ตอนที่ 85 บ้านที่ไม่อยากพลัดจาก
“ซูหมิง เจ้า…” ขณะท่านปู่กำลังจะกล่าว ทว่าตอนที่เห็นเส้นเลือดฝอยในดวงตา เห็นความเหนื่อยล้าไปทั้งตัวและความยึดมั่นของซูหมิง เขากลับพูดไม่ออก เพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ซูหมิงต้องแบกรับเอาไว้
ในสายตาของเขา ซูหมิงยามนี้เหมือนกับลูกศรพุ่งจากคันธนู ลูกศรดอกนี้แฝงไปด้วยความแหลมคบกริบน่าสะพรึง ไม่เปื้อนโลหิต ไม่มีใครขวางได้!
“ท่านปู่…ข้ากลับมาแล้ว” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ทำเหมือนกับทุกครั้งที่ออกไปเที่ยวเล่นกลับมา
ท่านปู่มองซูหมิง นันย์ตามีความชื่นชม ทำใจมิได้ ลังเลใจ และยังมีความซับซ้อนที่ซูหมิงไม่อาจเข้าใจได้
“เจ้าอยากสู้เพื่อชนเผ่ารึ?” ผ่านไปครู่ใหญ่ ท่านปู่จึงกล่าวเบาๆ
ซูหมิงพยักหน้าเงียบๆ
“แม้ว่าต้องตายก็ยอมรึ?” ท่านปู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“คนเราล้วนต้องตาย หากข้าต้องตายเพื่อปกป้องครอบครัว ข้าก็ยอม!” น้ำเสียงของซูหมิงเรียบๆ กล่าวออกมาจากใจของเขา
“ได้ ซูหมิง ปู่จะไม่ขวางเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นคนเลือก ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าต่อสู้เพื่อชนเผ่า!” ท่านปู่หลับตาราวกับลังเลใจ
ผ่านไปครู่หนึ่งพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววเด็ดขาด ในใจเข้าทราบดีว่าไม่อาจห้ามซูหมิงได้ มิเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะทำเรื่องบ้าบิ่นอะไรอีก เห็นสภาพน่าเวทนาของซูหมิงแล้ว ท่านปู่เจ็บปวดหัวใจ ทว่าก็อดชื่นชมมิได้
ขณะนี้ ชาวเผ่าที่รวมพลกันอยู่พลันเงียบสงบ พวกเขามองไปนอกชนเผ่าเป็นตาเดียวกัน ยามนี้มีหลายคนเดินเข้ามา จ้าวเผ่านำหน้า ด้านหลังเป็นผู้นำกองรักษาการณ์และซานเหิน ยังมีเป่ยหลิงกับผู้แข็งแกร่งลำดับหกและลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิต พวกเขากลับมาด้วยความอ่อนเพลีย บนตัวเปื้อนโลหิต
เพียงแต่ว่าก่อนเดินทางจำนวนของพวกเขาดูจะมากกว่านี้ ทว่ายามนี้กลับลดลง อีกทั้งบนตัวยังมีบาดแผล โดยเฉพาะเป่ยหลิง ใบหน้าขาวซีด ตรงหน้าอกมีคราบโลหิตจำนวนมาก
ในมือของทุกคนล้วนถือศีรษะที่ไร้โลหิตหยด
การกลับมาของพวกเขาทำให้ผู้คนในเผ่าส่งเสียงร้องด้วยความฮึกเหิม ก่อนหลีกทางให้คนเหล่านั้นตรงไปหาท่านปู่ เป่ยหลิงเห็นซูหมิง ทว่าเขาในยามนี้ไม่ได้เย็นชาเหมือนแต่ก่อน ถึงกระนั้นก็ยังคงเงียบขรึม เดินตามหลังท่านพ่อของเขาไป
หากเปรียบกับความเป็นตายของชนเผ่าแล้ว ความริษยาของเขายังไม่อาจสำคัญเท่า หากไม่มีชนเผ่า ผู้คนล้มตายหมด แล้วยังจะมีอะไรให้น่าริษยาอีกหรือ…
“ท่านปู่ พวกเรากระจายกำลังกันสังหารเผ่าภูผาดำที่ซุ่มอยู่รอบๆ หมดแล้ว ตอนนี้ด้านนอก…..น่าจะปลอดภัย อพยพกันได้แล้ว!”
