ตอนที่ 804 วงแหวนอาคมผนึกจิต
แดนรกร้างต้นกำเนิดจิต
ผืนฟ้าของเขตคนบาป
มีดาวถูกทิ้งร้างดวงหนึ่ง หากกล่าวจริงๆ มันไม่ใช่ดาวแท้จริงที่สมบูรณ์ แต่พังทลายลงเมื่อไม่รู้กี่ปีก่อนจนเป็นเสี่ยง
บางทีอาจเป็นเมื่อหมื่นปีก่อน หรือเป็นตอนที่สี่มหาโลกแท้จริงทำสงครามกับโลกแท้จริงลำดับที่ห้าในยุคโบราณ หลังดาวพังพินาศแล้วก็กลายเป็นเศษก้อนหินเช่นนี้
ขนาดของมันใหญ่กว่าหินอวกาศปกติ หากเวลาผ่านไปอีกสักช่วงหนึ่ง อาจจะแยกออกจากฟ้ากระจ่างดาว และกลายเป็นส่วนหนึ่งของหินอวกาศที่ลอยเคว้งอย่างโดดเดี่ยว
ทว่าตอนนี้มันยังไม่ใช่
ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินก้อนที่พังจากดาวแท้จริงมาไม่รู้กี่ปีก่อนนี้ ที่นี่ไม่มีร่องรอยสิ่งมีชีวิต ไม่มีผู้ฝึกฌาน ราวกับโลกทิ้งร้าง ทุกสิ่งมีชีวิตสูญสิ้น
ซูหมิงนั่งฌานอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว
เขารู้ถึงความล้ำค่าของเวลา รู้ว่าสี่มหาโลกแท้จริงกำลังตามล่าอยู่ และรู้ถึงความโลภของผู้ฝึกฌานในแดนรกร้าง ตนมีโอกาสถูกพบได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นทุกครั้งที่เขารักษาจะใช้เวลามากสุดสามวัน จากนั้นจะย้ายไปที่อื่นทันที
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาลืมตาขึ้น มีความเหนื่อยล้าอยู่ในแววตา ก่อนก้มหน้ามองอาภรณ์ที่ฉีกขาด มองรอยช้ำกระบี่จางๆ ตรงหน้าอก ก่อนละสายตากลับอย่างเงียบๆ แล้วเงยหน้ามองฟ้า
“หินโลกร้อยก้อนอย่างนั้นรึ” ซูหมิงยิ้มเยาะ ตรงหน้าเขามีศพอยู่สองคน ล้วนร่างแห้งเหี่ยวคล้ายโครงกระดูก นี่คือผู้ฝึกฌานสองคนที่เจอเขาหลังมาถึงที่นี่เมื่อสามวันก่อน เดิมทีเขาคิดหลบ แต่สองคนนี้กลับรู้ฐานะตนเลยจะเอารางวัล ฉะนั้นจึงให้คนหนึ่งถ่วงเวลา และอีกคนหนึ่งถอยไปเพื่อขอกำลังเสริม
ซูหมิงยืนขึ้นสะบัดมือขวาไปข้างหน้า ศพสองคนนี้พลันกลายเป็นเถ้าธุลีหายไป จากนั้นก็เดินขึ้นฟ้าหนึ่งก้าว ตอนที่อยู่กลางฟ้าร่างกายพลันขยับแสงสีแดงวิบวับ มีเส้นสีแดงวนเวียนทั่วร่างหลายเส้น หลังสร้างเป็นโลงศพสีแดงแล้วก็พุ่งทะยานไปในฟ้ากระจ่างดาว
แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงเพิ่งออกจากหินอวกาศก้อนนี้และเข้าสู่ผืนฟ้า นัยน์ตาเขาแวววาวอยู่ในโลงศพ
‘ครั้งนี้ห้าวัน…’ เขารู้สึกว่ากลิ่นอายพลังที่วางเอาไว้ตอนออกจากหินอวกาศก้อนหนึ่งเมื่อห้าวันก่อนหายไป หมายความว่าหินก้อนนั้นสูญสลายไปแล้ว และก็หมายความว่ามีคนตามมาถึงหินก้อนนั้นเช่นกัน
‘มีบางอย่างไม่ถูกต้อง หลายครั้งก่อนจะเป็นเจ็ดวัน กลิ่นอายพลังที่ข้าวางเอาไว้ถึงจะถูกตรวจพบ’ ซูหมิงขมวดคิ้ว
“ชื่อหั่วโหว วิชาลับที่เจ้าใช้กับตัวข้ายังอยู่หรือไม่?” ซูหมิงกล่าวในใจ
