Skip to content

สู่วิถีอสุรา 835

ตอนที่ 835 ร่างแยกเอ้อชาง 7

ลมหายใจแรก

ซูหมิงตื่นตะลึงกับสี่ยอดวิชาต้นกำเนิดจิต ขณะจิตใจสับสน สี่ยอดวิชาต้นกำเนิดจิตนี้วนเวียนอยู่ตรงหน้าเขา แสดงให้เห็นหลายร้อยหลายพันครั้งในหนึ่งลมหายใจสั้นๆ

ครั้นลมหายใจแรกผ่านไป ซูหมิงพลันรู้สึกว่าตนไม่ใช่ซุ่ยเฉินจื่ออีก เขาคลับคล้ายเห็นว่าในตัวซุ่ยเฉินจื่อผมขาวเสื้อคลุมขาวมีหมอกดำกระจายออกหนึ่งชั้น ในหมอกดำนั้นมีใบหน้าอยู่หนึ่งแสนใบหน้า ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นของซูหมิง

ช่วงที่ลมหายใจที่สองมาถึง ใบหน้าหมอกดำหนึ่งแสนใบหน้าของซูหมิงกระจายออกมาจากร่างซุ่ยเฉินจื่อ เมื่อหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว ซูหมิงก็รู้สึกว่าตนมีร่างกายอีกครั้ง ไม่ใช่วิญญาณสับสนของที่นี่

หลังจากลมหายใจที่สามมาถึงในพริบตา ซูหมิงมองแผ่นหลังซุ่ยเฉินจื่อ พร้อมกันนั้นในความคิดก็มีสี่ยอดวิชาต้นกำเนิดจิตที่สร้างความตื่นตะลึงแก่เขาลอยขึ้นมา มันหลอมรวมกับชีวิตเขา เขารู้สึกว่าตนเข้าใจแล้ว

จนกระทั่งผ่านลมหายใจที่สามไป ซุ่ยเฉินจื่อที่หันหลังให้ซูหมิงเหมือนส่ายศีรษะ ค่อยๆ ห่างออกไปไกล ตอนที่ร่างซูหมิงกลับมาร่างอีกครั้ง เขาพลันเอ่ยขึ้น

“ตอนแรกรูปแบบชะตาของข้าคือฤดูหนาว ไม่มีชีวิต เหมือนกับหิมะกว้างไกลปกคลุมพื้นดิน สิ่งมีชีวิตล้วนสูญสิ้น…นี่ก็คือ…หนึ่งความคิดฟ้าสูญสลาย”

ซูหมิงกล่าวเสียงเบา นัยน์ตาฉายแววเข้าใจ

“หลังจากฤดูหนาว ชะตาชีวิตข้าคือฤดูใบไม้ร่วงโลหิต ใช้โลหิตย้อมฟ้าให้เป็นสีแดง ทำให้กลายเป็นสีของฤดูใบไม้ร่วง แต่ทว่า…ความหมายแห่งฤดูใบไม้ร่วงคือการเปลี่ยนแปลงระหว่างความเป็นกับความตาย เป็นขั้นพลังเพียงหนึ่งเดียวในรูปแบบชะตาข้าที่มีเป็นและตายอยู่พร้อมกัน ไม่เหมือนกับการดับสูญโดยสมบูรณ์ของฤดูหนาว ไม่เหมือนชีวิตมหาศาลของฤดูร้อน…

ตรงกลางระหว่างเป็นตายปรากฏทุกสรรพสิ่งสูญสิ้น และก็มีการเกิดใหม่ของสิ่งมีชีวิต…สิ่งนี้เรียกว่าหนึ่งความคิดกฎแห่งสวรรค์บัญญัติ” ซูหมิงเพียงกล่าวเสียงเบา ราวกับไม่ได้พูดกับใครทั้งนั้น แต่เหมือนพึมพำกับตัวเอง ทว่าร่างซุ่ยเฉินจื่อที่หันหลังให้ พอได้ยินซูหมิงกล่าวสองประโยคนี้แล้วกลับหยุดชะงัก แน่นิ่งเหมือนกำลังใคร่ครวญคำพูดของซูหมิง และรออีกฝ่ายเอ่ยต่อ

