ตอนที่ 774 จิงหนานจื่อ
ทุกคนต่างนึกถึงแต่ตัวเอง ซูหมิงไม่ใช่พวกขาดประสบการณ์ จึงมองจุดนี้ออกอยู่แล้ว เขาเสี่ยงอันตรายมาทั้งชีวิต ต่อสู้และวางแผนมากมาย ฉะนั้นอยู่กับคนพวกนี้ นอกจากต้องเงียบแล้วยังต้องมีความคิดและการวางแผนในระดับเดียวกันด้วย
ยามนี้ซุนคุนกับหลงลี่หายเข้าไปในม่านแสง ส่วนเถียนหลินถูกเส้นสีแดงแน่นขนัดจมจนมิด มองเห็นไม่ชัด ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแล้ว
ทว่าซูหมิงกลับเห็นว่ายามเส้นสีแดงเข้ามาใกล้ เยียเซินถงที่เสียกายเนื้อไม่รู้ว่าใช้วิธีแบบใด จิตแรกพลันหายไปด้วย ซูหมิงใช้จิตสัมผัสตรวจสอบก็ยังหาไม่เจอ
‘จะดูถูกคนพวกนี้ไม่ได้เลย กระทั่งเยียเซินถงที่เสียกายเนื้อไปก็ด้วย ถึงอย่างไรพวกเขาทุกคนก็มีฐานะเป็น…เจ้าปกครองโลก’ ซูหมิงหลอมละลายเข้าไปในผนังหินมากขึ้นเรื่อยๆ กระเรียนขนร่วงอยู่ข้างนอก มันใช้วิชาแปลงกายอำพรางร่างเขาเอาไว้ จึงดูแล้วเหมือนกับผนังหินส่วนอื่นๆ
ในที่อำพราง ซูหมิงค่อยๆ สงบจิตใจลง ไม่ใคร่ครวญถึงสภาพการณ์ภายนอกอีก เขาในตอนนี้ค่อนข้างปลอดภัย เส้นสีแดงเหล่านั้นมองไม่เห็นกระเรียนขนร่วง เวลานี้กำลังชนกับม่านแสงไม่หยุด
เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ก็เกิดเสียงโครมครามดังสนั่นทั่วเส้นทาง ม่านแสงถูกเส้นสีแดงพุ่งชนจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ช่วงที่ม่านแสงพังทลายลง เส้นสีแดงจำนวนมากบีบกันเข้าไปคล้ายกับหารูระบายเจอ แล้วเคลื่อนห่างออกไปช้าๆ
ภายในเส้นทาง หลังจากเส้นสีแดงห่างไปไกล บนพื้นดินพลันปรากฏหน่ออ่อนสีเขียวมุดขึ้นมา หน่ออ่อนนี้เพิ่งปรากฏก็เติบโตอย่างเร็วไว เสี้ยววินาทีเดียวกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ค้ำยันทางเดินไว้ บนลำต้นมีใบหน้าคนเหมือนกับเถียนหลินอยู่
หลังปรากฏต้นไม้ใหญ่ขึ้น ตรงกลางลำต้นฉีกออก เถียนหลินเดินออกมาจากรอยฉีกนั้น เขาหน้าซีดขาวเล็กน้อย พอยืนมองไปรอบๆ แล้วก็มีสีหน้าทะมึนอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นเอง ภายในรอยฉีกตรงกลางลำต้นมีแสงของจิตแรกปรากฏ เป็นร่างจิตแรกที่ขาวซีดของเยียเซินถงตามออกมานั่นเอง
“ขอบคุณสหายเถียนที่ช่วย หากแซ่เยียกลับไปอย่างปลอดภัยเมื่อไรจะต้องตอบแทนอย่างงามแน่นอน ขอบคุณสหายเถียนที่ช่วยชีวิต” เยียเซินถงยังคงมีสีหน้าหวาดกลัว สายตามองไปตรงจุดที่เส้นสีแดงเคลื่อนจากไปพลางเอ่ยเสียงเบา
“สหายเยียไม่ต้องเกรงใจไป ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนเชิญเจ้ามา ย่อมต้องปกป้องเจ้าอยู่แล้ว แล้วตอนนี้สหายเยียคิดจะทำอย่างไรต่อ?” เถียนหลินส่ายศีรษะ กล่าวเสียงต่ำพลางมองเยียเซินถงอย่างมีความหมายแฝง