“ยังอยู่ ขอเพียงอีกฝ่ายไม่อยู่ใกล้มากก็ยากจะหาเจ้าเจอในทันที กลิ่นอายพลังเจ้าค้างอยู่เจ็ดวัน นั่นหมายความว่าตอนที่พวกเขาตรวจพบตำแหน่งเจ้า นั่นคือตำแหน่งของเจ้าเมื่อเจ็ดวันก่อน
วิชาลับที่คล้ายกับบิดรูปมิตินี้ หากเป็นคนอื่นต่อให้ข้าช่วยก็ไม่มีผลอะไรมากนัก ทว่าเจ้าเป็นชาวเผ่ายมโลก พรสวรรค์คือมิติ มันถึงมีอานุภาพเช่นนี้” ชื่อหั่วโหวกล่าวเรียบนิ่ง
ซูหมิงเงียบงัน ครุ่นคิดพลางวางเรื่องนี้ไว้ในใจ โลงศพสีแดงทะยานอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว พริบตาเดียวก็หายวับไป
สามวันต่อมา โลงศพที่พุ่งอยู่กลางฟ้าพลันหยุดชะงัก ซูหมิงในโลงศพนัยน์ตาฉายแววเย็นชา
‘ผิดปกติจริงๆ กลิ่นอายพลังที่ข้าวางไว้บนหินอวกาศหายไปแล้ว เพิ่งผ่านไปสามวันเอง’ ซูหมิงมีสีหน้ามืดทะมึน โลงศพพลันหลอมละลาย เขาเดินออกมายืนอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว สายตามองไปทางหินอวกาศที่เคยอยู่เมื่อสามวันก่อนด้วยนัยน์ตาวาววับ
“นอกจากไข่มุกโลหิตจำแนกแล้ว พวกเขาน่าจะยังมีวิธีอื่นกำหนดเป้าหมายข้า วิชาลับก่อนหน้านี้สำเร็จได้ อธิบายได้ว่าพวกเขายังไม่ใช้วิธีใหม่นี้ ตอนนี้เวลากระชั้นเข้ามาแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานจะหลีกมิติบิดเบี้ยวเจ็ดวันมาได้ แล้วก็จะเจอข้าทันที” แววตาซูหมิงเย็นชา เขารู้ว่าหากตนถูกกำหนดเป้าหมายอยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นก็จะถูกล่าสังหารไปชั่วนิรันดร์
“ข้าเองก็แปลกใจอยู่เล็กน้อยเช่นกัน วิชาลับไม่ได้หมดฤทธิ์ ว่ากันตามหลักการแล้วไม่น่าจะเกิดข้อผิดพลาดด้วยซ้ำ แต่เหตุใดพวกเขาถึงย่นระยะเวลาของมิติบิดเบี้ยวได้” ชื่อหั่วโหวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสัยดังก้องอยู่ข้างหูซูหมิง
“ที่นี่ห่างจากดาวทมิฬอีกไกลเท่าไร?” ซูหมิงเงียบอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าวเนิบช้า ตลอดทางนี้นอกจากรักษาตัวแล้วก็เร่งเดินทาง เป้าหมายคือมุ่งหน้าไปดาวทมิฬ
มีแต่ออกจากที่นี่เข้าสู่ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตเท่านั้น ถึงจะหลุดพ้นจากอำนาจสี่ของมหาโลกแท้จริง ไม่ถูกล่าฆ่าหัวโดยไม่หยุดหย่อนเช่นนี้อีก
“ข้าช่วยเจ้าเคลื่อนย้ายได้อีกสองครั้ง แต่ก็แค่สองครั้งเท่านั้น ต้องรออีกร้อยปีข้าถึงจะรวมพลังช่วยเจ้าเคลื่อนย้ายได้อีกครั้ง ทว่าต่อให้เคลื่อนย้ายก็ยังมีขีดจำกัด ไม่อาจไปถึงดาวทมิฬได้ในเวลาสั้นๆ ตามแผนของข้า หลังข้าเคลื่อนย้ายสองครั้ง เจ้าต้องบินต่อไปอีกเจ็ดสิบกว่าปีถึงจะไปถึง” ชื่อหั่วโหวกล่าวเสียงต่ำ
ซูหมิงขมวดคิ้ว สายตามองไปรอบๆ
“ต้องหาว่านอกจากไข่มุกโลหิตจำแนกแล้ว พวกเขาใช้วิธีใดหาข้าเจอ”
……….
ยามนี้ กลางฟ้ากระจ่างดาวที่ค่อนข้างห่างจากซูหมิง มีกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์เก้าเล่มกำลังทะลวงผ่านฟ้า ตรงหน้ากระบี่โบราณเก้าเล่มมีภาพเงาสะท้อนอยู่
ในเงาสะท้อนมีวงกลมสีโลหิตวงหนึ่งคล้ายกับวงแหวนอาคม หากวงแหวนอาคมนี้ขยายใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่า จะเห็นชัดว่าเส้นโครงสร้างรวมขึ้นจากอักขระเหลือคณานับที่แน่นขนัด
วงแหวนอาคมนี้จะขยับแสงวูบวาบทุกเจ็ดลมหายใจ ทุกครั้งในวงแหวนจะปรากฏจุดสีขาวจำนวนมาก จุดเหล่านี้บ้างกระจาย บ้างรวมกัน อยู่ในทุกจุดของวงแหวนอาคม
นอกจากจุดสีขาวแล้ว ยังมีจุดสีแดงฉานที่เด่นชัดอย่างยิ่ง เมื่อครู่จุดนี้กำลังเคลื่อนตัวอย่างเร็วรี่อยู่ ทว่าตอนนี้กลับหยุดนิ่งแล้ว
“หึ สี่มหาโลกแท้จริงร่วมกันตัดสินใจเปิดยอดอาคมผนึกจิตเพื่อสังหารบุคคลผู้นี้ ไม่ว่าใครอยู่ในวงแหวนอาคมก็ไม่มีทางหนีรอด”
“ทว่าโม่ซูก็ไม่ธรรมดา ไม่อยากเชื่อว่าจะเชี่ยวชาญการใช้อาคมบิดมิติ ให้พวกเราตามมาหลายเดือนและมักจะช้าไปเจ็ดวันเสมอ หากไม่เปิดยอดอาคมผนึกจิตคงจะลำบากไม่น้อย”
บนกระบี่ยักษ์เก้าเล่มมีผู้รักษาการณ์ยืนอยู่จำนวนมาก สายตาต่างมองจุดสีแดงบนเงาสะท้อนมายา
“อีกวันเดียวก็จะหลุดจากอาคมมิติบิดเบี้ยว ถึงตอนนั้นโม่ซูจะหนีไม่รอด ดูจากทิศทางเขาแล้วน่าจะไปดาวทมิฬ ทว่าที่นี่ห่างจากดาวทมิฬไกลยิ่งนัก ต้องใช้เวลาถึงสองร้อยปี เขาไม่น่าจะมีชีวิตถึงสองร้อยปีหรอก”
ผู้รักษาการณ์เหล่านี้สื่อสารกัน กระบี่โบราณเก้าเล่มทะลวงผ่านฟ้ามุ่งหน้าไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
………..
“ใช้วิธีใดกันแน่!” สายรุ้งจากโลงศพสีโลหิตเส้นหนึ่งห้อเหยียดอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในนั้น สีหน้าทะมึนทึบ ตรึกตรองไม่หยุด วิเคราะห์คาดเดาอย่างต่อเนื่องราวกับสาวเส้นไหม
“น่าเสียดาย ตอนข้าถูกผนึกและเสียจิตสำนึก สงครามมาถึงเพียงตอนจบ ข้าไม่รู้ว่าหลายปีมานี้สี่มหาโลกแท้จริงจัดการอะไรเอาไว้บ้าง ต่อให้ข้าสูบความทรงจำของจิงหนานจื่อมาก็เข้าใจเพียงคร่าวๆ ไม่รู้โดยละเอียด ถึงอย่างไรจากฐานะของจิงหนานจื่อก็ไม่มีทางรู้ความลับสำคัญได้” ชื่อหั่วโหวกำลังขบคิดถึงปัญหาข้อนี้เหมือนกัน ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ
“ช่างเถอะ เหลือการเคลื่อนย้ายไว้อีกครั้ง ต้องรอเจ้าใกล้ถึงดาวทมิฬก่อนค่อยใช้ ตอนนี้พวกเขาน่าจะเดาทิศทางเจ้าออกแล้ว จะต้องปิดผนึกนอกดาวทมิฬแน่ ข้าจะใช้การเคลื่อนย้ายพาเจ้าข้ามผ่านเข้าไปยังดาวทมิฬ
นอกจากต้องเหลือพลังสำหรับการเคลื่อนย้ายตอนนั้นแล้ว ยังมีโอกาสเคลื่อนย้ายอีกครั้งหนึ่ง ข้าช่วยให้เจ้าหลุดจากการล่าสังหารได้ชั่วคราว” ชื่อหั่วโหวกล่าวเสียงต่ำ
