บทที่ 236 เจ้าอยากงี่เง่าเอง! (ปลาย)
ในขณะนั้นเยี่ยฉวนก้าวตรงเข้าหาผู้มาเยือนทั้งสามซึ่งบัดนี้ล้วนแสดงสีหน้าตื่นตระหนก ด้วยความกล้าแกร่งของเยี่ยฉวนและพวกเป็นสิ่งเหนือความคาดหมายของพวกเขาทั้งสามคนอย่างยิ่ง!
ชายหนุ่มเดินมาหยุดเบื้องหน้าและก้มหน้าลงไปที่คนทั้งสามขณะที่เปลือกตายังคงปิดสนิทแนบแน่น “ฝากพวกเจ้าไปบอกสำนักใหญ่ด้วยว่า พวกเราไม่ต้องความช่วยเหลือใดๆ จากทางสำนักใหญ่ และไม่จำเป็นต้องส่งคนมาบงการให้เราทำโน่นทำนี่ พวกเจ้าก็อยู่ส่วนพวกเจ้า เราจะอยู่ส่วนเรา เข้าใจไหม?”
ชายสวมผ้าคลุมจ้องมองเยี่ยฉวน ใบหน้าบึ้งตึง “แต่เจ้าใช้ชื่อสถานศึกษาฉางหลาน!”
ชายหนุ่มกล่าวตอบด้วยเสียงเรียบเรื่อย “ชื่อนี้อาจารย์ใหญ่จี้ของเราเป็นคนตั้ง ฉะนั้นข้าจะไม่เปลี่ยนชื่อเด็ดขาด ตอนนี้พวกเจ้าทั้งสามรีบไสหัวไปซะ กลับไปและบอกสถานศึกษาฉางหลานสำนักใหญ่ว่าอีกไม่นานพวกเราจะตามไปส่งคำอวยพรให้ถึงที่”
พลันเสียงอีกฝ่ายคำรามเข่นเขี้ยว “พวกเจ้ามีแค่สี่คนเท่านี้นะ?” แต่เยี่ยฉวนไม่สนใจและไม่ตอบโต้ เขากลับหันหลังและเดินออกไปเงียบๆ
คนสวมชุดคลุมทำท่าจะเหมือนจะเอ่ยวาจาทักท้วง แต่โม่อวิ๋นฉีกลับชิงขัดจังหวะขึ้นว่า “นี่พี่ชาย ข้าขอร้องเจ้าดีๆ ให้หุบปากเสีย ขืนยังตื๊อไม่เลิก หากหัวโขมยที่เยี่ยจะกลับมากุดหัวเจ้าด้วยหนึ่งกระบี่จะหาว่าข้าไม่เตือน เขาสังหารพวกเจ้าไม่หนักหนาหรอก แต่ข้าเกรงว่าพวกขี้แพ้ชวนตีที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้าจะตามมาระรานเราอีกเท่านั้น มันจะไม่จบไม่สิ้นเอา น่ารำคาญชะมัด นี่……รีบไสหัวไปเลยขอร้อง!”
พูดจบ ทั้งโม่อวิ๋นฉี ไป๋เจ๋อและจี้อันซื่อ ต่างพากันหันกลับและเดินตามเยี่ยฉวนที่ออกไปก่อนหน้า ทิ้งให้ผู้มาเยือนทั้งสามยืนนิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวเหยเกอยู่ตรงนั้นเอง!
น่าอับอายสิ้นดี!
ครู่ต่อมา เสียงชายคนสวมผ้าคลุมเค้นเสียงพูดอย่างโกรธขึ้ง “พวกเรากลับ!” จากนั้นทั้งหมดจึงพากันกลับไปทางเดิมที่เข้ามา
คนที่สังเกตการณ์ในอีกมุมหนึ่ง จ้าวหอชั้นเก้าทอดสายตามองตามหลังคนทั้งสามที่เพิ่งลับกายไป พลางส่ายศีรษะพร้อมกับรำพึงแผ่วเบา “สำนักใหญ่ฉางหลาน พวกปัญญาอ่อนเหมือนกันหมด……” จากนั้นจึงหันกลับมาทางศาลเจ้าบรรพชน “ไม่ยอมรับศิษย์ที่นี่……ท่าพวกมันคงจะสติฟั่นเฟือนกันหมดแล้ว!”