“สหายหลงกับสหายซุนต่างมีวิธีการของตัวเองเพื่อให้ได้รับโชควาสนามา สหายเถียนก็ใช้จิตแรกสลับกายเนื้อ ทั้งยังผสานรวมกับต้นไม้ พลังชีวิตถึงจุดที่เรียกว่าเกือบอมตะ ต่อให้เป็นเจ้าหนุ่มซูหมิงก็ไม่เป็นอะไรง่ายๆ เกรงว่าตอนนี้คงไปตามหาโชควาสนาแล้ว”
เยียเซินถงหน้าขาวซีด เมื่อยิ้มเฝื่อนกล่าวพลางมองไปรอบๆ แล้วก็มองเถียนหลิน
“แซ่เยียเหลือเพียงจิตแรกและหมดกำลังใจแล้ว ตอนนี้คิดเพียงออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หวังว่าสหายเถียนจะช่วยอย่างเต็มที่” เยียเซินถงพูดมีเหตุผล ถึงอย่างไรหากเป็นคนอื่นอยู่ในสภาพนี้ก็คงจะคิดถึงชีวิตตนก่อน ไม่ใช่โชควาสนา
เถียนหลินดวงตาแวววาว พิจารณามองเยียเซินถงแล้วก็ยิ้ม
เยียเซินถงเห็นรอยยิ้มเถียนหลิน ใจพลันเต้นตึกๆ รีบถอยไปโดยไม่รู้ตัว พยายามเค้นรอยยิ้มแล้วประสานมือคารวะอีกฝ่าย
“หวังว่าสหายเถียนจะให้ข้ากลับไป แซ่เยียรับปากว่าจะตอบแทนอย่างงาม”
“เยียเซินถง” เถียนหลินยิ้มกว้างมากขึ้น ทว่านัยน์ตาสองข้างกลับเย็นเยียบ
“เจ้ากับข้ารู้จักกันมาหลายปี เล่าลือว่าเจ้าเคยรอดจากการล่าสังหารของผู้รักษาการณ์ เรื่องนี้มีหลายคนไม่เชื่อ ทว่า…ข้าเชื่อ!”
เยียเซินถงหรี่ตา พอได้ยินเถียนหลินเอ่ย สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาโดยพลัน ยามนี้ทั้งสองคนไม่สังเกตเห็นเลยว่าบนผนังหินห่างไปไม่ไกลมีซูหมิงกำลังหลับตาฟังการสนทนาอยู่
ผนังหินร่างแปลงกระเรียนขนร่วงสมจริงดังของจริง กระทั่งพวกเถียนหลินยังไม่สังเกตเห็น
“ตอนแรกเริ่มเจ้ายั่วยุซูหมิง คงอยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับซูหมิง และก็เพื่อบอกคนอื่นว่าเจ้ากับข้าไม่ได้สนิทกันกระมัง เช่นนี้จะทำให้เกิดโอกาสที่เจ้ากับคนอื่นร่วมมือกัน
หลังจากนี้เจ้าจะเฝ้าสังเกตต่อไป สุดท้ายค่อยลงมือ แต่เจ้าคงนึกไม่ถึงว่าจะบาดเจ็บจากฝีมือสหายซูขนาดนี้
ในความคิดข้า แผนการเดิมของเจ้าคือพอกินเลือดเนื้อสหายซูแล้ว ต่อให้เปิดม่านแสงได้ เจ้าก็จะแสร้งทำเป็นอ่อนแรง เพื่อบรรลุอีกหนึ่งเป้าหมายของเจ้า คือออกไปจากที่นี่!”
เถียนหลินกล่าวเนิบช้า ทุกคำพูดล้วนทำให้เยียเซินถงมีสีหน้าย่ำแย่ขึ้น
“สหายเถียนวิเคราะห์โดยไม่มีหลักฐานอะไรเลย หากไม่จำเป็นจริงๆ ข้าจะออกไปจากที่นี่เพื่ออะไร” เยียเซินถงรีบอธิบาย เพราะเกรงว่าเถียนหลินจะเข้าใจผิด
“ความรู้สึกที่ถูกผู้รักษาการณ์ล่าสังหารเป็นอย่างไร?” เถียนหลินไม่สนใจคำพูดเยียเซินถง แต่เอ่ยเสียงเบา
“บางทีควรจะถามว่าหลังจากถูกผู้รักษาการณ์ประทับตราให้กลายเป็นหูตาบนดาวแท้จริงของพวกนั้นแล้ว เจ้ารู้สึกอย่างไร?”