ขบวนแถวตรงเข้าไปหาท่านปู่ จ้าวเผ่าเขาทมิฬโยนศีรษะมนุษย์สองคนไว้ด้านข้าง กล่าวเสียงทุ้ม ในคำพูดแฝงไว้ด้วยกลิ่นคาวเลือด ทุกคนที่อยู่ด้านหลังเขาโยนศีรษะมนุษย์เช่นเดียวกัน ในความเงียบขรึมแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร
ซูหมิงยืนอยู่ข้างท่านปู่ มองพวกจ้าวเผ่าอย่างเงียบๆ เขาเห็นความเหนื่อยล้าในตัวของทุกคน เห็นความเศร้าโศกซ่อนอยู่ภายใต้กลิ่นคาวเลือดและจิตสังหาร เดาไม่ยากว่าหลังจากท่านปู่กลับมาแล้ว ในขณะที่ทุกคนกำลังอพยพ จะต้องถูกเผ่าภูผาดำซุ่มโจมตีอย่างแน่นอน
สงครามครั้งนี้น่าเวทนายิ่งนัก ทำให้ผู้คนในเผ่าไม่อาจอพยพได้ จนกระทั่งสงครามครั้งแรกสิ้นสุดลง ท่านปู่จึงสั่งให้ไปเก็บกวาดพวกเผ่าภูผาดำที่ซุ่มอยู่ทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ถึงจะอพยพได้อย่างปลอดภัย
ถึงอย่างไรในชนเผ่าส่วนใหญ่ก็เป็นชาวเผ่าธรรมดา อีกทั้งยังมีสตรีและเด็กจำนวนไม่น้อย จะต้องปกป้องพวกเขาเอาไว้ให้ได้ เพราะนั้นคือความหวังและอนาคตของชนเผ่า
ท่านปู่พยักหน้า กวาดสายตามองทุกคนในเผ่า ยามนี้ไม่ว่าชายหญิงเด็กชรา ล้วนมองมาที่เขา ในแววตาของพวกเขาแฝงไว้ด้วยความหวัง
“ชาวเผ่าทุกคน…” ท่านปู่กล่าวเบาๆ เสียงของเขากระจายไปโดยรอบ เข้าไปในหูของทุกคน
“พวกเราไม่อยากจากบ้านจากเมือง…ไม่อยากจากแผ่นดินที่พวกเราอาศัยกันมาหลายยุคหลายสมัย พวกเราไม่อยากเป็นบริวารของเผ่าร่องลมนับแต่นี้…ทว่าเพื่ออนาคตของเผ่าเขาทมิฬ พวกเรา…จึงต้องทำเช่นนี้!
พวกเราต้องมีชีวิตต่อไป จะต้องมีชีวิตต่อไป! บอกรุ่นลูกรุ่นหลานและบอกตัวเองว่า สักวันหนึ่งพวกเราจะต้องกลับมาที่นี่ และสร้างครอบครัวของเราขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อวันนั้นมาถึง……พวกเราจะคืนความอัปยศให้กับเผ่าภูผาดำร้อยเท่าพันเท่า! ข้าเชื่อ แล้วพวกเจ้า…เชื่อหรือไม่!” ท่านปู่กล่าวตะโกนเสียงดัง
ชาวเผ่าทุกคนยามนี้กำลังโศกเศร้า พลันระเบิดเสียงร้องคำรามด้วยความอดกลั้น ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้ว่าชาวเผ่าเขาทมิฬจะมีไม่มาก ทว่าเสียงร้องของพวกเขากลับเป็นเสียงที่ดังที่สุดในชีวิตของทุกคน
“สักวันหนึ่ง…เผ่าเขาทมิฬของพวกเราจะกลับมา…แต่ตอนนี้ ต้องอพยพ!!”
