใจ รีบเดินมาเคียงข้างแล้วพูดพร่ำไม่หยุด
“สหาย อย่าเย็นชานักเลย ข้ามีของดีจริงๆ เจ้าดูสมุนไพรนี้เป็นอย่างไรบ้าง แม้ว่ารูปลักษณ์ของมันจะดูธรรมดา ทว่าโม่ซู เจ้าคงรู้จักเขานะ โม่ซูก็กินสมุนไพรของข้าเลยมีชื่อเสียงโด่งดังในด่านแรก!” ผู้อาวุโสกล่าว พลางหยิบสมุนไพรมาจากอกเสื้อ แล้วเขย่าข้างซูหมิง
ผู้อาวุโสพูดพร่ำอย่างไม่ยอมแพ้ ราวกับกัดไม่ปล่อยก็มิปาน ยังคงตามตื๊อไม่หยุดหากไม่ยอมซื้อ ในจุดนี้ซูหมิงเคยสัมผัสมาแล้ว ยามนี้ได้ประสบอีกครั้ง จึงทำให้เขาปวดศีรษะยิ่งนัก
“สหายไม่เชื่อหรือ? เฮอะๆ เจ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้ายังมีสมุนไพรอยู่อีก เจ้าดูมัน เต็มไปด้วยสีสันงดงามเพียงใด ในช่วงสุดท้าย เยี่ยวั่งก็ใช้สมุนไพรชนิดนี้”
“และยังมีอีก เจ้าคงเคยได้ยินชื่อของปี้ซู่ ก่อนหน้านี้เขาไม่มีชื่อเสียง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้อันดับสี่? ข้าจะบอกให้ ก็เพราะ…” อกเสื้อของผู้อาวุโสราวกับถ้ำไม่มีพื้น เขาหยิบสมุนไพรหลากชนิดออกมาจำนวนมาก กลัวว่าซูหมิงจะไม่ซื้อ จึงกล่าวแนะนำไม่หยุด
“ก็เพราะว่ากินสมุนไพรของเจ้าใช่หรือไม่” ซูหมิงรู้สึกมีเสียงวิ้งๆ ดังขึ้นข้างหู จึงตัดบทสนทนา กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา