Skip to content

สู่วิถีอสุรา 74

ตอนที่ 74 ลาภลอย

ซูหมิงยืนอยู่ในลานกว้างโล่ง จ้องมองประตูที่ปิดสนิทของห้องที่สอง ค่อยๆ เดินไปทีละก้าวยังไม่ลังเล เมื่อมาถึงแล้วจึงผลักประตูเข้าไป

ระหว่างนั้น เขาได้ยินเสียงตะคอกเบาๆ จากนั้นพลันมีเงาแขนสีเขียวสองข้างตรงเข้ามา กลิ่นอายพลังแห่งความตายพุ่งปะทะใบหน้า

นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย สีหน้าเรียบเฉย

ก่อนหน้านี้ตอนที่ขั้นพลังของอูเซินอยู่เหนือกว่า เขายังกล้าลงมือ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงตอนนี้ ขั้นพลังของเขาอยู่เหนือกว่าอูเซินไปไกลมาก นอกจากนี้อีกฝ่ายยังอ่อนแอลงเรื่อยๆ รวมถึงอยู่ในค่ำคืนแสงจันทร์ เหตุใดเขาจึงต้องหวาดกลัว แทบจะเป็นช่วงเดียวกับที่เงาสีเขียวพุ่งตรงเข้ามา ซูหมิงพลันใช้เท้าขวากระทืบลงพื้น!

เส้นเลือดหนึ่งร้อยหกสิบเส้นพลันปะทุขึ้นทั้วตัว ก่อขึ้นเป็นแรงต้านรุนแรง เขาไม่ถอยแม้แต่น้อย เพียงแต่ใช้แรงต้านคุกคามเงาสีเขียวที่กำลังพุ่งเข้ามา

เงาสีเขียวสั่นสะท้านก่อนพลันแหลกสลาย กลายเป็นผลึกแสงสีเขียวหลายเม็ด ส่องแสงสะท้อนภายในห้อง

อูเซินมีเส้นผมยุ่งเหยิง ใบหน้าขาวซีด นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง กำลังจ้องมองซูหมิงเขม็ง มุมปากของเขามีคราบโลหิต เห็นได้ว่าเขาฝืนใช้เคล็ดวิชาหมานตอนซูหมิงเข้ามา ทว่าวิชานี้กลับไม่ส่งผลต่อซูหมิงแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามมันกลับถูกทำลาย จนทำให้อูเซินบาดเจ็บ

“โม่ซู!” อูเซินคำรามเสียงต่ำ นัยน์ตาดูคลุ้มคลั่งและไม่ยินยอม

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ถือสาความบ้าคลั่งของอูเซินแม้แต่น้อย เขาเดินเข้าไปในห้อง มองอูเซินอย่างเย็นชาขณะยืนห่างหลายจั้ง

“ดูท่าเจ้าน่าจะอ่อนแอลงจริงๆ แม้แต่ผู้ติดตามที่มอบโลหิตระหว่างคิ้วให้เจ้ายังไม่เห็นหัวสักคน” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนขึ้นบนใบหน้าของอูเซิน ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความขมขื่น เสียงประตูนอกลานที่ดังก่อนหน้านี้ทำให้เขาตกตะลึงและสงสัย เขาได้ยินเพียงเสียง ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงพลังโลหิต เหมือนกับประตูเปิดออกเอง ไม่มีผู้ใดผลักมัน

แต่ถึงกระนั้น เขากลับรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะตอนที่ประตูห้องของเขาถูกเปิดออก ความรู้สึกนี้พลันยิ่งเด่นชัดขึ้น ฉะนั้นเขาจึงสำแดงเคล็ดวิชาหมานโดยไม่สนสิ่งใด เพียงแต่มันล้มเหลว ขณะที่เขากำลังจะพุ่งออกไปนอกห้อง พลันได้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน

เขาล้มเลิกความคิดที่จะออกไปทันที เพราะผู้มาเยือนก็คือโม่ซู คนที่เขาสงสัยมากที่สุด ทว่ากลับไม่กล้าไปล่วงเกิน!