“จากรูปแบบชะตาที่ข้าตระหนักรู้ คือการเดินทางจากความตายไปสู่ความเป็น เหมือนเดินจากฤดูหนาวไปสู่ฤดูใบไม้ผลิ สิ่งนี้คือการโคจรอย่างหนึ่งที่ฟ้าดินไม่อาจย้อนกลับ ทว่านี่คือสิ่งที่ขาดหายในรูปแบบชะตาของข้า ในเมื่อไม่อาจย้อนกลับก็ต้องเดินต่อไป

เดิมทีข้าสับสนในเส้นทางหลังจากฤดูใบไม้ร่วงโลหิต ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ฤดูร้อนระอุหลังใบไม้ร่วงโลหิตน่าจะเต็มไปด้วยพลังชีวิตมหาศาล พลังชีวิตนี้ร้อนระอุ สามารถแผดเผาได้ทุกสิ่งอย่าง พลังชีวิตนี้ยิ่งใหญ่ สามารถส่องสว่างทุกสรรพสิ่ง

พลังชีวิตนี้…ดูเหมือนเป็นของจริง ทว่าความจริงเป็นมายา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีความจริงอยู่เช่นกัน มันสามารถเผาร่างกายข้า สามารถใช้ความร้อนแผดเผาทุกสิ่งมีชีวิตในจักรวาล ทำให้ชีวิตของสรรพสิ่งต้องดับสูญไป

บางทีก่อนดับสูญอาจเป็นมายา ทว่าหลังจากดับสูญแล้วถึงจะเป็นของจริง ฤดูร้อนระอุ…ฤดูร้อนระอุ…เผาไหม้ทุกสิ่งมีชีวิตเป็นการจุดโชคชะตาของข้าให้ลุกโชน ทำให้มันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ…นี่ก็คือหนึ่งความคิดทุกสิ่งมีชีวิตดับสูญ”

นัยน์ตาซูหมิงเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังตระหนักรู้สิ่งที่ต่างกับคนอื่นตอนอยู่ในหอคอยรกร้างบูรพา เขาตระหนักรู้จากสี่ยอดวิชาต้นกำเนิดจิต ออกมาเป็นความเข้าใจที่แม้แต่ซุ่ยเฉินจื่อยังคาดไม่ถึง

นี่คือความเข้าใจของซูหมิงคนเดียว

ซุ่ยเฉินจื่อค่อยๆ หมุนตัวกลับ ตอนมองซูหมิง ซูหมิงก็พึมพำประโยคสุดท้ายพอดี

“หลังจากฤดูร้อนระอุก็เป็นใบไม้ผลิ…ใบไม้ผลิแห่งการฟื้นคืนชีพทุกสรรพสิ่ง ใบไม้ผลิแห่งการผงาดขึ้นของทุกอย่าง เดิมทีนี่คือก้าวแรกของชีวิต ทว่าสำหรับข้าแล้ว นี่คือก้าวสุดท้ายจากความตายสู่ความเป็น และอาศัยพลังแห่งการฟื้นคืนชีพทำให้ข้าตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์

หากข้าทำสำเร็จก็จะเป็นหนึ่งความคิดทุกสรรพสิ่งถือกำเนิด หากข้าล้มเหลว…จะเป็นหนึ่งความคิดทุกสิ่งมีชีวิตดับสูญ!”

นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย เขาเงยหน้ามองซุ่ยเฉินจื่อ มองชายชราเส้นผมขาวและนัยน์ตาแฝงไว้ด้วยสติปัญญาตรงหน้า พร้อมกันนั้นเขาก็มีสีหน้ายึดมั่นแน่วแน่

“นี่…คือความเข้าใจของแซ่ซู!”

