Skip to content

สู่วิถีอสุรา 833

ตอนที่ 833 ร่างแยกเอ้อชาง 5

ขณะเดียวกัน ท่ามกลางเสียงครึกโครมในฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่ง ผู้ฝึกฌานที่รับการทดสอบในฟ้าทั้งเก้าสิบเจ็ดแห่งต่างพากันตื่นตระหนก ร่างกายถูกบีบออกจากผืนฟ้าโดยไร้การควบคุม ตอนที่ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาถูกบีบให้เคลื่อนย้ายกลับไปยังจุดที่มีแผ่นศิลาแสนอัน

เมื่อพวกเขาปรากฏตัวพร้อมกันแล้วก็ต่างมีสีหน้าหวาดกลัวและเหลือเชื่อ คนที่อยู่ในโลกแผ่นศิลาทั้งหนึ่งแสนอันต่างพากันมองไป

เก้าสิบเจ็ดคนล้มเหลวพร้อมกัน และกลับมาพร้อมกัน แผ่นศิลาพวกเขาขยับแสงวิบวับในเวลาเดียวกัน และหดเล็กลงพร้อมกัน….สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในกาลเวลาไม่รู้กี่ปี!

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น คนเหล่านี้…เหตุใดถึงออกมาพร้อมกัน!”

“แผ่นศิลาเก้าสิบเจ็ดคนจากสูงเกือบแสนจั้งเหลือหลายพันจั้งพร้อมกัน นี่…..นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

เสียงอื้ออึงดังแว่วมาจากคนอื่นๆ พร้อมกัน ผู้รับการทดสอบที่ถูกบีบออกมาเก้าสิบเจ็ดคนนั้นต่างหน้าซีดขาว พวกเขามองกันไปมาอย่างเงียบๆ และต่างก็เห็นความตื่นตะลึงและหวาดกลัวในแววตากัน

“ไม่ถูกต้อง มีแผ่นศิลาอันหนึ่งยังเกือบแสนจั้งอยู่ ขะ….เขายังไม่ปรากฏตัว!”

“อืม?” เมื่อเสียงดังแว่วไป ทันใดนั้น กระทั่งเก้าสิบเจ็ดคนนั้น รวมถึงทุกสายตาล้วนเพ่งมองแผ่นศิลาของซูหมิง

เสียงอื้ออึงพลันเงียบงัน ในสายตาของทุกคนสะท้อนเป็นนามบนแผ่นศิลา

โม่ซู

ภายในเส้นใยสีทอง ใบหน้าที่รวมจากครึ่งหนึ่งที่เขายึดครองตอนนี้เกิดเสียงดังกังวานไปรอบๆ พร้อมด้วยความยึดมั่น

“ที่สำคัญที่สุดคือ…เจ้ากลั่นแกล้งข้ายังไม่เท่าไร แต่เจ้าไม่ควรให้ส่งผลกระทบถึงคนข้างกายข้า ข้าจะต่อต้านเจ้า เพราะว่า…ข้าจะปกป้องญาติพี่น้องของข้า จะปกป้องคนที่มีบุญคุณกับข้าทุกคน ข้าจะปกป้องพวกเขา นี่คือปณิธานเพียงหนึ่งเดียวที่ค้ำยันข้าและให้ข้าเดินต่อไปในชีวิต!

ปกป้อง!

นี่คือเหตุผลเดียวที่จนถึงตอนนี้ข้ายังมีความกล้าที่จะมีชีวิตรอด! ข้าต้องแกร่งขึ้น ข้าต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล เพราะข้าไม่อยากเห็นคนที่มีบุญคุณกับข้าร้องไห้อีก ไม่อยากเห็นพวกเขาตาย ข้าจะปกป้องทุกอย่าง พวกเขา…..ล้ำค่าที่สุดในชีวิต เป็นชีวิตของข้า” วิญญาณซูหมิงปล่อยระลอกคลื่นถึงขีดสุด นี่คือเสียงคำรามของเขา นี่คือเสียงตะโกน และเป็นเสียงคำรามที่ดังที่สุดในการต่อต้านโชคชะตา

โครม!