คนที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับเยี่ยวั่ง คนที่ทำให้เขาได้รู้จักคำว่าตื่นตะลึง ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้ เขาอูเซินทำได้เพียงขมขื่น ทว่าเขากลับเฉลียวฉลาดยิ่งนัก พอจะเดาได้ถึงเจตนาของอีกฝ่ายที่มาหา แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มั่นใจ

“เจ้าชิงโลหิตต้นกำเนิดพลังซากศพของข้า ทำให้ข้าอ่อนแอลงเรื่อยๆ ด้วยฐานะและสิ่งที่ข้าทำกับพวกเขาก่อนหน้านี้ หากพวกเขารู้ว่าข้าอ่อนแอ จะต้องส่งผลร้ายกับข้าอย่างแน่นอน!” อูเซินหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก ในตอนที่ลืมตาอีกครั้ง เส้นเลือดสีเขียวบนใบหน้ามลายหาย สีหน้ากลับมาเป็นปกติ

เห็นอูเซินปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีท่าทีไม่ยินยอมและเกรี้ยวกราดเหมือนก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังกล่าวตรงๆ เรื่องความอ่อนแอของตัวเอง นี่จึงทำให้ซูหมิงเคารพเขาเล็กน้อย

“เรื่องก่อนหน้านี้ ข้าคนแซ่อูล่วงเกินมากไป หวังว่าสหายโม่จะไม่ถือสา” อูเซินกล่าวพลางยืนขึ้นคารวะซูหมิง

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย ทว่ากลับค่อนข้างพอใจกับการกระทำของอูเซิน เขามองอูเซิน อูเซินก็มองเขา ทั้งสองจ้องกันอยู่นาน ซูหมิงพลันส่งเสียงหัวเราะ

“ได้เจรจากับคนฉลาด ประหยัดเวลาได้ไม่น้อยจริงๆ เจ้าเสนอราคามา”

อูเซินพยามระงับความตื่นเต้น ยามนี้เขาไม่คิดจะหาเรื่องอีกฝ่ายแล้ว ในความคิดของเขา ตอนนี้ตนไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ ขั้นพลังด้อยกว่า ชื่อเสียงก็ไม่อาจเทียบได้ ตามที่เขาวิเคราะห์ มีความเป็นไปได้ว่าอีกไม่นานบุคคลนี้จะต้องได้รับคำเชิญจากจ้าวหมานให้มาอยู่ในเผ่าร่องลม บุคคลเช่นนี้ เขาไม่อยากเป็นศัตรูด้วย

ตอนนี้ความหวังเพียงอย่างเดียวของเขาคือ ต้องการโลหิตต้นกำเนิดคืน เพื่อให้ขั้นพลังของเขาฟื้นฟูกลับมาดังเดิม ถึงอย่างไรหลังจากฟ้าสางก็จะเป็นงานประลองในด่านที่สอง สำหรับเขาแล้วมันเป็นสิ่งสำคัญมาก

“ไม่ทราบว่าสหายโม่ต้องการสิ่งใด? ศาสตราวุธหมานข้ามีเพียงหนึ่งชิ้น ทว่ามันต้องใช้คู่กับเคล็ดวิชาหมานข้าที่ท่านปู่เป็นคนให้ ข้าไม่อาจแลกเปลี่ยนได้…”

อูเซินขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างลังเลใจ ในความคิดของเขา โลหิตต้นกำเนิดสำคัญกว่าศาสตราวุธหมานหลายเท่า ทว่าเขาไม่กล้านำมันไปแลก อย่างไรศาสตราวุธหมานทั้งหมดก็เป็นของชนเผ่า ไม่ใช่ของผู้ใดผู้หนึ่ง

“ข้าไม่ต้องการศาสตราวุธหมาน ใช้เหรียญหินมาแลกห้าพันเหรียญหิน แล้วข้าจะคืนสิ่งนี้ให้เจ้า!” ขณะกล่าว ซูหมิงหยิบขวดเล็กมาจากอกเสื้อ ในตอนที่มือเขาสัมผัสกับขวดเล็ก แสงจันทร์รอบขวดพลันหายไป ไม่มีใครพบเห็น

