ตอนที่ 811 บรรพบุรุษตระกูลจ้าว
‘มีการป้องกันอย่างหนาแน่น รักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริงก็ดี ผู้ล่าสังหารพวกนั้นก็ดี ทุกคนล้วนจะสังหารข้า!’ ซูหมิงกระโดดลอยขึ้นจากหินชำรุด เส้นสีแดงฉานวนเวียนรอบตัวแล้วกลายเป็นโลงศพห้อเหยียดกลางฟ้ากระจ่างดาว
ซูหมิงเก็บกระเรียนขนร่วงไปแล้ว ชื่อหั่วโหวก็กลายเป็นรูปสัญลักษณ์บนโลงศพ พริบตาเดียวโลงศพนี้ก็บินไกลออกไป
โลงศพสีแดงฉานนี้รวดเร็วอย่างยิ่ง ทว่าวินาทีที่มันบินไกลออกไป เขตดาราบริเวณนี้พลันเกิดเสียงโครม ปรากฏระลอกคลื่นสีฟ้าเข้มขึ้นและแผ่ขยายออกอย่างเร็วรี่ เสี้ยววินาทีเดียวก็ปกคลุมในระยะหนึ่งแสนจั้ง ไล่ตามโลงศพสีแดงฉานไป
ระลอกคลื่นสีฟ้าเข้มขยายออกเป็นวงกว้าง กลายเป็นหมอกขมุกขมัวล้อมรอบ ขณะเดียวกันบริเวณขอบระยะแสนจั้ง โลงศพของซูหมิงราวกับเข้าไปอยู่ดินโคลน ความเร็วจึงช้าลงมากกว่าครึ่ง
“จุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลาง อีกก้าวเดียวก็จะบรรลุถึงตอนปลายแล้ว มาเร็วจริงๆ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา ระหว่างพวกเจ้ามันต่างกันเกินไป ผู้แข็งแกร่งระดับนี้หากไม่ใช่เพราะแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตขาดแคลนพลังแห่งโลก เขาคงจะบรรลุถึงเจ้าปกครองโลกตอนปลายได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าอยู่เขตดาราใดจะเป็นผู้ปกครองดินแดนนั้นๆ!” เสียงชื่อหั่วโหวดังสู่จิตใจซูหมิงอย่างรวดเร็วและร้อนรน
แทบเป็นช่วงที่เขากล่าว มีเสียงเย็นชาดังกังวานมาจากในหมอกสีฟ้าเข้มข้นในระยะแสนจั้ง เพียงแต่ว่าเสียงหึเย็นชานี้ทำให้เขตดาราเกิดเสียงระเบิดและเกิดรอยร้าวขึ้น มินำซ้ำโลงศพสีแดงยังสั่นสะเทือนจนเกิดรอยแตก
โครม
โลงศพแตกกระจายแล้วม้วนกระเด็นไป เผยเป็นซูหมิงภายในห้อเหยียดเดินหน้าต่อ เศษเหล่านั้นรวมกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นทวนยาวสีแดง ก่อนหายวับไปในตัวซูหมิง
ตรงมุมปากซูหมิงมีโลหิตไหล การโจมตีไร้รูปเมื่อครู่นี้ไม่เพียงทำลายโลงศพ แต่ยังมีแรงมหาศาลเกิดขึ้นทั้งในและนอกตัวเขา ก่อนระเบิดพร้อมกันสร้างอาการบาดเจ็บให้เขาทันที
เหมือนกับว่าเสียงหึเย็นชานั้นสร้างเป็นเสียงสั่นสะเทือนร่วมกัน ทั้งไม่ให้ตนป้องกันและทำให้ในร่างกายบาดเจ็บหนัก