“สหายเถียนหมายความว่าอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ” นัยน์ตาเยียเซินถงขยับประกาย เวลานี้ใบหน้าไม่ขาวซีดอีก แต่ดูพิลึกและชั่วร้าย ดวงตายังเปล่งแสงเพลิงภูตผีขึ้นมา
“เจ้าออกจากที่นี่ก็เพื่อเอาเรื่องนี้ไปรายงานกับเจ้านายของเจ้า…อีกทั้งวิธีรายงานยังมีเพียงวิธีเดียว นั่นคือเผาผลาญพลังของร่างแยกร่างหนึ่ง
พอดิบพอดีเลย หลังจากแซ่เถียนผสานรวมกับต้นไม้ล้ำค่าแล้วก็ได้รับพลังแห่งพรสวรรค์จำนวนหนึ่งของต้นไม้นี้มา มันมองออกว่านี่คือร่างจริงหรือร่างแยก สหายเยียตรงนี้ ข้ามองเห็นเป็นร่างแยกซึ่งใกล้เคียงกับร่างจริงมาก มีเลือดเนื้อ มีจิตแรก แทบจะไม่ต่างอะไรเลย แต่ร่างแยกก็ยังเป็นร่างแยก
เจ้าจะออกจากที่นี่ไป แล้วใช้เวลาสามวันข้างนอกในการวางวงแหวนอาคม จากนั้นก็เผาผลาญพลังของร่างแยกเพื่อกระตุ้นวงแหวนอาคม แบบนี้ผู้รักษาการณ์คนนั้นก็จะรู้ถึงความทรงจำก่อนตายของร่างแยกเจ้าและเห็นทุกอย่างที่นี่
มิหนำซ้ำเจ้ายังได้รางวัลมาด้วย ข้ามาคิดดูแล้ว เจ้านายของเจ้าคงรับปากกับเจ้าว่าหากเจอเรื่องสำคัญ เขาจะดำเนินการเพื่อมอบอิสระให้กับเจ้าใช่หรือไม่?”
เถียนหลินกล่าวอย่างสงบ เพียงแต่ตอนที่เอ่ยคำว่าอิสระ หัวใจเขาบีบรัดเข้าด้วยกัน กลายเป็นความเจ็บปวดลึกๆ
ยามนี้เยียเซินถงหน้าเปลี่ยนสี เขาถอยหลังไปหลายก้าวโดยจิตใต้สำนึก แสงหม่นในแววตาขยับวูบวาบเด่นชัด
“ไม่ผิด ในเมื่อสหายเถียนมองออกแล้ว ข้าจะไม่ปิดบังอีก ทว่าเจ้ารู้ละเอียดเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นหนึ่งในสายของผู้รักษาการณ์เช่นกัน?” เยียเซินถงจ้องเถียนหลินตาเขม็ง เวลานี้ในใจตื่นตระหนก นี่คือความลับยิ่งใหญ่ที่สุดในใจเขา เขาคิดว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่ไม่นึกเลยว่าเถียนหลินจะรู้
เรื่องนี้สร้างความตื่นตะลึงกับเขาอย่างยิ่ง ความลับที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งหัวใจลอยขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม เมื่อหลายร้อยปีก่อนเขาถูกผู้รักษาการณ์คนหนึ่งล่าสังหาร ผ่านความเป็นตายมาหลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมิได้คิดสังหารเขาจริงๆ เกรงว่าเขาคงตายไปนานแล้ว
สุดท้ายอีกฝ่ายทิ้งโซ่เส้นหนึ่งไว้ตรงหน้าอกตน โซ่เส้นนี้เติบโตในเนื้อประดุจตราประทับ จากนั้นมาเขาก็เป็นสายข่าวของผู้รักษาการณ์คนนี้
“บ้านเกิดของแซ่เถียนห่างจากดาวแดงเพลิงไปไกลมาก…เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงมาที่นี่?” เถียนหลินมองเยียเซินถงแล้วยิ้ม
“เพราะว่าเจ้า! ในตัวเจ้ามีกลิ่นอายพลังของจิงหนานจื่อ!”