ท่านปู่หลับตา ไม่อยากให้ผู้ใดได้เห็นความเสียใจในแววตา ก่อนสะบัดแขนเสื้อ ชาวเผ่าเขาทมิฬที่จัดขบวนเป็นที่เรียบร้อย ต่างช่วยกันประคองซึ่งกันและกัน ภายใต้การคุ้มกันจากนักรบหมาน พวกเขาจึงทยอยกันเคลื่อนย้ายออกจากดินแดนที่อาศัยมานานหลายร้อยปี มุ่งหน้าไกลออกไปอย่างสับสน
กลุ่มคนขบวนยาวค่อยๆ เคลื่อนตัวจากซากชนเผ่า เผ่าเขาทมิฬที่อยู่ด้านหลังของพวกเขายังมีควันดำพวยพุ่งบางๆ และมีเศษซากกองอยู่เต็มพื้น ดูรกร้างและน่าโศกเศร้า
มีเสียงสะอื้นไห้ดังมาจากกลุ่มคนไม่หยุดหย่อน เป็นของลาซูน้อย เด็กสาวที่กำลังหวาดกลัวและชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคน เหล่าชายหนุ่มในแถวขบวนกำลังปกป้องญาติพี่น้องของพวกเขา อุ้มเด็กน้อยที่กำลังสับสน เดินไปเงียบๆ น้ำตาไหลพราก ส่วนลาซูที่มีอายุมากหน่อย ยามนี้จูงมือญาติของพวกเขาด้วยความหวาดผวา หันกลับไปมองน้ำตารินไหล
มองทุกสิ่งที่คุ้นเคย ราวกับจะฝังภาพนี้ไว้ในส่วนลึกของความทรงจำชั่วนิรันดร์ กลัวว่าตนจะลืมเลือน…..ทางกลับบ้าน ทุกคนในขบวนล้วนหันกลับไปมองบ้านที่กำลังจะพรากจาก…
ในกลุ่มคนมีผู้อาวุโสชราท่านหนึ่ง เขาคือหนานซง สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ราวกับผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ยามนี้แบกสัมภาระอย่างง่ายๆ ไว้บนหลัง เดินอยู่ในกลุ่มคนอย่างสงบนิ่ง ดูไม่เตะตาแม้แต่น้อย
ยามนี้เที่ยงตรง แสงตะวันไม่ร้อนแรงมากนัก หิมะละลายบนพื้นสะท้อนแสงเงินทำให้แสบตา ทว่าต่อให้แสงจะแรงมากกว่านี้ ก็ไม่อาจห้ามให้ทุกคนหันกลับไปมองด้วยความเศร้าโศกและขมขื่นจากการพรากจากได้
บ้านอยู่ไกลออกไปเรื่อยๆ ภาพชนเผ่าเริ่มเลือนราง เห็นเพียงควันดำลอยสู่ฟ้าและซากปรักหักพังไม่ชัดเจนเท่านั้น ทว่าความงดงามที่เคยมีของชนเผ่า กลับฝังลึกอยู่ในใจของทุกคน พวกเขา…จะไม่มีวันลืม
ซูหมิงหันกลับไปมอง ทุกสิ่งในชนเผ่าฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างเหนียวแน่นเช่นเดียวกัน ที่นั่นมีวัยเด็ก มีความสุข มีการเติบโตของเขา ทุกอย่างเขาคุ้นเคย ทุกหย่อมหญ้าเขาไม่มีวันลืม ทุกสิ่งในนั้น…จะคงอยู่ในความทรงจำของเขาไปชั่วชิวิต
หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ คงไม่มีใครยอมจากบ้านจากเมืองที่คุ้นเคย ยอมย้ายไปอยู่ต่างถิ่นอย่างเผ่าร่องลม และกลายเป็นบริวารนับจากนี้ ทว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้เผ่าเขาทมิฬดำรงอยู่และสืบเชื้อสายต่อไปได้
เส้นทางแห่งนี้ยาวไกลยิ่งนัก บางครั้งอาจจะมีขรุขระไม่ราบเรียบ ทว่า…ก็ต้องเดินต่อไป