นอกจากนี้ซูหมิงยังรู้สึกอย่างชัดเจนว่าหากไม่ใช่เพราะร่างกายตนเป็นเจ้าปกครองโลกที่แกร่งกว่าเมื่อก่อนไม่น้อยแล้วล่ะก็ หากเป็นเขาก่อนจะเป็นเจ้าปกครองโลก ร่างกายคงจะแหลกไปพร้อมๆ กับโลงศพด้วยเสียงหึเย็นชา
แข็งแกร่ง แข็งแกร่งเกินกว่าจิงหนานจื่อ แกร่งเกินกว่าผู้รักษาการณ์เก้าคนที่เจอบนดาวสมบัติสวรรค์ นี่คือศัตรูที่แกร่งที่สุดระหว่างที่เขาหนีการล่าสังหาร
‘ข้าเจอเจ้าปกครองโลกมาบ้าง แต่ไม่มีคนใดใช้เพียงเสียงหึเย็นชาทำให้ข้าบาดเจ็บสาหัส นี่คือพลังของจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลางอย่างนั้นหรือ….ผู้ฝึกฌานต่ำกว่าเจ้าปกครองโลกจะถูกกำราบอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ฝึกฌานฟ้าดินมนุษย์สามระดับไม่มีพลังโจมตีสวนกลับแม้แต่น้อย ความต่างมันเหมือนกับเด็กทารกกับชายร่างกำยำ
ต่อให้เป็นเจ้าปกครองโลกเหมือนกัน ทว่าหากเป็นเพียงเจ้าปกครองโลกตอนต้น หากเจอบุคคลนี้อย่าว่าแต่สู้เลย แค่หนีก็มีโอกาสตายสูงมากแล้ว’ ซูหมิงเช็ดโลหิตตรงมุมปากโดยไม่สนสิ่งใด เขาไม่แปลกใจกับการมาของบุคคลนี้มากนัก ก่อนหน้านี้ก็คาดการณ์เอาไว้แล้ว วินาทีที่วงแหวนอาคมผนึกจิตหายไป ก็ถึงช่วงเวลาที่ผู้รักษาการณ์กับผู้ล่าสังหารจะปรากฏตัวขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าใครมาล้วนไม่มีความต่าง มิหนำซ้ำหลังผ่านเรื่องราวก่อนหน้านี้มาแล้ว ศัตรูที่มาล่าสังหารเขาในครั้งนี้แกร่งกว่าเมื่อก่อนขึ้นมาก
‘หากวงแหวนอาคมผนึกจิตยังอยู่ บางทีข้าอาจใช้พลังจากวงแหวนอาคมพอรับมือกับเขาได้ ทว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ก่อนกระทืบเท้าขวาอย่างแรงทีหนึ่ง ฉับพลันนั้นเกิดระลอกคลื่นสีทองอ่อนใต้เท้าแล้วขยายออก พริบตาเดียวก็ปกคลุมในระยะห้าพันจั้ง กลิ่นอายพลังแห่งโลกในร่างกายปะทุออกมาทั้งหมด
“เป็นแสงหิ่งห้อยแต่กลับกล้าประชันแสงกับจันทรา” เสียงเย็นเยียบกึกก้องโดยรอบ หมอกในระยะแสนจั้งพลันม้วนตลบ แล้วรวมขึ้นเป็นใบหน้าขนาดแสนจั้ง
ใบหน้านี้ดูผ่านโลกมานาน เป็นชายชราคนหนึ่ง บริเวณที่มีหมอกระลอกคลื่นสีฟ้าเข้มคือทั้งใบหน้า มองไกลๆ ใบหน้าแสนจั้งแผ่เต็มฟ้ากระจ่างดาว ภาพนี้น่าตะลึงอย่างยิ่ง นี่ก็คือพลังของจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลาง!
