Skip to content

สู่วิถีอสุรา 834

ตอนที่ 834 ร่างแยกเอ้อชาง 6

ในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต ชั่วขณะที่ใบหน้าแสนใบหน้าของซูหมิง ณ แดนประหลาดวงแหวนบูรพาตะโกนพร้อมกัน ไกลออกไปจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต กลางโลกแท้จริงดาราสัจธรรมในสี่มหาโลกแท้จริง ภายในเขตดาราของเผ่าเซียน

มีกลุ่มดาวประหลาดอย่างยิ่งอยู่แห่งหนึ่ง กลุ่มดาวนี้รวมจากดาวแท้จริงหนึ่งร้อยแปดดวง มองไกลๆ เหมือนใบไม้ที่เต็มไปด้วยเส้นใย ลอยสว่างพร่างพราวอยู่กลางฟ้า ส่องสว่างไปหมื่นจั้ง ดาวแท้จริงหนึ่งร้อยแปดดวงนี้สร้างแรงกดดันแก่กล้าสั่นสะเทือนไปรอบๆ ที่นี่คือสถานที่ที่มีชื่อเสียงของเขตดาราเซียน

สำนักชุมนุมเซียน ประตูเข้าสำนักลำดับแรก

สายรุ้งยาวนับไม่ถ้วนลากผ่านอยู่ทั้งในและนอกกลุ่มดาวเหล่านี้ คนที่ไปๆ มาๆ ล้วนเป็นศิษย์ที่ออกไปข้างนอกหรือกลับมาของสำนักชุมนุมเซียน กวาดตามองไปมีหลายแสนคน

หลายแสนคนดูเหมือนไม่น้อย ทว่าเทียบกับดาวแท้จริงหนึ่งร้อยแปดดวงที่กว้างใหญ่ยักษ์แล้ว หลายแสนคนดูเล็กจ้อยอย่างยิ่ง มองจากขนาดประตูสำนักแล้ว ศิษย์สำนักชุมนุมเซียนจะต้องมีมากกมายมหาศาลอย่างแน่นอน

ยามนี้ ตรงส่วนลึกที่สุดของกลุ่มดาวแท้จริงคล้ายใบไม้ ในดาวแท้จริงดวงหนึ่ง

ที่นี่เต็มไปด้วยหญ้าเขียวขจี มีสายลมอ่อนพัดผ่านเบาๆ มีท้องฟ้าสีครามเข้ม เมฆขาวหลายกลุ่มลอยไปตามลม ทำให้ที่นี่เงียบสงบ

บนพื้นหญ้ามีทะเลสาบ ตอนนี้ข้างทะเลสาบมีชายวัยกลางคนอยู่คนหนึ่ง เขาสวมอาภรณ์เนื้อหยาบ ในมือถือเบ็ดตกปลา เหมือนกำลังงีบหลับอยู่ สีหน้าอ่อนโยน ใบหน้ายังมีรอยยิ้มบางๆ

ทว่าข้างกายเขากลับมีหมาป่าหลายตัวกำลังคลานออกมาจากพุ่มหญ้า พวกมันดวงตาเป็นประกายสีแดง จ้องชายวัยกลางคนอย่างแน่นิ่ง

ทันใดนั้นเอง ชายวัยกลางคนพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทางนี้ทำให้ความอ่อนโยนหายไป เขาค่อยๆ ลืมตาหงส์ขึ้น ดวงตาเช่นนี้ทำให้บุรุษผู้นี้มีเสน่ห์แปลกๆ บางอย่าง ยามนี้ภายในดวงตาค่อยๆ รวมตัวเป็นกิ่งก้านสาขา

“ข้า…ไม่ชอบเด็กดื้อ” ชายวัยกลางคนกล่าวกับตัวเองเบาๆ มือขวายังคงถือเบ็ดตกปลาพลางค่อยๆ หลับตาลง เหมือนกับทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น

ณ แดนรกร้างต้นกำเนิดจิต กลางแดนประหลาดวงแหวนบูรพา เสียงคำรามต่ำของซูหมิงดังกังวาน วิญญาณเขากำลังเผาไหม้อย่างรวดเร็ว จากเจ็ดส่วนกลายเป็นแปดส่วน และยังเข้าต่อต้านกับดวงจิตของเอ้อชางอย่างดุเดือด