อูเซินจ้องขวดเล็ก หัวใจเต้นแรง ทว่าหลังจากได้ยินคำกล่าวของซูหมิงแล้ว กลับส่งเสียงหัวเราะขมขื่น

“สหายโม่ ข้า…ข้ามีเพียงสามพันกว่าเหรียญหินเท่านั้น…”

ซูหมิงไม่กล่าว เพียงแต่มองอูเซินอย่างสงบนิ่ง ผ่านไปพักหนึ่ง เขาจึงนำขวดเล็กเก็บเข้าไปในอกเสื้อ แล้วกล่าวเรียบๆ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รอจนกว่าสหายอูจะหาเหรียญหินมาจนครบ แล้วค่อยมาหาคนแซ่โม่อีกครั้ง”

อูเซินมีสีหน้าร้อนใจทันที หากคืนนี้เขาได้โลหิตต้นกำเนิดคืน วันพรุ่งก็ยังมีหวัง หากไม่ได้คืน เช้าตรู่ในด่านที่สอง เขาต้องแย่แน่นอน อีกทั้งเขายังไม่ทราบด้วยว่าจะไปหาโม่ซูผู้ลึกลับคนนี้ได้อย่างไร หากอีกฝ่ายจากไปแล้ว ต่อให้เขามีเหรียญหินที่มากพอ ก็ยากจะได้โลหิตต้นกำเนิดคืน

“เดี๋ยวก่อน…สหายโม่ เช่นนั้นเอาอย่างนี้ เจ้ารออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะออกไปหาเหรียญหินมาให้ อย่างมากก็หนึ่งชั่วยาม ข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน เจ้า….เจ้ารอข้าหนึ่งชั่วยามได้หรือไม่?” อูเซินรีบกล่าว

ซูหมิงขมวดคิ้ว มองอูเซินแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวจากไปโดยไม่สนใจอีก เขาไม่มีทางนั่งรออย่างโง่งมในนี้เป็นอันขาด ไม่ว่าอูเซินจะคิดตุกติกหรือไม่ เขาซูหมิงก็ยังต้องระวังตัวตลอดเวลา

“สหายโม่ เดี๋ยวก่อน! ข้ามีแค่สามพันสามร้อยเหรียญหินจริงๆ เช่นนั้นเอาแบบนี้ ข้าจะเพิ่มเจ้าสิ่งให้ด้วย เจ้าคิดว่าอย่างไร?” อูเซินรีบตามเข้ามาอย่างร้อนใจ ก่อนกัดฟันหยิบกล่องไม้จากมุมห้องด้านข้าง ในใจของเขาอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก เปิดกล่องไม้ต่อหน้าซูหมิง พบว่าด้านในเป็นสมุนไพรเจ็ดใบสีม่วง

ใบของมันพิเศษอย่างมาก ทุกใบมีเจ็ดก้านแยกออกมาเท่ากัน เรียงกันไปตามลำดับ เพียงมองครั้งแรกเป็นต้องรู้สึกว่ามันดูสลับซับซ้อน

“ว่านเจ็ดใบ นับว่าหาได้ยากยิ่ง ข้าได้มันมาโดยบังเอิญ ราคาของมันก็หลายพันเหรียญหิน!” อูเซินมองซูหมิง ยื่นเจ้าสิ่งนี้ให้

เพียงซูหมิงได้เห็นสมุนไพรชนิดนี้ หัวใจพลันเต้นระรัว เมื่อรับมาพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็มั่นใจว่าสิ่งนี้เป็นหนึ่งในสมุนไพรสองชนิดในการหลอมโอสถแดนใต้ที่เขาไม่เคยเห็น!