เสียงเขาสั่นสะเทือนฟ้ากระจ่างดาว จุดที่ซูหมิงอยู่คือใกล้กับระหว่างคิ้วบนใบหน้าและกำลังบินไปอย่างรวดเร็ว
“สังหารรุ่นเยาว์อย่างเจ้าแล้ว ตระกูลจ้าวของข้าก็จะได้รับดาวแท้จริงที่มีต้นกำเนิดโลก ถึงข้าจ้าวเทียนกังจะไม่อยากฟังคำสั่งสี่มหาโลกแท้จริงก็ตาม แต่เพื่อคนในตระกูลแล้ว ก็มีแต่ต้องลงมือกับเจ้าเท่านั้น…….หลังเจ้าตายไปแล้วหากจะโทษ ก็จงโทษที่เจ้าไม่แกร่งพอเถอะ” วินาทีที่เสียงอื้ออึงสั่นสะเทือนฟ้ากระจ่างดาว ดวงตาบนใบหน้ายักษ์ในระยะแสนจั้งพลันขยับประกายวาว
“ถูกสี่มหาโลกแท้จริงประกาศจับนั้นข้านับถือ ข้าจะให้เจ้าตายด้วยอภินิหารแก่กล้าของข้า ถือว่าเจ้าจะได้ตายอย่างสมเกียรติ!”
“สาม!” วินาทีที่จ้าวเทียนกังเอ่ยคำนี้ ซูหมิงใจสั่นสะท้านโดยพลัน ในระยะพลังแห่งโลกห้าพันจั้งของเขาพังลง
“ข้าจะใช้การเคลื่อนย้ายพริบตา เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา หากไม่เคลื่อนย้ายเจ้าตายแน่!” ชื่อหั่วโหวกล่าวในจิตใจซูหมิงด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“รอก่อน ข้าอยากรู้ว่าข้ากับจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลางต่างกันมากเพียงใด” นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย แล้วกล่าวผ่านจิตใจทันที
“เจ้า……เจ้าบ้าไปแล้วรึ ข้าบอกเจ้าได้ว่าความต่างของพวกเจ้าคือฟ้ากับดิน ตอนนี้เจ้าเป็นมดปลวกต่อหน้าเขา! คนนี้ไม่เพียงเป็นจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลาง ฟังจากคำพูดเขาแล้วยังเป็นบรรพบุรุษของตระกูลหนึ่งด้วย คนแบบนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ต่อให้เป็นรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริงธรรมดายังไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ” ชื่อหั่วโหวตะโกนด้วยความโกรธ ก่อนจะใช้การเคลื่อนย้ายพริบตาพาซูหมิงไปโดยไม่ฟังคำสั่งเป็นครั้งแรก
ซูหมิงอยู่ในระยะสีทองห้าพันจั้งซึ่งตอนนี้กำลังพังลงอย่างรวดเร็ว เสี้ยววินาทีเดียวก็พังไปแล้วหลายร้อยจั้ง ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็แยกออกเป็นส่วนๆ อย่างน่าประหลาดตามคำว่า’สาม’จากปากจ้าวเทียนกัง
“ต่อให้ห่างกันราวฟ้าดิน ต่อให้เป็นมด ทว่ามดก็กล้ามองฟ้าตาเขม็งด้วยความโกรธ และมดก็ใช่ว่าจะสู้และหนีไม่ได้!
ขอเพียงระดับความต่างไม่ได้สังหารข้าในพริบตา ข้าจะต้องลงมือได้แน่ ถึงจะอ่อนแอแต่ก็ต้องแสดงความแกร่ง ถึงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้แต่ก็ต้องไม่ยอมแพ้!