ทันทีที่ซูหมิงกล่าวไป ซุ่ยเฉินจื่อมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายกลับไม่กล่าว แต่นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความเข้าใจบางอย่าง สีหน้าสับสนยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่ร่างกายจะค่อยๆ หายไป

แทบเป็นช่วงที่ร่างซุ่ยเฉินจื่อหายไป มวลอากาศรอบๆ ก็มลายหายตามไปด้วย เสียงคำรามต่ำของเอ้อชางดังก้องกังวานในใจซูหมิงอีกครั้ง ดวงจิตแก่กล้ากวาดไปมารอบๆ ก่อนเข้าปะทะกับวิญญาณซูหมิงจนเกิดเสียงโครมคราม

ทว่าในความรู้สึกซูหมิง เสียงเหล่านี้คล้ายอยู่ห่างจากตนยิ่งนัก เขาในตอนนี้วิญญาณเผาไหม้จนหมดแล้ว แจ่ระหว่างเผาไหม้จนหมด เขากลับพบว่าตน…ไม่ได้หายไป

“เดิมทีข้าเป็นคนตาย แม้แต่วิญญาณยังเป็นวิญญาณมรณะ หากตายอีกจะเป็นอะไรไป” ซูหมิงพึมพำ

“คือดวงจิต…คือดวงจิตของข้า…” ซูหมิงกล่าวกับตัวเองเบาๆ

เขานึกถึงในแดนมรณะหยินยามนั้น ตอนที่ควบคุมการย้อนเวลาได้เป็นครั้งแรก มันถูกเรียกว่าสัญญาณการตื่นขึ้นแห่งยมโลก

จนกระทั่งเต้าหยวนมาถึง ผนึกสามจุดในวิญญาณเขาเปิดออก แล้วมีประโยคหนึ่งแว่วมาในความคิด ‘โลกแห่งนี้….ยมโลก’ หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าตนก้าวสู่การตื่นขึ้นแห่งยมโลกอย่างแท้จริง

จากนั้นเขายึดวิญญาณหงส์งูเพลิงในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต และรวมออกมาเป็นกายเนื้อใหม่ได้ ถึงแม้ก่อนยึดร่างเขาจะไม่รู้ตัวและแทบเป็นเพียงสัญชาตญาณก็ตาม

“ชื่อหั่วโหวเคยบอกว่าเผ่ายมโลกสามารถฟื้นคืนชีพคนตายได้…นี่คือพรสวรรค์จากการยึดครองโชควาสนาของฟ้าดิน ไม่รวมกับเจตนารมณ์แห่งสวรรค์ ไม่ผสานรวมกับท้องฟ้า

ข้าคิดมาตลอดว่าพรสวรรค์นี้มาจากที่ใด…วันนี้ข้าเข้าใจแล้ว หลังจากเกิดการตื่นขึ้นแห่งยมโลก สิ่งที่จะตื่นอีกครั้งเป็นการสรรค์สร้าง…สร้างยมโลก สร้างโชคชะตา…

เดิมทีสิ่งที่จำเป็นสำหรับการตื่นขึ้นแห่งยมโลกคือ…การตายหนึ่งครั้ง และเป็นการตายอย่างแท้จริง” ขณะซูหมิงกล่าวพึมพำ หลังจากการตระหนักรู้ วิญญาณที่เผาไหม้จนหายไปก็รวมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หนำซ้ำยังขยายออกอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กลับมาสมบูรณ์ อีกทั้งความสมบูรณ์ตอนนี้ยังต่างกับก่อนเผาไหม้ ทว่าต่างตรงจุดใดซูหมิงก็ไม่แน่ใจ เขารู้สึกเพียงว่าตนเหมือนจะได้รับการยกระดับอะไรบางอย่าง วิญญาณเหมือนมีความเป็นตาย ไม่ใช่วิญญาณมรณะอย่างเดียวแบบก่อนหน้านี้ แต่….เป็นความตายที่มีชีวิตมาด้วย

ประหนึ่งว่าตอนนี้เขาเข้าใจในฤดูใบไม้ร่วงอย่างถ่องแท้ ตัวเองก้าวสู่ความหมายแห่งฤดูใบไม้ร่วงอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การตระหนักรู้บรรลุถึงอย่างเดียว แต่วิญญาณเขาก็บรรลุถึงด้วยเช่นกัน