นอกจากใบหน้าซูหมิงแล้ว ใบหน้าที่รวมจากหมอกดำกลางฟ้ากระจ่างดาวสิบแห่งยังทะลวงผ่านสิ่งกีดขวางทุกอย่างมาอยู่นอกต้นไม้ใหญ่สีทอง ประทับตราลงบนต้นไม้ในพริบตา จากนั้นทะลวงผ่านลำต้นเข้าไปในอยู่กลางเส้นใยสีทองของต้นไม้ทุกต้น

พริบตาเดียว เส้นใยสีทองในต้นไม้ใหญ่แสนต้นเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว

“ตอนนั้นข้าเผาผลาญชีวิตเพื่อเขาทมิฬและท่านปู่ ยอมกินสมุนไพรเพื่อให้ตัวเองแกร่งขึ้นโดยไม่สนสิ่งใดเพื่อเปิดประตูบานนั้น นั่นเป็นเพราะข้าสนใจชนเผ่า อยากปกป้องชนเผ่า!” เสียงซูหมิงดังก้อง เส้นใยในต้นไม้ใหญ่แสนต้นถูกใบหน้าหมอกดำจากซูหมิงเขมือบเข้าไป

“ข้าอ้างว้างมาชั่วชีวิต เดินทางมาตลอดเพื่อตามหาท่านปู่ ข้าอยากปกป้องเขา ข้าอยากให้เขายิ้มอย่างมีความสุข ให้เขาเห็นลาซูน้อยของเขาเติบใหญ่และยืนปกป้องอยู่ตรงหน้าได้” ใบหน้าแสนใบหน้าร้องคำราม เข้ายึดครองในพริบตา ในที่สุด ครึ่งหนึ่งในเส้นใยต้นไม้ใหญ่แสนต้นก็กลายเป็นของเขา!

“ข้ากลายเป็นเทพหมาน แบกรับโชคชะตาของเผ่าหมาน แม้ข้าจะไม่ใช่เผ่าหมาน ทว่าศิษย์พี่ของข้าเป็น อาจารย์ของข้าเป็น สหายของข้าเป็น ข้าหยุดต่อสู้ดิ้นรนได้เพื่อพวกเขา ขอเพียงพวกเขา….มีความสุข ข้าจะเป็นเทพหมานและทำให้เผ่าหมานกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง”

หลังจากเส้นใยแสนแห่งในต้นไม้ใหญ่แสนต้นมีครึ่งหนึ่งกลายเป็นของซูหมิงแล้ว ภายใต้เสียงคำรามต่ำของเขา เส้นใยต้นไม้แสนต้นลุกลามออกไปพร้อมกัน!

การลุกลามเร็วขึ้นเรื่อยๆ ดวงจิตของเอ้อชางกำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง พยายามจะพุ่งออกจากผนึกที่กระเรียนขนร่วงใช้เอาไว้ก่อนหมดสติ นี่คือผนึกที่กระเรียนขนร่วงเผาผลาญวิญญาณเพื่อสำแดง มีพลานุภาพที่แม้แต่เอ้อชางยังต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยถึงจะออกไปได้

“ข้ามาถึงแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตก็เพราะจะปกป้องยอดเขาลำดับเก้าเช่นกัน ข้าไม่อยากเห็นพวกเขาร้องไห้ ไม่อยากเห็นศิษย์พี่ตาย ข้ายอมสละชีวิตตัวเองได้ ข้าไม่มีความรู้สึก ไม่มีความเจ็บปวดได้ มายังแดนแปลกตาได้ ขอเพียงพวกเขามีชีวิตรอดข้าก็มีความสุขแล้ว

นี่คือความยึดมั่นในใจข้า มันคือความยึดมั่นแน่วแน่ เพื่อความยึดมั่นแน่วแน่นี้ ถึงสุดท้ายจะเกิดทะเลโลหิตมหาศาล ถึงสองมือข้าต้องมีกลิ่นคาวเลือดแล้วมันอย่างไร!

ข้าจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!” เสียงซูหมิงดังกึกก้อง การยึดครองเส้นใยต้นไม้ใหญ่แสนต้นจากห้าสิบขึ้นไปห้าสิบหก!