“ไม่มีประโยชน์ ต่อให้เคลื่อนย้ายไปไกลกว่านี้อีก แต่หากไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีใดรู้ตำแหน่งข้านอกจากไข่มุกโลหิต ก็ช่วยยืดเวลาไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วจะถูกตามทันอยู่ดี” ซูหมิงส่ายศีรษะ เวลาผ่านไปช้าๆ ความรู้สึกถึงภยันตรายผุดขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ซูหมิงมั่นใจว่าสองสามวันนี้ตนจะต้องเผชิญหน้ากับการล่าสังหารครั้งใหญ่อีกครั้ง ครั้นนึกถึงปราณกระบี่ที่ทำลายล้างดาวสมบัติสวรรค์ ดวงตาสองข้างจ้องเพ่ง เขาไม่มีทางรับพลังนั้นไหว ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ถึงร่างกายเขาจะแกร่ง แต่ก็คงแหลกสลายไปอย่างแน่นอน
“มันคืออะไรกันแน่…..” ซูหมิงพึมพำพลางเงยหน้ามองฟ้าดาราไร้ที่สิ้นสุดด้านบน ทุกครั้งที่มองแบบนี้เขาจะเกิดความรู้สึกว่าตนอ่อนแออย่างยิ่งในความกว้างใหญ่
ผ่านไปนาน ซูหมิงลอบถอนหายใจ ขณะกำลังจะก้มหน้าลงกลับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แล้วพลันยืนขึ้นจ้องฟ้าข้างบนเขม็ง
“หรือว่าจะมีดวงตาข้างหนึ่งมองอยู่ทุกจุดในฟ้ากระจ่างดาวคล้ายกำลังเฝ้ามองอยู่ ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้นดวงตาของมัน” ซูหมิงกล่าวกับตัวเองเบาๆ
“อืม? มีดวงตาหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่เจ้าพูดแบบนี้ข้าก็นึกออกแล้ว มีวงแหวนอาคมใหญ่อยู่จำนวนหนึ่งสามารถปกคลุมฟ้ากระจ่างดาวได้หนึ่งทิศ และทำแบบที่เจ้าบอกได้ สิ่งมีชีวิตในวงแหวนอาคมนี้จะถูกมันจ้องมอง”
ข้างกายซูหมิงปรากฏร่างชื่อหั่วโหวหัวล้านขึ้น เขาเงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้านึกออกแล้ว ตอนแรกจิงหนานจื่อเคยใช้กลอุบายผนึกชนิดหนึ่ง ตอนนั้นกลิ่นอายพลังมหาศาล กระทั่งข้ายังรู้สึกว่ามีพลังจากฟ้ามาเสริมผนึกตามความต้องการของจิงหนานจื่อ” ซูหมิงดวงตาแวววาวเปล่งประกาย
“วงแหวนอาคม ทั้งฟ้ากระจ่างดาวมีวงแหวนอาคมที่ใหญ่ยักษ์อยู่ชนิดหนึ่ง มันจับตาดูฟ้ากระจ่างดาวหนึ่งทิศ เห็นทุกมุมว่าเกิดเรื่องใดขึ้น” ชื่อหั่วโหวใจสั่นสะท้านและกล่าวขึ้นทันที
“เช่นนั้นจะต้องเป็นเพราะวงแหวนอาคมนี้แน่ มีเพียงกลอุบายนี้เท่านั้นถึงจะเลี่ยงการบิดมิติและหลบหมอกหนาทึบเจ็ดวันได้ เพราะวงแหวนอาคมนี้หาข้าเจอและกำหนดเป้ามาที่ข้าได้ในพริบตา” ซูหมิงจ้องฟ้าด้านบนเขม็ง นัยน์ตาเริ่มฉายแววคลุ้มคลั่ง
“เจ้าขนร่วง!” ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ กระรียนขนร่วงบินออกมาจากถุงเก็บวัตถุทันที หลังออกมาแล้วก็ถลึงตามองชื่อหั่วโหวด้วยความเหี้ยมโหด มันไม่กล้าล่วงเกินซูหมิง ทว่าส่วนลึกในใจคิดว่าตนรังแกชายหัวล้านคนนี้ได้
“เจ้าทำลายวงแหวนอาคมที่สังเกตการณ์ฟ้าหนึ่งทิศนี้ได้หรือไม่?” ซูหมิงมองกระเรียนขนร่วงพลางกล่าวขึ้น
กระเรียนขนร่วงตะลึงงัน พอมองไปรอบๆ แล้วก็เงยหน้ามองฟ้ากระจ่างดาว ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างไม่ลังเล
“ไม่ได้ๆ วงแหวนอาคมนี้….”
มันยังกล่าวไม่จบ ซูหมิงก็โยนถุงให้ใบหนึ่ง กระเรียนขนร่วงคว้าเอาไว้แล้วเปิดดู ดวงตาเปล่งประกายโดยพลัน
“หากทำลายผนึกนี้ ข้าจะให้เจ้าทั้งหมด” ซูหมิงกล่าวอย่างเด็ดขาด
“ได้ๆ ย่ากระเรียนมันเถอะ ข้าต้องใช้พลังทั้งหมดจัดการมันให้ได้ ทุ่มสุดแรง!” กระเรียนขนร่วงตัวสั่น ร้องเสียงเล็กด้วยความตื่นเต้น