ดวงจิตเอ้อชางคำรามเสียงดังสนั่น ขวางการขยายต่อไปของซูหมิงเอาไว้ ในสายตามันซูหมิงใกล้ตายเต็มทีแล้ว เผาวิญญาณอีกนิดเดียวก็จะสลายหายไปทั้งหมด ถึงตอนนั้นไม่ต้องใช้แรงอะไร อีกฝ่ายก็จะหายไปเอง

ใบหน้าแสนใบหน้าของซูหมิง ยามนี้มีสีหน้าแน่วแน่ ไม่มีความคิดจะเปลี่ยนใจแม้แต่น้อย ต่อให้เผาวิญญาณไปแล้วมากกว่าครึ่ง ทว่าขอเพียงตี้เทียนยังไม่ออกมา เขาก็จะไม่ล้มเลิก ต่อให้ต้องตายก็ตาม นี่คือการเดิมพันครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นการแข่งขันความอดทน เป็นการเลือกของเขากับตี้เทียน

“หากเป็นว่าวมีสายป่าน ต่อให้ลอยไปถึงสวรรค์เก้าชั้นก็ยังถูกคนควบคุม ไม่มีอิสระ

หากชีวิตนี้แซ่ซูไม่อาจตัดเชือกว่าว ไม่อาจบินว่อนอยู่บนฟ้าได้อย่างอิสระ เช่นนั้นความเป็นจะต่างอะไรกับความตาย…เมื่อตัดเชือกเส้นนี้ จากนี้ไปข้าก็จะมีอิสระ!” ดวงตาบนใบหน้าทั้งแสนของซูหมิงฉายประกายแน่วแน่พร้อมกัน การเผาวิญญาณจากแปดส่วนหายไปอีกครึ่งส่วนในพริบตา

เวลานี้ ภายในสำนักชุมนุมเซียน เขตดาราเซียนโลกแท้จริงดาราสัจธรรม นอกทะเลสาบบนที่ราบหญ้าเขียว ชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์เนื้อหยาบลืมตาขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้นอกจากความทะมึนในแววตาแล้ว ยังมีความเคร่งขรึมด้วย ทว่ามือที่ถือคันเบ็ดตกปลายังมั่นคงมากอยู่ น้ำทะเลสาบตรงหน้าพลันเกิดคลื่นกระเพื่อม ขณะชายวัยกลางคนยกมือขวาขึ้น ปลาสีทองตัวหนึ่งก็งับเข้ากับเหยื่อตกปลา ก่อนจะถูกกระชากขึ้นมาจากน้ำ

หยดน้ำแตกกระเซ็น หมาป่าตัวหนึ่งจากในพุ่มหญ้าข้างๆ พลันกระโดดขึ้นมา พุ่งตรงไปหาปลาสีทองพร้อมกับอ้าปากกว้างจะกินมัน

“ข้า…ไม่ชอบคนที่เริ่มก่อน” นัยน์ตาชายวัยกลางคนทะมึนทึบมากขึ้นเรื่อยๆ และก็ไม่เห็นเขาทำอะไร แต่ชั่วขณะที่เขากล่าวออกไป หมาป่าที่กระโดดเข้ามาพลันตัวสั่นสะท้าน ร่างแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว เขี้ยวหลุด ขนร่วง พริบตาเดียวร่างก็กลายเป็นเถ้าธุลี กระทั่งขนกับเขี้ยวที่ร่วงหล่นยังไม่ทันตกลงไปในทะเลสาบก็กลายเป็นละอองหายไป ราวกับกาลเวลาไหลผ่านตัวมันเป็นพันปีในทันที

“พรสวรรค์ของเผ่ายมโลก…เผ่าชั่วช้า ช่างเป็นเผ่าที่น่าอิจฉาจริงๆ” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าทะมึนทึบมากกว่าเดิม เขาค่อยๆ ยืนขึ้น ปล่อยคันเบ็ดในมือขวา แล้วหมุนตัวเดินไปทางความว่างเปล่า