สำนักใหญ่ฉางหลานไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ เรื่องนี้เขาพอจะรู้มาบ้าง ด้วยสถานศึกษาฉางหลานในแผ่นดินชิงอยู่ในสภาวะตกต่ำมาเป็นเวลานาน แน่นอนนั่นคือเมื่อก่อน ทว่าบัดนี้ต่อให้มีคนเพียงหยิบมือเดียวก็จริง แต่มันกลับไม่ยากเลยที่พวกเขาจะกลับฟื้นฟูสถานศึกษาแห่งนี้ขึ้นใหม่!
แต่ถึงแม้ฉางหลานที่นี่จะไม่ฟื้นฟูตอนนี้ ในภายหน้าทั้งเยี่ยฉวนและคนของเขาทั้งสามจะต้องทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้อย่างแน่นอน
คนหนุ่มที่ชื่อเยี่ยฉวนนั่นดูถ้าจะเปล่งประกายเจิดจรัสดีอยู่ และเท่าที่เขาสังเกต ไม่ว่าโม่อวิ๋นฉี ไป๋เจ๋อและแม้แต่จี้อันซื่อ ทั้งสามคนต่างก็ล้วนมีฝีมือไม่เลวเลย จะว่าไปออกจะดีเลิศเสียด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ในแคว้นเจียงเลย เอาเป็นว่าในแผ่นดินชิงแล้ว……คนทั้งสี่นับว่าเป็นหนึ่งไม่เป็นรองใคร!
น่าเสียดายที่สถานศึกษาฉางหลาน ไม่ยอมเปลี่ยนความคิดมุมมอง เมื่อคิดเช่นนี้แล้วจ้าวหอชั้นเก้าได้แต่ถอนใจก่อนจะหันหลังกลับออกไป ทั้งนี้ด้วยมันเป็นเรื่องภายในของฉางหลาน ซึ่งยากที่คนนอกอย่างเขาจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซง!
ภายในหอโถงฉางหลาน
คนสี่คนนั่งล้อมรอบโต๊ะอาหาร
พลันโม่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้นมาท่าทางขรึมเคร่ง “พวกนั้นมันกลับไปแล้ว……แต่ข้าเกรงว่าอีกไม่นานพวกสำนักใหญ่ต้องย้อนกลับมาเล่นงานพวกเราแน่!”
เยี่ยฉวนพูดเรื่อยๆ “พวกเราไม่มีที่ให้หนี สิ่งที่ควรคิดในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกนั้นจะตามมาราวีหรือไม่ แต่ควรคิดหาวิธีสร้างความกล้าแกร่งให้ยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเราแข็งแกร่งพอ ก็ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหน!”
ไป๋เจ๋อพยักหงึก “โค-ตะ-ระ ถูกเลย”
เยี่ยฉวนหันไปถามโม่อวิ๋นฉีทันที “อีกนานไหมกว่าจะสำเร็จขั้นสันโดษ?” โม่อวิ๋นฉีนิ่งไปอึดใจก่อนหันมาตอบว่า “สักเดือนหนึ่ง!”
อีกฝ่ายเมื่อได้ยินคำตอบกลับสั่นหัวดิก “ข้าให้เวลาครึ่งเดือน ภายในครึ่งเดือนถ้าเจ้ายังไม่สำเร็จขั้นสันโดษ ข้าจะปันส่วนอาหารของเจ้าออกครึ่งหนึ่งและให้ไป๋เจ๋อกินแทน!” ทันใดนั้นไป๋เจ๋อพยักหน้ารับคำรวดเร็ว “ได้เลย ข้าตกลง!” แต่โม่อวิ๋นฉีหน้ามุ่ย ชำเลืองมองคนพูด “ครึ่งเดือนก็ได้!”
