Skip to content

สู่วิถีอสุรา 750

ตอนที่ 750 แดนรกร้างต้นกำเนิดจิต

ท่ามกลางสายลมหิมะ ร่างเงาซูหมิงค่อยๆ ถูกเกล็ดหิมะบดบัง เขาเดินไกลออกไปทีละน้อย ยามนี้พอสวมหน้ากากแล้วขั้นพลังก็พุ่งทะยานขึ้น จากรูปแบบชะตาตอนปลายสู่สมบูรณ์ พอเดินไกลออกไปอีกก็มีกลิ่นอายพลังขั้นขาดชะตาอบอวลอยู่ในตัวเขา

กลิ่นอายมรณะเข้มข้นวนเวียนอยู่ในร่างกาย ทว่าแม้จะบรรลุถึงขั้นขาดชะตาแล้ว ซูหมิงก็ยังไม่หยุดชะงักฝีเท้าแม้แต่นิด ยังคงเดินไกลต่อไปด้วยความเย็นชา

หลังจากเขาจากไป บนฟ้าของแผ่นดินหมาน ฟ้าครามหลายชั้นม้วนถอยไป เผยให้เห็นน้ำวนมรณะหยินใหญ่ยักษ์ด้านหลัง น้ำวนนี้หมุนวนอย่างช้าๆ ส่งเสียงครืนๆ เป็นระยะ

เสียงนี้ดังกึกก้องคล้ายเสียงคำราม ราวกับว่ากำลังร่ายอาคมที่คนอื่นฟังไม่เข้าใจ

ไม่นานน้ำวนบนฟ้าก็หมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ซูหมิงกลางสายลมหิมะบนพื้นเงยหน้าขึ้นมอง บนใบหน้าสวมหน้ากากสีดำ หน้ากากนั้นหนาวเยือกยิ่งนัก แม้แต่ดวงตาเขายังฉายแววเย็นชาไร้อารมณ์

เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวทั้งตัว นอกจากความเย็นชาแล้ว ในตอนนี้รูปร่างสูงโปร่งยังมีความเฉยชาต่อทุกสิ่ง เขาค่อยๆ ลอยขึ้น เดินไปทางน้ำวนมรณะหยิน

“ยินดีต้อนรับเจ้า บุตรแห่งเสี้ยวโลกมรณะหยิน…ไม่นึกเลยว่ายังไม่ถึงเจ็ดวันเจ้าก็สวมหน้ากากแล้ว…” เสียงแก่ชราแว่วเนิบช้ามาจากน้ำวน น้ำเสียงไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ

“หนวกหู!” ซูหมิงผู้สวมหน้ากากเอ่ยอย่างเย็นชา ช่วงที่กล่าวขึ้นเหมือนจะทำให้น้ำวนหยุดชะงักไปชั่วครู่ การพูดแบบไม่เกรงใจเช่นนี้ไม่มีคลื่นอารมณ์อยู่ภายในเช่นกัน เสียงชราจากน้ำวนจึงเงียบไปครู่หนึ่ง

ทว่าครู่ต่อมากลับหัวเราะเสียงดัง

“ดี สมกับเป็นบุตรแห่งมรณะหยินผู้ไร้อารมณ์และความเจ็บปวดจริงๆ ข้าจะเปิดเส้นทางให้เจ้า ส่งเจ้าไปยังแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต การเคลื่อนย้ายครั้งนี้ต้องใช้พลังที่เสี้ยวโลกมรณะหยินสั่งสมมาแต่โบราณกาลจำนวนมาก ขออวยพรให้เจ้า…ประสบความสำเร็จ!” ขณะเสียงแก่ชราหัวเราะเสียงดัง น้ำวนมรณะหยินบนฟ้าหมุนโคจรอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ปรากฏอุโมงค์ยักษ์ตรงใจกลางน้ำวน

อุโมงค์เป็นสีดำทึบ ภายในยังมีสายฟ้าสีม่วงไหลเวียน วินาทีที่มันปรากฏ ซูหมิงก็กลายเป็นสายรุ้งยาวบินตรงไปทางอุโมงค์

ไม่นานนัก พอเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ชั่วขณะที่มาอยู่ด้านนอกอุโมงค์ เขาหยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วหันหน้าไปมองพื้นดินด้านล่าง

ตรงนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดบนฟ้า แผ่นดินหมานจึงเหมือนถูกย่อส่วนลงมาไม่รู้กี่เท่าและเห็นได้ครบทั้งหมด ซูหมิงเบนสายตาจากแดนพันธมิตรตะวันตกไปยังแดนอรุณใต้ มองอยู่ตรงนั้นคล้ายเห็นยอดเขาลำดับเก้ารางๆ