ร่างเงาเขาหายไปในพริบตา ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้งไม่รู้ว่าข้ามมาไกลเท่าไร จากประตูสำนักแรกของสำนักชุมนุมเซียนมาถึง…นอกแดนมรณะหยิน ด้านนอกวงแหวนอาคมใหญ่ที่รวมจากแผ่นดินใหญ่ลอยอยู่นับไม่ถ้วน

เขาในตอนนี้ไม่ได้สวมอาภรณ์เนื้อหยาบอีก แต่สวมเสื้อคลุมยาวสีทอง มาพร้อมด้วยมงกุฎจักรพรรดิสีทอง ใบหน้าเรียบเฉยแต่น่าเกรงขาม จุดที่เคลื่อนผ่าน ผู้ฝึกฌานที่เห็นเขาจะรีบโค้งคารวะทันที

เขาเดินไปตลอดทาง จนมายืนอยู่บนแท่นบวงสรวงที่สูงที่สุดตรงใจกลางแผ่นดินนี้ และมาอยู่ข้างกายศพที่ถูกผนึกอยู่ที่นี่มาไม่รู้กี่ปี

เขามองชายหนุ่มตรงหน้าที่ใบหน้าซีดขาว ร่างกายซูบผอมนัก และกำลังหลับตา ชายผู้นี้เงียบงัน แต่ทันใดนั้นเอง ศพที่วางอยู่ที่นี่หรือร่างจริงของซูหมิงก็เกิดเค้ารางว่าจะแห้งเหี่ยว ผิวหนังเกิดรอยเหี่ยวย่นอย่างรวดเร็ว เส้นผมค่อยๆ เสียความมันวาว นี่คือสัญญาณว่าวิญญาณกำลังจะตาย หากตาย ศพนี้ก็จะแห้งเหี่ยวและสลายไปพร้อมกับวิญญาณ

ภาพนี้ทำให้ชายวัยกลางคนหรือตี้เทียนหน้าเปลี่ยนสีในที่สุด เขาไม่เชื่อการตอบสนองก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนี้ความจริงวางอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาจึงต้องเชื่อ ซูหมิงกำลังเจอกับอันตรายที่ไม่อาจต่อต้าน กำลังเผาวิญญาณ และเผาไปเกือบเก้าส่วนแล้ว

‘บางทีเจ้าอาจจะเจออันตรายถึงตายจริงๆ หรือไม่ก็…พบเบาะแสอะไรบางอย่าง หากเป็นอย่างแรกก็ช่างประไร แต่หากเป็นอย่างหลัง…’ ตี้เทียนแค่นเสียงหึเย็นชา เขายังคงขมวดคิ้ว วิญญาณเขากับวิญญาณซูหมิงหลอมรวมกันด้วยวิธีพิเศษ หากซูหมิงตายเขาจะบาดเจ็บสาหัส กระทั่งชีวิตนี้ไม่อาจพัฒนาขั้นพลังได้อีก ความจริงแล้วแผนการของเขาก็คือการเดิมพันอย่างหนึ่ง

‘แค่ต้องใช้เวลาอีกสามร้อยปี ข้าก็จะทำสำเร็จครบถ้วน…สามร้อยปี’ ตี้เทียนเงียบงัน สายตาจ้องกายเนื้อซูหมิง จนกระทั่งผิวหนังซูหมิงปรากฏจุดดำจำนวนมากและยังส่งกลิ่นเน่าเหม็น แม้แต่เส้นผมยังร่วงโรย ตอนนี้เองที่จิตใจตี้เทียนสั่นคลอนเป็นครั้งแรก

‘เก้าส่วนครึ่ง…’

‘เก้าส่วนครึ่ง ข้าเผาวิญญาณไปเก้าส่วนครึ่งแล้ว แต่ตี้เทียนก็ยังไม่ออกมา หรือว่า…ข้าจะพลาดแล้ว…’ ในแดนประหลาดวงแหวนบูรพา วิญญาณซูหมิงเผาไหม้ถึงขีดสุดแล้ว เอ้อชางหัวเราะเสียงดังกึกก้อง ใบหน้าซูหมิงหนึ่งทั้งแสนสั่นไหวตามไปด้วยในชั่วเวลานั้น