หากไม่สู้ ความรู้สึกข้าจะไม่เด่นชัด หากไม่สู้ ข้าจะไม่บรรลุถึงเป้าหมาย หากไม่สู้ ข้าจะใช้ความรู้สึกใดฝึกฝนภัยพิบัติตะวัน!” พลังแห่งโลกสีทองอ่อนรอบๆ ซูหมิงในระยะหลายร้อยจั้งพังลงจนเหลือเพียงหลายสิบจั้ง ทว่าเสียงเขาดังก้องในใจชื่อหั่วโหว ทำให้ชื่อหั่วโหวหยุดชะงักการใช้วิชาเคลื่อนย้ายพริบตา
เขาเหมือนรู้จักซูหมิงเป็นครั้งแรก ในใจดังกังวานไปด้วยคำพูดของอีกฝ่าย ทุกคำพูด ทุกประโยค ล้วนแฝงไว้ด้วยความยึดมั่นที่สั่นสะเทือนจิตใจเขา
“หากไม่สู้ จะใช้ความรู้สึกใดฝึกฝนภัยพิบัติตะวัน…” ซูหมิงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ด้านหลังมีร่างเงาปรากฏขึ้น มันคือเทวรูปหมาน
“เทพหมานฟ้าดินมนุษย์สามรกร้าง คนรกร้าง!” นัยน์ตาซูหมิงเปล่งประกายก่อนสะบัดแขนเสื้อ เทวรูปหมานด้านหลังพลันยกสองมือขึ้น ครั้นประกบมือแล้วก็เปิดไปทางฟ้ากระจ่างดาว
“ดินรกร้าง!” ตอนนี้พื้นที่สีทองอ่อนหลายสิบจั้งรอบๆ ตัวเขาพังลง ทันทีที่มันพังลง เทวรูปหมานด้านหลังก็ยกเท้าขวาขึ้นและเหยียบลง
“ฟ้ารกร้าง!”
โครม!
ยามนี้เทวรูปหมานเปล่งแสงสีทองอ่อนไม่มีสิ้นสุด ขณะเดียวกับที่แสงสว่างปกคลุมร่างมัน ขาขวาเทวรูปหมานเหยียบลงพื้นแล้ว จากนั้นตัวมันพองบวมขึ้นอีกครั้ง เสี้ยววินาทีเดียวก็ขยายไปหมื่นจั้ง จากนั้นก็…..ล้มลงไปข้างหน้า!
วิชาแห่งเทพหมาน ด้วยขั้นพลังของซูหมิงตอนนี้และผสานรวมกับพลังแห่งโลก คนรกร้างเป็นการคารวะ คารวะนภา ดินรกร้างเป็นการเหยียบ เหยียบพื้นดินว่างเปล่า ส่วนฟ้ารกร้างคือการพังทลาย ฟ้าพังทลายโลก
ร่างกายเทวรูปหมานก็คือฟ้า ตอนนี้ร่างกายมันล้มลง ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว นี่ก็คือ…..ฟ้าพังทลาย!
โครม โครม โครม!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวกึกก้องไปโดยรอบ ช่วงที่เทวรูปหมานล้มลง ก็มีเสียงจากจ้าวเทียนกังแว่วมาอย่างเย็นชา
“บุปผา!”
เทวรูปหมานพังพินาศลงราวกับฟ้าถล่ม มีพลังทำลายล้างระเบิดออก ทำให้ฟ้ายังไม่ทันร่วงลงมาก็ระเบิดออกเอง หลังจากเทวรูปหมานพังลง ซูหมิงกระอักโลหิต ระหว่างที่ร่างกระเด็นถอยไปนั้น เขาเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ยกสองมือขึ้นทำสัญลักษณ์มือแล้วสะบัดไปข้างหลัง ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างเงามายาขึ้นเจ็ดร่างด้านหลัง
ร่างเงามายาเจ็ดร่างนี้สวมเสื้อคลุมยาวสีดำ มองเห็นหน้าตาไม่ชัด แต่กลับมีกลิ่นอายมรณะเข้มข้นถึงขีดสุดแผ่กระจายไปทั่วฟ้ากระจ่างดาว
“ผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลก!”