จากนี้ไปพลังแสงสว่างหยางจะไม่น่ากลัวจนลบเขาหายไปได้อย่างในอดีตอีก เพราะวิญญาณเขาไม่ใช่วิญญาณมรณะอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่มีพลังชีวิต อยู่ระหว่างความเป็นตายเหมือนกับฤดูใบไม้ร่วง

ตอนนี้เอง เสียงคำรามด้วยความโกรธและเหลือเชื่อของเอ้อชาง จากดังไกลๆ ก็ชัดเจนขึ้น กังวานไปรอบๆ อย่างแจ่มชัด เสียงนี้แฝงไว้ด้วยความตื่นตะลึง ประหนึ่งไม่เข้าใจและหวาดกลัวกับการเปลี่ยนแปลงของซูหมิง

ขณะนี้เส้นใยทั้งหมดแปดสิบส่วนที่วิญญาณซูหมิงยึดครอง กำลังวนเวียนรอบหัวใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายมรณะตรงกลาง หลังจากซูหมิงเกิดการตื่นขึ้นแห่งยมโลกและวิญญาณสมบูรณ์แบบแล้ว เขาก็เริ่มยึดวิญญาณต่อโดยไม่ลังเล

ครั้งนี้เขาไปได้เร็วกว่าก่อนหน้านี้มากจนเห็นได้ชัด ระหว่างกำลังต่อต้านกับดวงจิตของเอ้อชาง เขาก็ยังสังเกตเห็นว่าตน…..จะควบคุมพลังบางอย่างที่ไม่ใช่ของตนได้

เป็นพลังแห่งกฎ เป็นกฎที่ซุ่ยเฉินจื่อฝากเอาไว้ก่อนตาย!

ช่วงที่ในใจเกิดความตระหนักรู้เช่นนี้ ภายในดวงตาขวาของใบหน้าหนึ่งแสนใบหน้าพลันปรากฏอักขระขึ้น ก่อนหน้านี้เดิมทีไม่มีอักขระ เมื่อตอนนี้พลันรวมออกมา กลับไม่มีความรู้สึกว่ากะทันหันแม้แต่น้อย

มิหนำซ้ำชั่วพริบตาที่มันปรากฏออกมา อักขระหนึ่งแสนตัวในดวงตาขวาของใบหน้าซูหมิงทั้งหนึ่งแสนต่างลอยออกมาพร้อมกัน ทันทีที่เปล่งแสงสีดำไม่มีสิ้นสุด พวกมันต่างกลายเป็นเงามายาสีดำมืด

ซูหมิงเคยเห็นเงามายานี้มาก่อน มันคือร่างเงาในโลกแผ่นศิลาหนึ่งแสนอันที่สามารถสังหารได้ทุกคน

ตอนนี้ร่างเงาแสนร่างปรากฏตัว และคารวะซูหมิงพร้อมกัน ชั่วขณะที่คารวะ ความรู้สึกที่สามารถควบคุมพวกมันได้ลอยขึ้นมาอย่างชัดเจนในความคิด

‘ซุ่ยเฉินจื่อ เขาหวังว่าจะมีคนที่ยึดวิญญาณเอ้อชางได้สำเร็จ มิเช่นนั้นแล้วเขาคงไม่ช่วยเหลือตอนที่ยึดวิญญาณได้สามสิบส่วน ห้าสิบส่วน และแปดสิบส่วน’

ทันทีที่ร่างเงาแสนคนปรากฏ จิตใจซูหมิงสั่นไหว ร่างเงาแสนคนนั้นพุ่งตรงไปหาดวงจิตเอ้อชางที่กำลังคำรามด้วยความโกรธ ท่ามกลางเสียงระเบิดจากแรงปะทะ ภายใต้เสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งของเอ้อชาง การยึดวิญญาณของซูหมิงจากแปดส่วนขยับขึ้นมาเป็นแปดสิบห้า

เส้นใยสีทองทั้งหมดกลายเป็นส่วนสีดำที่ยึดครองพื้นที่ขนาดใหญ่ นอกจากด้านนอกหัวใจตรงกลางแล้ว เส้นใยรอบๆ เหลือเพียงส่วนน้อยมากที่ยังเปล่งแสงสีทอง

แปดสิบหก แปดสิบแปด…เก้าสิบ!