เขาเห็นศิษย์พี่รองเดินออกมาจากถ้ำบนยอดเขาลำดับเก้า ด้านหลังมีหู่จื่อ และยังมี…ศิษย์พี่ใหญ่ที่คืนชีพจากสภาพหินแล้ว เพียงแต่ว่าสายตาซูหมิงเฉยเมย เย็นชาจนไม่ว่าคนที่รู้จักเขาคนใดเห็นก็ต้องเกิดความรู้สึกแปลกตา เขาหันหน้ากลับมา ไม่มองพื้นดินอีก แต่ก้าวเดินเข้าไปในอุโมงค์

แทบเป็นช่วงที่เขาก้าวเข้าไปด้านใน เสียงร้องแหลมของกระเรียนขนร่วงดังมาจากด้านหลัง มันกลายเป็นสายรุ้งยาวข้ามผ่านมวลอากาศมา วินาทีที่เขาก้าวเข้าไปในอุโมงค์ มันก็บินตามเข้าไปติดๆ…เข้าไปในอุโมงค์พร้อมกัน

ณ แดนรกร้างต้นกำเนิดจิต

กลางฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่ซึ่งไม่ใช่เขตของแดนมรณะหยิน หากกล่าวจริงๆ คือมันอยู่นอกแดนมรณะหยิน อยู่กลางผืนฟ้าดวงดาวเดียวกันกับสี่มหาโลกแท้จริงของฟ้าแสงสว่างหยาง

ที่นี่คือแดนที่สี่มหาโลกแท้จริงเนรเทศนักโทษตัวฉกาจซึ่งยากจะสังหารมาในช่วงไม่รู้กี่หมื่นปีมานี้ ที่นี่มีแต่คนเหี้ยมโหดอำมหิต ทั้งยังมีกองทัพใหญ่ของผู้แข็งแกร่งจำนวนมากจากสี่มหาโลกแท้จริงที่จะผลัดเปลี่ยนกันทุกๆ ห้าพันปีประจำการอยู่ที่นี่ด้วย

การประจำการของพวกเขา ไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกันเหล่านักโทษหลบหนีออกมา แต่ที่สำคัญกว่าคือกำราบเผ่าพันธุ์ประหลาดจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต

ทั้งฟ้ากระจ่างดาวอันเป็นที่ตั้งของทั้งแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต มีดาวแท้จริงที่ถูกทิ้งร้างอยู่นับไม่ถ้วน หมอกพิษจำนวนมากอบอวลอยู่ในฟ้ากระจ่างดาวที่ไม่ได้ใช้งานนี้ ความรุนแรงของหมอกพิษเหล่านั้น หากคนที่มีขั้นพลังค่อนข้างอ่อนแอสูดดมไป ทั่วร่างก็จะเน่าเปื่อยในทันที

แดนรกร้างต้นกำเนิดจิตมีพื้นที่กว้างใหญ่ยิ่งนัก น้อยคนนักที่จะรู้ขนาดของมันโดยละเอียด เล่าลือกันว่าที่นี่เคยอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ทว่าสงครามระหว่างสี่มหาโลกแท้จริงกับเผ่าพันธุ์ประหลาดที่เอ่ยถึงก่อนหน้านี้ทำให้ที่นี่กลายเป็นแดนรกร้าง

ทางเข้าสู่แดนรกร้างต้นกำเนิดจิตมีมากมาย แต่หลายต่อหลายปีมานี้ปรากฏทางออกเพียงจุดเดียว ตรงทางออกมีผนึกอยู่ ผนึกนั้นวางไว้โดยสี่มหาโลกแท้จริง และก็เป็นจุดประจำการของผู้แข็งแกร่งจำนวนมากจากสี่มหาโลก

จุดนี้เหมือนกับร่องหุบเขา ไม่รู้กี่หมื่นปีมาแล้วที่มันขวางการโจมตีจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตที่จะบุกมาที่นี่ไว้หลายครั้ง

มันคือร่องหุบเขาที่รวมขึ้นจากดาวแท้จริงมากกว่าหลายพันดวง พวกมันรวมเข้าด้วยกัน วางเป็นอาคมใหญ่ที่ผนึกฟ้ากระจ่างดาวและผนึกแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตไว้อย่างหนาแน่น

กระทั่งนอกทางออกนี้ยังมีวิชากำราบที่ทรงพลังยิ่งกว่าอยู่อีก ทุกอย่างล้วนเพื่อป้องกันเผ่าพันธุ์ประหลาดในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต

ส่วนนักโทษเหี้ยมโหดจากสี่มหาโลกแท้จริงถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้คนเหล่านี้กระทบกระทั่งกับเผ่าพันธุ์ประหลาด ให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเอง และช่วงชิงโอกาสเอาชีวิตรอดภายในแดนดาราถูกทิ้งร้างที่มีทรัพยากรขาดแคลนแห่งนี้

ภายในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต การมีชีวิตรอดคือความปรารถนาอย่างหนึ่ง ต้องมีชีวิตรอดเท่านั้นจึงจะมีโอกาสอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทว่าด้วยความที่ขาดแคลนทรัพยากรและอาหาร พลังวิญญาณฟ้าดินปั่นป่วน ที่นี่จึงเกิดการฆ่าฟันกันอย่างน่าอนาถบ่อยครั้งเพื่อแย่งชิงทรัพยากร

ทว่าเรื่องเหล่านี้คือสิ่งที่สี่มหาโลกแท้จริงคาดหวังและมีความสุขที่ได้เห็น ขอเพียงปิดตายทางออกและเนรเทศนักโทษเข้ามาบ่อยๆ รอจนเวลาผ่านไป ที่นี่ก็จะค่อยๆ พังพินาศลง

ความคิดนี้ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่ แต่ภายใต้การกำราบมาไม่รู้กี่หมื่นปีของสี่มหาโลกแท้จริง ช่องโหว่แทบทุกอย่างค่อยๆ ถูกอุดไว้ด้วยวิธีต่างๆ ทำให้ที่นี่กลายเป็นนรก

ความจริงแล้วที่นี่ก็เป็นนรก เป็นคุกคุมขัง และเป็นแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตอันบ้าคลั่งจริงๆ จากสงครามระหว่างสี่มหาโลกแท้จริงกับเผ่าพันธุ์ประหลาดในอดีต ภายใต้การตายของสิ่งมีชีวิตมาหลายหมื่นปี ที่นี่จึงมีกลิ่นอายมรณะแบบไร้ที่สิ้นสุด กลิ่นอายมรณะเหล่านี้เข้มข้น แม้ไม่อาจเทียบกับแดนมรณะหยิน ทว่าก็ใกล้เคียงกันมาก

กระทั่งบางแห่งยังเข้มข้นกว่า แต่ก็มีบางแห่งเบาบาง

ซูหมิงนอนอยู่บนพื้นดินสีโลหิต กลิ่นคาวเลือดชวนอาเจียนที่คละคลุ้งกับความร้อนระอุแผ่กระจายมา ที่นี่คือดาวแท้จริงรกร้างดวงหนึ่ง ดาวดวงนี้เต็มไปด้วยภูเขาไฟ กระทั่งภูเขาไฟไม่น้อยยังปะทุออกมาตลอดทั้งปี เมื่อสูดอากาศของที่นี่แล้วจะมีกลิ่นไหม้อยู่ในร่างกาย

ซูหมิงนอนอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว ที่นี่เป็นที่แรกหลังจากเขาเข้ามายังแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต หมอกพิษจำนวนมากกับกลิ่นอายมรณะเบาบางทำให้ตรงนี้เป็นจุดที่ไม่ค่อยเหมาะจะอาศัยนักในแดนแห่งนี้ แต่ก็พอฝืนทนไหวอยู่

ทว่าสำหรับซูหมิงแล้ว กลิ่นอายมรณะเบาบางของที่นี่ทำให้เขาเพิ่งปรากฏตัวก็รู้สึกเหมือนทั่วร่างจะหลอมละลายทันที ทั้งยังมีหมอกดำกระจายมาจากในร่างกายจำนวนมาก สภาพแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาประสบ นี่เป็นเพราะว่าระดับความเข้มข้นของกลิ่นอายมรณะของที่นี่ไม่มากพอ ร่างกายมรณะหยินของเขาจึงปรับตัวไม่ได้ ฉะนั้นเลยแก่ชราและอ่อนแอลง

เวลานี้ในอดีต ความเจ็บปวดทั้งในและนอกร่างกายจะถาโถมเข้าใส่เขาหลายครั้งดุจดั่งน้ำหลาก ทว่าครั้งนี้…เขามองฟ้าอย่างนิ่งเฉย มองผืนฟ้าขุ่นมัวเงียบๆ ในตัวเขาไม่มีความเจ็บปวดใดๆ เลย