“อักษรและพื้นดินเป็นหลุมศพ!” จังหวะเดียวกับที่ปรากฏร่างเงามายาเจ็ดร่าง พวกมันก็คารวะฟ้ากระจ่างดาวพร้อมกัน ร่างกายซูหมิงพลันเลือนราง แล้วปรากฏหลุมศพโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง บนป้ายหลุมศพกำลังร่างเป็นใบหน้าของจ้าวเทียนกังอย่างรวดเร็ว
“ทำลาย” ใบหน้าแสนจั้งเอ่ยเสียงของจ้าวเทียนกัง
โครม! ร่างเงาเจ็ดร่างแหลกสลายไปทั้งหมด หลุมศพเดียวดายยังระเบิดในทันที ป้ายหลุมศพ……ไม่อาจวาดรูปลักษณ์ของจ้าวเทียนกัง
มิหนำซ้ำทั่วร่างซูหมิงยังเกิดเสียงระเบิด เลือดเนื้อแหลกเป็นเสี่ยงๆ เขากระอักโลหิต ร่างกายบาดเจ็บสาหัส แต่นัยน์ตากลับไม่มีการนึกเสียใจภายหลัง และยังเปล่งประกายอย่างถึงที่สุด
เขาแพ้แล้ว นี่คือการต่อสู้ที่ต้องแพ้ แต่เขาก็สู้!
เขากล้าสู้ รู้ทั้งรู้ว่าต้องแพ้แต่ก็จะสู้ แต่ก็จะแสดงความแกร่ง นี่คือความยึดมั่น เป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งต้องมี กระทั่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดที่อยู่เหนือกว่าปัญญากับโชควาสนา
“ชื่อหั่วโหว เคลื่อนย้าย ไป!” ซูหมิงเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากพลางกล่าวในใจ
“โลก!” นี่คือคำสุดท้ายของจ้าวเทียนกัง และก็เป็นรูปแบบสมบูรณ์ของอภินิหารสามบุปผาทำลายโลก สิ้นเสียงคำนี้ ซูหมิงที่ทั่วร่างอาบด้วยโลหิตและกำลังกระเด็นถอยไปไกลพลันปรากฏร่างชื่อหั่วโหวข้างกาย
ชื่อหั่วโหวหรือชายหัวโล้นสะบัดแขนเสื้อ พลันเกิดเสียงครึกโครมดังสนั่นและมีระลอกคลื่นกระจายออกอย่างรุนแรง มิหนำซ้ำยังมีสัญลักษณ์มังกรบินลอยขึ้นมา ก่อนระเบิดออกท่ามกลางเสียงโครมครามดังต่อเนื่อง ทว่าหลังจากที่มันระเบิด ชื่อหั่วโหวได้ใช้พลังแห่งชีวิตพาซูหมิงเคลื่อนย้ายพริบตาไปแล้ว
แทบเป็นช่วงที่ชื่อหั่วโหวใช้วิชาเคลื่อนย้ายพริบตา เขตฟ้ากระจ่างดาวบริเวณนี้พลันพังพินาศลง เกิดเสียงระเบิดดังกังวานไปรอบๆ จนกระทั่งเมื่อค่อยๆ เงียบลงแล้ว ใบหน้าแสนจั้งหายไป สิ่งที่ปรากฏอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวคือชายชราเสื้อคลุมม่วง
ชายชราคนนี้มีสีหน้าทะมึน มองตรงจุดที่ชื่อหั่วโหวพาซูหมิงจากไป
“รู้ว่าต้องแพ้แต่ก็ยังกล้าสู้กับข้า เด็กคนนี้…..เป็นคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่ และก็เป็นคนบ้าคนหนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม……การต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการให้ขั้นพลังตัวเองพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้ตระหนักรู้
ความต่างระหว่างข้ากับเขาเหมือนกับข้ากับเจ้าปกครองโลกตอนปลาย หากข้าเจอเจ้าปกครองโลกตอนปลาย ข้าจะ……กล้าสู้ด้วยหรือไม่?” จ้าวเทียนกังเงียบ
“หากหมื่นปีเขายังไม่ตาย จะต้องเป็นภัยอันใหญ่หลวงแน่ๆ”