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาต้องตายจริงๆ แน่ หากตอนนี้ยอมแพ้จะยังมีชีวิตรอดอยู่ ทว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว หลังจากเขาเงียบไปสักครู่ก็มีสีหน้าแน่วแน่

“หากข้าพลาด จากนี้ไปก็จะหลุดพ้น นี่คือการเลือกของข้า แซ่ซูยอมรับ!” ซูหมิงไม่ลังเล การแผดเผาวิญญาณลุกโหมขึ้นอีกครั้ง ลุกไหม้ไปเก้าส่วนครึ่ง เพิ่มพุ่งพรวดขึ้นไปอีก หากแบ่งครึ่งส่วนที่เหลือเป็นห้าส่วน เช่นนั้นตอนนี้เขาก็เหลือเพียงสี่ส่วน และยังลดน้อยลงเรื่อยๆ

ทันทีที่วิญญาณซูหมิงแผดเผาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ ในใจเขาได้ยินเสียงแว่วมา

“โลกแห่งนี้….ยมโลก…” เสียงนั้นกล่าวมาเช่นนี้ เป็นคำพูดที่เคยดังกึกก้องอยู่ในวิญญาณซูหมิงตอนอยู่แดนมรณะหยิน

ครั้งนี้แม้แต่ดวงจิตเอ้อชางยังสั่นสะท้าน มันเคยเห็นคนคลุ้มคลั่งมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนบ้าระห่ำแบบซูหมิง มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะยืนหยัดต่ออีก นี่คือการเดิมพันด้วยชีวิต!

ขณะเดียวกัน ซูหมิงยังสร้างความตื่นตะลึงกับตี้เทียนในเขตดาราเผ่าเซียนด้วย ตอนนี้ความสงบนิ่งของเขาหายไป นัยน์ตาเหี้ยมโหดมีเส้นเลือดฝอยเพิ่มมา สายตาจ้องกายเนื้อซูหมิงเขม็ง ยามเห็นกายเนื้อนี้กำลังเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว ในใจเขาก็สั่นไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ตอนที่วิญญาณแผดเผาเหลือเพียงสามส่วน ตี้เทียนตัวสั่นไหวเบาๆ นี่คือการต่อสู้แบบไร้รูป เป็นการประลองกันโดยไม่ต้องเห็นหน้า แข่งกันว่าใครจะแน่วแน่กว่า ใครจะทนไม่ไหวก่อน ตี้เทียนหน้าเหยเกย เขาไม่ยอมให้แผนการล้มเหลวจริงๆ แน่ แต่เขาก็ไม่อาจรู้ว่าซูหมิงเจออันตรายจริงๆ หรือไม่ หรือว่าทุกอย่างคือการต่อต้านของอีกฝ่าย ขณะต่อสู้ดิ้นรน เขามองเห็นร่างซูหมิงเน่าเปื่อยรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนที่ร่างไม่อยู่ในสภาพคนแล้ว วิญญาณของซูหมิงเหลือเพียงสองส่วน

เวลาเหมือนถูกยืดออกไปอย่างไร้รูปในพริบตา นี่คือการทดสอบและทรมานอย่างหนึ่งสำหรับซูหมิง กับตี้เทียนก็เช่นเดียวกัน จนกระทั่งวิญญาณซูหมิงเหลือเพียงหนึ่งส่วน ตี้เทียนถึงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าด้วยความโกรธเกรี้ยว

ภายในเสียงคำรามแฝงไว้ด้วยความเดือดดาล มีความแค้นและความจนปัญญาที่ต้องทำลายแผนการของตนด้วยมือตัวเอง ขณะส่งเสียงคำราม เขาพลันยกมือขวาขึ้นโจมตีระหว่างคิ้วตัวเองอย่างรุนแรง

ชั่วขณะที่โจมตีไป ภายในแดนประหลาดวงแหวนบูรพา ใจกลางวิญญาณของซูหมิงที่เผาไหม้จนใกล้จะสติเลือนรางกลับเปล่งแสงสีทองออกมาทันใด แสงนี้ลอยออกจากวิญญาณเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีเสียงคำรามด้วยความโกรธกังวานมาจากร่างเมื่อแสงสีทองหายไป

ซูหมิงคุ้นเคยกับเสียงคำรามด้วยความโกรธนี้ มันคือเสียงของตี้เทียน ซูหมิงชนะการต่อสู้แบบไร้รูปรอบนี้แล้ว!