เพราะว่าเขาตัดขาดจากความเจ็บปวดแล้ว

ฟ้าของที่นี่แม้จะขุ่นมัว กลับมีความรู้สึกสมจริงอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน นี่คือฟ้ากระจ่างดาวอย่างแท้จริง ไม่ใช่ฟ้ามายาที่สร้างจากน้ำวนมรณะหยิน

อาการแก่ชราและร่างละลายอยู่กับซูหมิงมาติดกันสามวัน บวกกับมีหมอกพิษจำนวนมากรอบด้าน อาภรณ์ของเขาจึงเปื่อยยุ่ย ช่วงที่ร่างกายกำลังละลายและฟื้นฟูอยู่นี้ ก็ค่อยๆ เกิดเป็นตุ่มหนองน่าเกลียดขึ้นมาทีละตุ่ม

ทว่าเขาเหมือนไม่รับรู้สิ่งเหล่านี้ เขายังคงนอนมองฟ้าเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หน้ากากบนใบหน้าก็ค่อยๆ หลอมละลายหลังจากมาถึงแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต เหมือนฝังลึกลงไปในผิวหนังและคล้ายจะหายไป จึงเผยใบหน้าขาวซีดออกมา แต่ความจริงคือเขายังรู้สึกถึงมันอยู่

กระเรียนขนร่วงนอนหมอบอยู่ข้างๆ กลายร่างเป็นก้อนหินสีแดงก้อนหนึ่ง บนก้อนหินนั้นมีดวงตาสองดวง กำลังมองซูหมิงตาปริบๆ หมอกพิษที่นี่ทำให้มันรู้สึกค่อนข้างทรมาน แต่ไม่ได้ร่างละลายและชราลงเพราะกลิ่นอายมรณะน้อยไปเหมือนกับซูหมิง

เหตุที่มันกลายเป็นหินเพราะหลังจากมาถึงที่นี่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดมันถึงรู้สึกคุ้นเคยนัก คล้ายกับว่า…หากมันยังอยู่ในร่างกระเรียนขนร่วงแล้วมีคนเห็นเข้า จุดจบคงอนาถอย่างยิ่ง

ฉะนั้นมันเลยกลายเป็นก้อนหินโดยสัญชาตญาณอยู่ข้างๆ ซูหมิง

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เมื่อยามโพล้เพล้วันที่สามมาถึง ความร้อนและหมอกพิษของที่นี่หายไปเล็กน้อย นัยน์ตาซูหมิงพลันขยับประกาย ตอนที่เขามองทอดไปไกล ดวงตาบนก้อนหินของร่างแปลงกระเรียนขนร่วงก็รีบหลบทันที

ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าแว่วมาอย่างเร็วรี่จากที่ไกลๆ เห็นเป็นคนซูบผอมเจ็ดแปดคน พวกเขากำลังแบกศพห้อเหยียดผ่านทางมาตรงนี้

คนนำหน้าขบวนเป็นชายวัยกลางคนร่างหนังหุ้มกระดูก แต่แววตากลับสว่างไสวยิ่ง นัยน์ตาเขาพลันเป็นประกายวาววับ เขาแบกศพกำลังเน่าเปื่อยร่างหนึ่ง ฝีเท้าหยุดชะงักไปชั่วครู่ พอเขาหยุด เจ็ดคนด้านหลังก็หยุดพร้อมกัน

ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมเสื้อคลุมยาวสีม่วง เสื้อคลุมตัวนั้นมีรอยชำรุดหลายจุด อีกทั้งตัวใหญ่ยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เสื้อคลุมของชายวัยกลางคนซูบผอมคนนี้

หลังจากหยุดลง นัยน์ตาชายเสื้อคลุมม่วงเป็นประกาย มองมาทางซูหมิงที่นอนอยู่ไกลๆ ขณะเดียวกับที่มองมา คนด้านหลังเขาก็วางศพที่แบกอยู่ลงแล้วตรงมาหาซูหมิง

ด้วยความเร็วของเขา ในระยะห่างหลายร้อยจั้งก็เข้ามาใกล้ในพริบตาเดียว คลื่นพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าซูหมิงวนเวียนรอบตัวเขา บุคคลนี้เป็นชายชราหนังหุ้มกระดูก ร่างกายผอมแห้ง พอมาอยู่ด้านข้างก็มองดวงตาเย็นชาของซูหมิง ก่อนพลันหัวเราะขึ้น

“หัวหน้า ตรงนี้ยังมีเครื่องเซ่นไหว้เทพอีกคนหนึ่ง หนำซ้ำเขายังไม่ตายด้วย”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version