จากนั้นชายหนุ่มหันไปหาจี้อันซื่อเป็นคนถัดไป “แล้วเจ้าล่ะ อีกนานไหม?” คนถูกถามทำท่าลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบมาว่า “หนึ่งเดือน!” อีกฝ่ายส่ายหน้า “ข้าจะเพิ่มไก่อบให้เป็นมื้อละหนึ่งตัว และเพิ่มน่องแกะอบอีกมื้อละหนึ่งน่องทุกวัน!”
หญิงสาวนิ่งคิดนิดเดียว พลันโพล่งขึ้นว่า “ได้ ครึ่งเดือน!” พูดถึงตอนนี้นางยกนิ้วขึ้นดูดจ๊วบ “ขอขาหมูอีกขา และข้าจะฝึกให้สำเร็จภายใน 10 วันเลย!”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ได้สิ!”
จี้อันซื่อตอบทันที “ตกลง!”
อีกฟากหนึ่งของโต๊ะ โม่อวิ๋นฉีลุกพรวดหน้าบูดเสียงพูดอย่างโมโหสุดขีด “ไอ้พี่หัวขโมยเยี่ย อย่างนี้ไม่ยุติธรรมนี่หว่า ทำไม? เจ้า……”
ทันใดนั้นเอง จี้อันซื่อพลันผุดลุกขึ้นยืนและในมือกระชับดาบประจำตัว ซึ่งไม่มีใครทันเห็นว่านางหยิบออกมาตอนไหน ขณะที่สายตาจ้องเขม็งมาที่โม่อวิ๋นฉี
โม่อวิ๋นฉีเห็นเช่นนั้น หน้าเหยเกพลางปฏิเสธเสียงหลง “พี่สาว ขะ……ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ก็แค่อยากแสดงความคิดเห็นกับพี่หัวขโมยเยี่ย ข้า……”
เยี่ยฉวนพยักหน้าเนิบๆ พลางหันไปพูดว่า “เอาเถอะถึงข้าจะเป็นอาจารย์ใหญ่ แต่ไม่ใช่คนที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น สถานศึกษาฉางหลานของเราให้อิสระทางความคิดกับทุกคน เอาอย่างนี้พวกเรามาลงคะแนนเสียงก็แล้วกัน”
ว่าแล้วคนพูดก็หันไปทางจี้อันซื่อก่อน “เจ้าจะลงคะแนนให้ใคร?” หญิงสาวตอบเสียงหนักแน่น “เจ้า!”
โม่อวิ๋นฉี “……”
เยี่ยฉวนหันกลับไปที่คนร่างใหญ่ “ไป๋เจ๋อ เจ้าล่ะ?”
ไป๋เจ๋อแสดงสีหน้าครุ่นคิด พลันเยี่ยฉวนพูดขึ้นว่า “เพิ่มกับข้าว เอ้า!” คนตัวใหญ่ตอบเสียงดัง “เจ้า!”
เยี่ยฉวนจึงหันกลับมาที่โม่อวิ๋นฉี “สามต่อหนึ่ง เจ้าแพ้แล้ว ฉะนั้นความเห็นของเจ้าเป็นอันโมฆะ” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกจากหอโถงไปทันที จี๋อันซื่อมองโม่อวิ๋นฉีตาขุ่น พลางหยิบหมั่นโถวขึ้นมากัดกร้วมก่อนจะกลับออกไปอีกคน
พลันไป๋เจ๋อเอื้อมมือมาตบบ่าของโม่อวิ๋นฉีเบาๆ พลางส่ายหน้าพร้อมเสียงถอนใจเฮือกใหญ่ “เจ้าอยากงี่เง่าเอง!” ……ขณะที่โม่อวิ๋นฉีหน้างอเป็นม้าหมากรุก “……”
— จบตอน —