สิ้นเสียงคำว่าจิงหนานจื่อ เยียเซินถงหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน จิงหนานจื่อก็คือนามของผู้รักษาการณ์คนที่ประทับตราใส่ตัวเขา!
“ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าใกล้เจ้า แต่ก็กลัวว่าเจ้าจะสงสัยเลยเลือกอยู่ที่ดาวแดงเพลิงซึ่งห่างจากเจ้าไม่ใกล้และก็ไม่ไกล!
ข้าผสานรวมกับต้นไม้ล้ำค่าก็เพื่อเจ้าเช่นกัน…เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าต้องพูดกับเจ้าอย่างนี้?” เถียนหลินยิ้มมุมปาก นัยน์ตาเยียเซินถงฉายแววสับสน เขาค่อยๆ หลับตาแล้วล้มลงคล้ายหลับใหล ก่อนจะถูกกิ่งไม้จำนวนหนึ่งพันรอบจนเป็นตัวไหม
“อภินิหารพรสวรรค์ของต้นไม้ล้ำค่านี้ นอกจากแยกแยะคนออกว่าเป็นร่างจริงหรือร่างแยกแล้ว ยังมีพรสวรรค์ที่สองอีก มันสามารถทำให้ร่างแยกหลับใหลโดยที่ร่างจริงไม่รู้ตัว จากนั้นหลอมรวมเข้าสู่จิตแรกและใช้วิชาแห่งความฝันอย่างหนึ่ง
เยียเซินถง ข้ารอวันนี้มานานมากแล้ว ตอนนั้นพอข้าเห็นโซ่เติบโตในเนื้อเจ้า ก็เลยตรวจสอบอดีตของเจ้า จากนั้นมาข้าเลยมั่นใจว่าเจ้าคือสายข่าวอีกคนของจิงหนานจื่อที่เป็นคนสังหารสายเลือดแซ่เถียนของข้า
จิงหนานจื่อ ตอนนั้นบรรพบุรุษข้าเป็นหูตาให้เจ้า ไม่ว่ายุคสมัยใด เจ้าจะตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างที่เจ้าอยากได้เสมอ เจ้ารับปากว่าจะมอบอิสระให้กับสายเลือดแซ่เถียน ทว่าอิสระนั้น…กลับเป็นการฆ่าล้างทั้งตระกูล นี่ก็คืออิสระในความหมายของเจ้า…
ตอนนั้นเจ้าไม่ได้สังหารข้า นี่คือข้อผิดพลาดที่สุดในชีวิตเจ้า!
ข้าจะให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!” ใบหน้าเถียนหลินบิดเบี้ยว ช่วงที่เสียงหัวเราะต่ำดังกังวานในเส้นทาง เขาขยับวูบไหวตัว ห้อเหยียดไปยังส่วนลึกของเส้นทาง
“จิงหนานจื่อ จากพื้นที่ในปกครองของสี่มหาโลกแท้จริงมาถึงที่นี่ใช้เวลาเพียงสิบวัน ข้าจะไม่ให้เจ้ามาตอนนี้ เพราะหลุมฝังศพเจ้ายังไม่เสร็จดี รอข้าจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนค่อยให้เยียเซินถงตื่นขึ้น แล้วทำในสิ่งที่เขาควรจะทำ…คือบอกเรื่องทุกอย่างที่นี่กับเจ้า!” เสียงหัวเราะของเถียนหลินดังไกลออกไปทีละน้อย เส้นทางตรงนี้จึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา บนพื้นเส้นทางเงียบสงบมีหน่ออ่อนมุดออกมาหลายจุด ก่อนจะกลายเป็นร่างเงาเลือนรางของเถียนหลิน นี่ก็คือจิตสัมผัสที่รวมขึ้นของเขา
“ดูท่าซูหมิงจะไปแล้วจริงๆ คงไม่ได้อยู่ที่นี่” เถียนหลินส่ายศีรษะ ร่างจากจิตสัมผัสหายไป
ผ่านไปอีกสองชั่วยาม บนพื้นดินปรากฏร่างเถียนหลินอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้เอ่ยกับตัวเองอีก แต่ตามร่างจริงไปด้วยความรวดเร็ว
ซูหมิงที่ซ่อนอยู่ในผนังหินลืมตาขึ้น มองร่างเงาจิตสัมผัสของเถียนหลินวิ่งไกลออกไปพลางยิ้มเยาะในใจ