เขาหัวเราะดังลั่น ในเสียงหัวเราะแฝงการต่อต้านโชคชะตามาเป็นเวลาไม่รู้กี่ปี มีความยึดมั่นและแน่วแน่ เขาชนะการต่อสู้แล้ว ได้รับอิสระมาแล้ว หากเขาข้ามผ่านภัยพิบัติของเอ้อชางไปได้ จากนี้ไปเขาจะหลุดพ้นจากการควบคุมของทุกคน อนาคตของเขาจะมีโอกาสไม่มีขีดจำกัด ได้ไปทำเรื่องต่างๆ มากมายหลังจากทำลายกระดานหมากนี้

ทว่าราคาต้องจ่ายเพื่อการหลุดพ้นจากการควบคุมของตี้เทียนสาหัสยิ่งนัก วิญญาณเขาเหลือเพียงเสี้ยวสุดท้าย เสี้ยววิญญาณนี้กำลังเผาไหม้อยู่ ตอนนี้ตรงหน้ามีอยู่สองทางเลือก

ละทิ้งการต่อต้านทุกอย่าง มีกฎของซุ่ยเฉินจื่ออยู่ เขาย้อนเวลากลับไปได้ มีโอกาสรวมเป็นวิญญาณใหม่อีกครั้งและกลับสู่กายเนื้อ

แต่เขาต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบที่ยังไม่รู้อีกครั้ง เพราะสิ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นคือ…เมื่อรวมเป็นวิญญาณอีกครั้งภายใต้การย้อนเวลา ผนึกในวิญญาณเขาก่อนหน้านี้อาจจะกลับมาอีกครั้ง

ผลจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ เขายังมีทางเลือกที่สองอีก ทางเส้นนี้ไม่มีทางทำให้ผนึกรวมขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน ทางนี้คือ…เดินหน้าต่อ!

ดวงตาบนใบหน้าแสนใบหน้าขยับประกาย ทุกอย่างนี้ยังไม่หลุดออกจากแผนการของซูหมิง เขาตรึกตรองมาสี่ร้อยปี คิดออกมาเป็นทางเลือกหลายทางหรือทางตัน และบางทีก็อาจเป็นการเกิดใหม่

ตอนนี้เส้นทางที่สองคือจุดนี้ เขาเลือกเส้นทางนี้อย่างไม่ลังเล ช่วงที่วิญญาณเขาแผดเผาทั้งหมด แรงปะทะที่ระเบิดออกมารุนแรงอย่างยิ่ง ดวงจิตเอ้อชางยิ้มเยาะแต่ก็ไม่ได้ขวางเอาไว้ มันรู้ดีว่านี่คือความบ้าคลั่งสุดท้ายของฝ่ายตรงข้าม จากนี้ไปก็ต้องตาย

“เดิมทีข้าเป็นคนตาย แม้แต่วิญญาณก็ยังเป็นวิญญาณมรณะ สัมผัสกับแสงสว่างหยางไม่ได้…เช่นนั้นคนที่เป็นวิญญาณมรณะ หากตายอีกครั้งจะเป็นอะไร…”

เมื่อการเผาวิญญาณซูหมิงขยายออกไป ในพริบตาเดียวนี้ จากหกสิบเจ็ดส่วนร้อยก็ขึ้นไปเป็นแปดสิบส่วนร้อย เสียงครึกโครมดังในความคิดซูหมิง แล้วปรากฏภาพใหม่ภาพหนึ่งขึ้น

เขาเห็น…แดนประหลาดวงแหวนบูรพานอกทะเลสีทองหนึ่งแสนแห่ง กับฟ้ากระจ่างดาวหนึ่งแสนแห่ง!