เก้าสิบเอ็ด เก้าสิบสอง เก้าสิบสาม…ร่างเงาแสนร่างสร้างขึ้นจากกฎ ขณะปะทะกับเอ้อชาง วิญญาณซูหมิงขยายออกอย่างเร็วรี่ เมื่อเวลาผ่านไป วิญญาณเขายึดครองได้เก้าสิบห้าส่วนร้อย!

นอกจากหัวใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายมรณะแล้ว เวลานี้เส้นใยสีทองทั้งหมดที่เคยมีล้วนกลายเป็นสีดำ กลายเป็นของซูหมิงทั้งหมด พลังวิญญาณเขาแผ่กระจายออก ก่อเป็นระลอกคลื่นทำให้เอ้อชางคำรามด้วยความสิ้นหวัง

ยามนี้เอง ในโลกแผ่นศิลาแสนอัน นอกจากผู้รับการทดสอบเก้าสิบกว่าคนก่อนหน้านี้ที่ล้มเหลวและถูกขับไล่ออกมาพร้อมกัน แผ่นศิลาของแทบทุกคนล้วนเปล่งแสงสว่างจ้า

แผ่นศิลาแสนอัน นอกจากส่วนน้อยที่มีความสูงเกินแสนจั้งไปแล้ว แผ่นศิลาเก้าหมื่นกว่าอันที่เหลือล้วนเปล่งแสงสว่างจ้าแสบตา ภายใต้แสงขยับวิบวับ มีร่างเงาคนถูกบีบออกมาจากแผ่นศิลาทีละคนพร้อมด้วยอาการหวาดกลัวและเสียงร้องด้วยความตกใจ

เก้าหมื่นกว่าคน!

เก้าหมื่นกว่าคนล้วนเป็นผู้ปรารถนาในต้นกำเนิดจิต กำลังตกอยู่ในห้วงความทรงจำในโลกแผ่นศิลา พวกเขาต่างปรากฏตัวพร้อมกัน ภาพนี้สร้างความตื่นตะลึงกับทุกคน พวกเขาล้วนหวาดกลัว พากันร้องตกใจ นี่คือเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่เริ่มมีแดนประหลาดวงแหวนบูรพา

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

“เหตุใดเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ข้ายังอยู่ในโลกศิลาอยู่เลย แต่กลับถูกดวงจิตที่ไม่อาจต่อต้านบีบออกมา”

“หรือว่า….จะมีคนสำเร็จความสูงหนึ่งล้านจั้ง เป็นไปไม่ได้ ที่นี่ไม่มีแผ่นศิลาสูงหนึ่งล้านจั้ง”

“พวกเจ้าดู นี่….แผ่นศิลาของพวกเรา…นะ….” เมื่อสิ้นเสียงร้องด้วยความตกใจ โดยเฉพาะเสียงแหลมเล็กสุดท้ายที่ดังกึกก้อง ทุกคนต่างตะลึงงันโดยพลัน พวกเขาพบว่าบนแผ่นศิลาของตน นอกจากนามของตัวเองแล้ว พลันมีชื่ออีกคนหนึ่งเพิ่มเข้ามาในแผ่นศิลาของทุกคน

ชื่อนี้อยู่เหนือชื่อของพวกเขา ราวกับว่าบุคคลนามนี้คือประมุขของแผ่นศิลาพวกเขา คือประมุขแห่งแดนหนึ่งแสนแผ่นศิลา!

นามที่เพิ่มมานั้นก็คือ…โม่ซู!

โจวคังอยู่ข้างๆ เหม่อมองแผ่นศิลาของซูหมิง เขาอดนึกถึงซูหมิงที่เพิ่งมาถึงที่นี่ทำสีหน้าจริงจังตอนฟังตนเล่าประสบการณ์การทดสอบมิได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version