ดูเหมือนเพิ่มมาหกสิบส่วน ทว่าความจริงไม่ได้คำนวณง่ายขนาดนั้น เพราะไม่ใช่ห้าสิบหกส่วนร้อยของต้นไม้ต้นเดียว แต่เป็นของต้นไม้ใหญ่แสนต้น!

โครม!

ผนึกที่กระเรียนขนร่วงใช้ก่อนหมดสติถูกเอ้อชางทำลายแล้ว ครั้นดวงจิตเอ้อชางขยายมาจากภายในอย่างรวดเร็ว เสียงคำรามด้วยความโกรธของมันก็ดังสนั่นอยู่ในโลกเส้นใยนี้

“ต่อให้มีกฏของซุ่ยเฉินจื่อปกป้องเจ้าอยู่ เจ้าก็ไม่มีทางยึดร่างข้าสำเร็จอย่างแน่นอน จงไสหัวไป ไสหัวไปๆ” เอ้อชางโกรธจัด หลายต่อหลายปีมานี้มีคนที่อยากยึดร่างมันไม่น้อย ทว่ามากกว่าครึ่งกลับไม่มีใครยึดร่างมันได้ กระทั่งไม่ใช่ครึ่งหนึ่งธรรมดา แต่เป็นครึ่งหนึ่งของร่างกายทั้งหมด

เรื่องนี้สร้างอำนาจคุกคามต่อมันอย่างรุนแรง หากไม่ใช่เพราะมันต้องจ่ายในราคาที่มันเองยังรับไม่ไหวต่อกฎของซุ่ยเฉินจื่อ มันก็คงจะสังหารซูหมิงในทันที ไม่เหมือนตอนนี้ที่ทำได้เพียงไล่ซูหมิงออกจากร่างตามกฎเท่านั้น

“ออกไป ออกไป ออกไป!” ดวงจิตเอ้อชางชนเข้ากับใบหน้าร่างแปลงจากเส้นใยที่เขายึดครองดังโครมคราม กระทั่งไม่ใช่การชนเพียงจุดเดียว แต่เป็นการชนพร้อมกันในต้นไม้ใหญ่แสนต้น

เสียงครึกโครมดังกังวานไป ตอนนี้ไม่มีการขัดขวางจากกระเรียนขนร่วงแล้ว ซูหมิงจึงรับหน้าเต็มๆ ขณะเดียวกับที่เอ้อชางกล่าวคำว่าออกไป จิตวิญญาณเขาสั่นสะเทือน พลังจากเอ้อชางยากจะต่อต้านจริงๆ ชั่วขณะที่บดขยี้ทุกสิ่งอย่างก็ถูกเปลี่ยนเป็นพลังการย้อนเวลาม้วนร่างวิญญาณซูหมิง จากยึดครองห้าสิบหกส่วนร้อยถอยกลับไปเป็นห้าสิบสามส่วนร้อย!

ใบหน้าแปลงจากซูหมิงเหี้ยมโหด วินาทีนี้วิญญาณเขาปะทุพลังออกมาทั้งหมด มิหนำซ้ำยังเลือกเผาตัวเองอย่างไม่ลังเล!

เหมือนกับที่เขากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เว้นแต่โชคชะตาจะเหยียบย่ำเขา มิเช่นนั้นเขาจะเหยียบโชคชะตาไว้ใต้เท้า ที่นี่ก็เหมือนกัน เว้นแต่อีกฝ่ายจะทำลายล้างเขา ถ้าไม่อย่างนั้นเขาซูหมิงจะต้องยึดร่างให้สำเร็จให้ได้ ถึงต้องตายก็ต้องสำเร็จ!

ซูหมิงเผาวิญญาณ เป็นการต่อต้านดวงจิตของเอ้อชาง

ครืน ครืน ครืน! หลังจากการต่อต้านติดกันหลายครั้ง

พื้นที่ที่ซูหมิงยึดครองลดจากห้าสิบสามเป็นสี่สิบห้าทันที

ทว่าหลังจากถอยมาถึงสี่สิบห้าแล้ว วิญญาณซูหมิงแผดเผาถึงจุดสูงสุด เขาไม่ถอยอีก แต่เข้าปะทะกับดวงจิตเอ้อชางไม่หยุดหย่อน จากสี่สิบห้ากลับมาเป็นสี่สิบหก สี่สิบเจ็ด จนกระทั่งถึงสี่สิบแปด เขาก็ไปต่อไม่ได้อีก ทว่าเอ้อชางก็ทำให้เขาถอยไปไม่ได้เช่นกัน