ราวกับว่าชั่วชั่วขณะนี้ จิตสัมผัสซูหมิงขยายใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด เข้าปกคลุมทั้งแดนประหลาด และยังยืดออกไปปกคลุมวงแหวนบูรพา เพียงแต่ว่าวงแหวนบูรพาในสายตาซูหมิงต่างกับในความทรงจำมาก

ที่นี่เต็มไปด้วยความเงียบสงบ เต็มไปด้วยพลังชีวิต ดาวแท้จริงเหลือคณานับมีต้นกำเนิดโลกมากเพียงพอ ด้านบน…ไม่มีผู้ฝึกฌานเลย มีแต่สัตว์ร้าย ประหนึ่งว่าที่นี่เป็นเขตดาราแปลกตาที่ยังไม่ถูกผู้ฝึกฌานค้นพบ

ซูหมิงตะลึงงัน ยามดึงจิตสัมผัสที่ปกคลุมทั้งเขตดารากลับมาสู่ในร่างกาย เขาก็พบว่าแดนประหลาดหายไปแล้ว

จะให้กล่าวจริงๆ คือเขากลายเป็นแดนประหลาด เขาคือแดนประหลาด ตอนที่ก้มหน้ามองร่างกายตัวเอง เขาเห็นเสื้อคลุมสีขาวตัวหนึ่ง เขากลายเป็นคนแปลกหน้า เป็นชายชราเส้นผมขาว ดวงตาแฝงไว้ด้วยสติปัญญาและความแปลกตาซึ่งผ่านโลกมานาน

“หนึ่งความคิดฟ้าสูญสลาย…” ท้องฟ้าพลันมืดมิด เขตดาราหายไปราวกับทุกอย่างดับสูญ

นี่ไม่ใช่เสียงของซูหมิง แต่เขากลับรู้สึกว่าตนพูดประโยคนี้ ตอนนี้เอง เขาเข้าใจแล้วว่าหลังจากยึดครองเส้นใยของเอ้อชางไปแปดส่วน เขาจะเห็นความทรงจำของเอ้อชาง หนำซ้ำหลังผสานรวมกับความทรงจำแล้ว เขาเห็น…ซุ่ยเฉินจื่อ

“หนึ่งความคิดกฎสวรรค์บัญญัติ” ซูหมิงใจสั่นสะท้าน เมื่อเห็นเขตดารากลายเป็นความว่างเปล่ามืดมิดแล้ว ท่ามกลางความมืดไม่มีสิ้นสุดก็ถือกำเนิดแสงสว่างขึ้นมา แสงสว่างนี้ขยายออกในพริบตา ปกคลุมทุกอย่างในสายตาเขา ขับไล่ความมืดออกไป ดาวแท้จริงแต่ละดวงถือกำเนิดขึ้น มีสิ่งมีชีวิตปรากฏบนดาวแท้จริง

“หนึ่งความคิดทุกสิ่งมีชีวิตดับสูญ…” เมื่อสิ้นเสียงประโยคที่สอง ทุกสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้ถูกเปลวเพลิงลุกท่วม กลายเป็นเถ้าธุลีสลายไปสิ้น เปลวเพลิงนี้เหมือนว่าอยู่ในโลกมานานหลายหมื่นปีแล้ว

“หนึ่งความคิดทุกสรรพสิ่งถือกำเนิด” เสียงแก่ชราดังขึ้นอีกครั้ง ซูหมิงใจสั่นไหว เขาเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว

“คนที่เห็นสี่ยอดวิชาต้นกำเนิดจิตของข้า มีแผ่นศิลาสูงถึงเก้าแสนจั้ง หรือ…ยึดวิญญาณเอ้อชางได้แปดส่วน ไม่ว่าเจ้าทำได้อย่างไร ขอเพียงเจ้าตระหนักรู้จากในสี่ยอดวิชาต้นกำเนิดจิตนี้ กฎที่ข้าวางเอาไว้ก็คือกฎของเจ้า เจ้าตระหนักรู้ได้มากเท่าไร เจ้าก็จะควบคุมกฎได้มากเท่านั้น…

เวลาของเจ้ามีเพียงสามลมหายใจ สามลมหายใจจากนี้ จงบอกความเข้าใจของเจ้ามา!” ซุ่ยเฉินจื่อกล่าวราบเรียบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version