สีหน้าซูหมิงเรียบเฉย นำฝามาปิดกล่องเอาไว้แล้วมองอูเซิน ราวกับลังเลใจ

ในใจอูเซินตื่นเต้นยิ่งนัก ผ่านไปนานจนเห็นซูหมิงพยักหน้า บนใบหน้าของเขาเผยความตื่นเต้นจนไม่อาจปกปิดได้ รีบนำเหรียญหินสีขาวที่มีค่าเท่ากับหนึ่งร้อยใส่ไปในถุงย่ามแล้วมอบให้ซูหมิงอย่างนอบน้อม

ซูหมิงตรวจสอบดูสักครู่ เมื่อพบว่าถูกต้องตามจำนวน จึงส่งขวดเล็กให้อูเซิน

“โลหิตต้นกำเนิดของเจ้าราคาสูงมาก อย่าทำหายอีกเล่า” ซูหมิงมองอูเซินอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้อง เข้าสู่แสงจันทร์ และหายไปในความมืดมิด

อูเซินถือขวดเล็กมองซูหมิงตลอดจนลับหายไป สีหน้าเปลี่ยนไปมาอย่างเอาแน่เอานอนมิได้ ผ่านไปพักใหญ่เขาจึงถอนหายใจยาว ล้มเลิกความคิดที่จะล่วงเกินอีกฝ่ายอย่างถาวร

ณ เรือนพักเผ่าเขาทมิฬ ซูหมิงมองเหรียญหินสีขาวสามสิบกว่าเหรียญในมือ ในใจตื่นเต้นมาก เขาไม่เคยมีเหรียญหินจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน ขณะมองดูเหรียญหินสีขาวเปล่งประกายพร่างพราว ก็อดหยิบมันขึ้นมาเชยชมมิได้ ความรู้สึกตื่นเต้นในใจ พอๆ กับตอนที่เขาถูกสายตาจำนวนมากจับจ้องก่อนหน้านี้

จากกระเป๋าว่างเปล่า กลายเป็นมีเหรียญหินจำนวนมากเพียงนี้ในชั่วพริบตา

ซูหมิงรู้สึกว่าตนเองเป็นเศรษฐี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นจำนวนเงินมากสุดที่เขาครอบครองอยู่ตอนนี้

“หากเหลยเฉินรู้ว่าข้ามีเหรียญหินมากขนาดนี้ จะต้องตะลึงค้างไม่เชื่อสายตาตัวเองแน่ๆ” ใบหน้าซูหมิงเผยความภูมิใจของเด็กหนุ่ม ที่สำคัญที่สุดคือจำนวนเงินมากขนาดนี้ เขาได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไรสักอย่าง ก็เหมือนกับหนึ่งร้อยเหรียญหินที่เขาแลกกับโอสถชำระล้างก่อนหน้านี้ ความหมายไม่ต่างกันสักเท่าไร

“อูเซินร่ำรวยจริงๆ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ของรุ่นแห่งเผ่าร่องลม มีเก็บเอาไว้บ้างยังพอเข้าใจได้ แต่หลังจากแลกเปลี่ยนกับข้าแล้ว เดาว่าน่าจะเหลืออีกไม่เท่าไร” ซูหมิงไม่เชื่อว่าอูเซินจะมีเหรียญหินเพียงเท่านี้ แต่ถึงอย่างไรก็คงเหลือไม่มาก

ส่วนปัญหาในภายภาคหน้า ซูหมิงได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว อันดับแรกคือขั้นพลังของเขาต้องสูงกว่าอูเซินเหมือนกับครั้งนี้ ต่อให้เป็นยามกลางวันก็ไม่เป็นปัญหา และที่สำคัญที่สุดคือ อูเซินไม่ทราบว่าโม่ซูคือ ซูหมิง ซ้ำยังไม่เคยสืบหา ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ขอแค่ซูหมิงไม่เผยตัวก็จะปลอดภัย

นอกจากนี้ อูเซินจะกล้ามาหาเรื่องเขาหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กระทั่งยังมีความเป็นไปได้สูงมากที่อูเซินจะเก็บกดเอาไว้ ไม่กล้าล่วงเกิน ถึงอย่างไรฝ่ายนั้นก็ไม่ใช่คนเขลา รู้ว่าเวลาไหนควรจะถอย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version