วิญญาณเขาส่งความเจ็บปวดมา วิญญาณกำลังเสียหายอย่างรวดเร็วและสลายไปขณะแผดเผา แต่ระหว่างนั้น ความบ้าคลั่งของซูหมิงกลับเผยออกมาถึงขีดสุด

“เจ้าผู้ฝึกฌานโง่เขลา เจ้าคิดหรือว่าเผาวิญญาณแล้วจะยึดร่างข้าได้ ข้าไม่ต้องกำราบเจ้าต่อด้วยซ้ำ แค่ขวางไม่ให้เจ้ายึดร่างต่อก็พอ อีกไม่นานเจ้าจะเผาวิญญาณจนตายไปเอง

สิ่งมีชีวิตโง่งม เจ้าแพ้แล้ว เจ้าต้องตายแน่!” ชั่วขณะที่เสียงเอ้อชางดังกังวาน วิญญาณซูหมิงเผาไหม้ไปแล้วมากกว่าครึ่ง ทว่าใบหน้าจากเส้นใยที่ยึดครองมากลับเผยรอยยิ้มพิลึกในตอนนี้

ใบหน้าหนึ่งแสนใบหน้ายิ้มแบบนี้พร้อมกัน ทำให้เอ้อชางอึ้งงัน

ทันใดนั้นเอง เสียงซูหมิงก็ดังแว่วมาพร้อมกันจากต้นไม้ใหญ่เอ้อชางหนึ่งแสนต้นในฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่ง

“ตาแก่จากแดนมรณะหยิน ข้ารู้ว่าเจ้าได้ยินเสียงของข้า กระทั่งทุกอย่างหลังข้ามาถึงแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตก็ยังอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ของเจ้า เจ้าก็เห็นอยู่ว่าตอนนี้ข้ากำลังทำอะไรอยู่

ช่วยข้าต่อต้านดวงจิตของเอ้อชาง หากสำเร็จข้าจะได้รับโชควาสนา แล้วจะช่วยเจ้าตามหาราชาของพวกเจ้าได้! หากเจ้าไม่ลงมือ วิญญาณข้าจะตายไป แต่หากพวกเจ้าอยากจะหาคนแบบข้าในแดนมรณะหยินมาช่วยตามหาราชาอีก ขอบอกว่าเป็นไปไม่ได้!” ช่วงที่ซูหมิงกล่าวเสียงดังกังวาน ในโลกแท้จริงดาราสัจธรรมที่ห่างจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตไปไกลยิ่งนัก ส่วนลึกของน้ำวนมรณะหยินมีเสียงคำรามต่ำด้วยความโกรธแว่วมา

วิญญาณซูหมิงยังคงเผาไหม้ หลังผ่านไปสามลมหายใจ ทันใดนั้นกลางวิญญาณเขาก็ปรากฏกลิ่นอายพลังที่โบราณอย่างยิ่งขึ้น กลิ่นอายพลังนี้ไม่ใช่สายเดียว แต่มีมากถึงสี่สาย

ทันทีที่กลิ่นอายพลังนี้ปรากฏก็กระจายออกมาจากวิญญาณเขา ก่อนรวมเป็นหน้ากากสีดำมายาอันหนึ่ง หน้ากากนี้ก็คือผนึกที่ประทับตราเขาเอาไว้

กลิ่นอายพลังสี่กลุ่มกระจายออก ด้านข้างพลันปรากฏดวงตะวันสี่ดวง

เป็นสีดำ แดง คราม และขาว ให้ความรู้สึกโบราณ ทั้งหมดวนเวียนอยู่รอบๆ หน้ากากอย่างรวดเร็ว แล้วตรงเข้าไปหาดวงจิตของเอ้อชาง

“บัดซบ ในตัวเจ้ายังมีอะไรอีกกันแน่ กระเรียนหัวขโมยทรยศก็อยู่กับเจ้า ทั้งยังมีดวงจิตระดับครึ่งก้าวกุมชะตาคอยปกป้องอีกสี่คน!” หลังจากเอ้อชางตะลึงงัน มันร้องคำรามด้วยความโกรธพร้อมม้วนดวงจิตพุ่งเข้าไป

“ชาวเผ่ายมโลก จำเอาไว้…ช่วยตามหาราชาของพวกเราด้วย พวกเราคือเผ่าน้ำวนหยิน เผ่าศิลาไพศาล และเผ่าเที่ยงธรรมแห่งโลกแท้จริงลำดับที่ห้า!

หากเจ้าไม่ทำตามคำสัญญา พวกข้าจะฆ่าล้างทั้งเผ่าเจ้า!” ดวงจิตสี่ดวงมาพร้อมด้วยความโกรธเกรี้ยวและเย็นชา วนเวียนอยู่รอบหน้ากากขณะขยายออกไปรอบๆ

“พูดพล่ามให้น้อยหน่อย รีบลงมือได้แล้ว!” ซูหมิงแค่นเสียงหึเย็นชา อีกฝ่ายไม่มีทางเลือก การบีบให้พวกเขาลงมือคือขั้นตอนในแผนการยึดร่างเอ้อชาง เขาขบคิดมาสี่ร้อยกว่าปีแล้ว ต่อให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ต่อให้พวกเขาปฏิเสธ ซูหมิงก็ยังมีวิธีบีบให้พวกเขาลงมืออยู่

โครม โครม โครม!

พริบตาที่สองฝ่ายปะทะกัน มีคนใหม่เข้ามาช่วยซูหมิงต่อต้านเอ้อชาง วิญญาณซูหมิงปะทุความเร็วที่ไม่อาจบรรยายขึ้นภายใต้การเผาไหม้ ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ฟ้ากระจ่างดาวทั้งแสนแห่ง เส้นใยในต้นไม้ใหญ่แสนต้นเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อนจากการยึดครองสี่สิบแปดส่วน

สี่สิบเก้า ห้าสิบเอ็ด ห้าสิบสาม ห้าสิบห้า….ไปจนถึงหกสิบ!

และยังดำเนินต่อไป หกสิบเอ็ด หกสิบสอง หกสิบสาม หกสิบห้า หกสิบเจ็ด…..

เสียงระเบิดดังกึกก้อง หน้ากากดวงจิตสี่ดวงซึ่งสื่อแทนแดนมรณะหยินแตกเป็นเสี่ยงๆ ดวงตะวันสี่ดวงรอบๆ กลายเป็นประกายแสงพร่างพราย หายไปจนหมดสิ้น

เมื่อหน้ากากแหลกสลาย ดวงจิตทั้งสี่สูญหายไป การควบคุมที่ดวงจิตเก่าแก่ของแดนมรณะหยินมีต่อซูหมิงก็หายไปทั้งหมด!

นี่หมายความว่า ซูหมิงก้าวเดินในเส้นทางการต่อต้านโชคชะตาไปหนึ่งก้าวใหญ่ เขาหลุดพ้นจากการจำกัดของแดนมรณะหยินแล้ว และกลับมามีอิสระอีกครั้ง!

จากนี้ไปเขาจะไม่อยู่ในผนึกจากแดนมรณะหยินอีก เขาจะมีอิสระอย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้ง…พวกที่อยู่ในแดนมรณะหยินยังไม่กล้าทำอะไรเผ่าหมานด้วย เพราะพวกเขายังต้องให้ซูหมิงช่วยตามหาราชาของสามเผ่าอยู่!

“เจ้าผู้ฝึกฌานสมควรตาย ข้าอยากรู้นักว่านอกจากกระเรียนหัวขโมยผู้ทรยศกับดวงจิตสี่ดวงแล้ว เจ้าจะยังมีอะไรอีก ต่อให้เจ้ายึดครองได้มากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ วิญญาณเจ้าใกล้จะเผาไหม้จนหมดแล้ว เจ้าต้องตาย ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีกลอุบายอะไรอีก!” เอ้อชางตะโกนด้วยความโกรธ หลังจากมันทำลายหน้ากากกับดวงจิตสี่ดวง ก็พุ่งตรงไปหาซูหมิงอีกครั้ง

ชั่วขณะที่ดวงจิตมันตรงเข้ามา ซูหมิงที่ยึดครองพื้นที่ได้หกสิบเก้าส่วนร้อยจากเส้นใยทั้งหมด ใบหน้าร่างแปลงจากเขาก็ยิ้มแปลกๆ อีกครั้ง

“ยึดร่างเจ้าคือโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในความทรงจำข้า!” วิญญาณซูหมิงเผาไหม้ไปถึงเจ็ดส่วนกว่าแล้ว ขณะกำลังยิ้มอยู่นี้ นัยน์ตาเขาฉายแววคลุ้มคลั่งขณะกล่าวพึมพำ

“ทว่าการยึดร่างเจ้ายังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตข้า!” ความบ้าคลั่งในแววตาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีเปลวเพลิงลุกไหม้

“ยึดร่างเป็นเพียงขั้นตอน สิ่งที่ข้าต้องการคือยืมพลังเจ้าในระหว่างขั้นตอนนี้ เพื่อให้นับแต่นี้ตัวข้าหลุดจากการควบคุมของคนอื่น กลายเป็นตัวข้าเองอย่างแท้จริง คนที่อยู่ในแดนมรณะหยินเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมี…ตี้เทียนอีกคน!”

“ตี้เทียน เดิมทีข้าคิดว่าข้าหลุดจากการควบคุมของเจ้า เดินออกมาจากแผนการเจ้าแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้ข้าเห็นทุกคนในใบหน้าบนกิ่งไม้นับไม่ถ้วนของต้นไม้ใหญ่เอ้อชาง…ทว่าไม่มีเจ้าเพียงคนเดียว!

ตอนนั้นข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ายังควบคุมข้าอยู่ แผนการของเจ้ายังไม่ล้มเหลว กระทั่งทุกอย่างของข้าก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเจ้า!

ต้นไม้เอ้อชาง ใบหน้ามายาทั้งหมดไม่มีเจ้าเพียงคนเดียว ก็เหมือนกับที่ไม่มีข้า! ข้าไม่เห็นตัวเองและไม่เห็นเจ้า เช่นนั้นเจ้าจะใช้วิธีสักอย่างทำให้เจ้าเป็นข้า ส่วนข้าก็เป็นเจ้า ให้วิญญาณของเราหลอมรวมเป็นหนึ่งกันในความหมายบางอย่างหรือไม่!

ข้าไม่รู้ว่าแผนการของเจ้าคืออะไรกันแน่ ทว่าจากร่องรอยต่างๆ ในหลายปีมานี้ ข้าก็เดาได้ว่า….เจ้าต้องการโชคชะตาของข้า!

ไม่ใช่ชีวิต แต่เป็นโชคชะตาของชาวยมโลก!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หากเจ้าไม่ตายพร้อมกันกับข้า ก็ต้องไล่วิญญาณข้าออกไป!”

นี่ต่างหากคือความคิดบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นหลังจากซูหมิงล้มเหลวครั้งแรกเมื่อหลายร้อยปีก่อน

ยึดร่างแล้วอย่างไร มันก็เป็นเพียงโชควาสนาเท่านั้น การหลุดพ้นจากการควบคุมของชะตาคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา บางทีเขาอาจเข้าใจผิดเอง ตี้เทียนจะหลอมรวมกับวิญญาณเขาหรือไม่ เขาเองก็ยังไม่แน่ใจ

ทว่า…ในวิญญาณเขามีหงหลัว มีผู้แข็งแกร่งระดับภัยพิบัติตะวันสามคน เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมี…ตี้เทียนอยู่ด้วย!

ยิ่งเป็นการควบคุมที่ไม่อาจเข้าใจก็ยิ่งยากจะหลุดพ้น มีเพียง…ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน พนันดูสักตั้ง ทำสิ่งที่คนอื่นไม่มีทางทำได้ จึงจะบรรลุถึงเป้าหมาย

“ตี้เทียน เจ้าจะไสหัวออกไปหรือไม่!” ซูหมิงตะโกน ใบหน้าทั้งแสนในต้นไม้แสนต้นของฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งก็ร้องตะโกนพร้อมกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version