วิกฤติยังไม่สิ้นสุด ในทางตรงกันข้าม มันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้มีชนเผ่าเป็นที่กำบัง ทำให้ต่อต้านการโจมตีของเผ่าภูผาดำได้ในระลอกแรก ทว่ายามนี้กำลังอพยพ กลุ่มคนเดินเป็นขบวนยาว อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นชาวเผ่าธรรมดา ไม่อาจรับมือกับนักรบหมานได้
การอพยพครั้งนี้ จะต้องไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน……
หากเผ่าเขาทมิฬพ่ายแพ้ นักรบหมานตายตกจนสิ้น บุรุษทุกคนถูกสังหารหมู่ รวมถึงเด็กน้อยลาซู ขอแค่เป็นเพศชายก็ต้องถูกสังหารทิ้งทั้งหมด…เหลือไว้เพียงสตรีเท่านั้น พวกนางจะถูกพาตัวกลับไปเผ่าภูผาดำ แล้วกลายเป็นสิ่งของเหมือนทรัพย์สิน ประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือใช้เป็นแม่พันธุ์สืบสกุลเผ่าภูผาดำ และยอมถวายตัวรับใช้เผ่าภูผาดำด้วยความอัปยศไปชั่วชิวิต
การอพยพผู้คนหลายร้อยคนจำเป็นต้องใช้เวลา เพราะว่าในขบวนยังมีสตรีและลาซูจำนวนมาก ฤดูหนาวนี้ท่ามกลางความหนาวเหน็บ เสียงสะอื้นไห้ของพวกเขาค่อยๆ เบาลง แล้วแทนที่ด้วยความเงียบขรึม
พวกเขาไม่ทราบว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร บางทีเผ่าร่องลมอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่…….เพียงแต่ไม่มีใครทราบว่าตนจะมีชีวิตจนไปถึงเผ่าร่องลมหรือไม่…
ในขบวนมีชายหนุ่มหลายคน พวกเขาไม่มีกายหมาน ฉะนั้นจึงอุทิศตัวเพื่อชนเผ่าได้น้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วจะสนุกกับการเที่ยวเล่น เพียงแต่ว่าในครอบครัวของพวกเขาเคยมีนักรบหมานตายตกจากการต่อสู้ ดังนั้นการกระทำของพวกเขาจึงไม่ถือว่ามากเกินไป อีกทั้งก็ไม่มีใครใส่ใจ
ยามนี้ชายหนุ่มหลายสิบคนดูหวาดผวา มองเลิกลั่กอยู่ในกลุ่มคน อยากจะไปถึงเผ่าร่องลมให้เร็วที่สุด โดยรอบขบวนยาว มีนักรบหมานค่อยคุ้มกันด้วยความยึดมั่นและอ่อนเพลีย บ้างก็เข้าไปช่วยชายชราผู้อ่อนแอ ตรงหน้าสุดขบวนเป็นจ้าวเผ่าเขาทมิฬ สีหน้าของเขาหนักแน่น เดินไปเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง ด้านหลังของเขายังมีนักรบหมานอีกหลายคน ทุกคนล้วนตื่นตัวตลอดเวลา
สองข้างด้านหลังก็เป็นเช่นนี้ ท่านปู่เดินอยู่ท้ายสุด ถือไม้เท้ากระดูกสีขาว คอยสอดส่องโดยรอบอยู่ตอลดเวลา
เป่ยหลิงจูงมือเฉินซินอยู่ทางด้านขวาของขบวน เดินอย่างเงียบๆ ใบหน้าขาวซีด คราบโลหิตตรงหน้าอกมีมากขึ้นเล็กน้อย ทว่าเขากลับไม่ใส่ใจ
เหลยเฉิน อูลา และนักรบหมานคนอื่นๆ ล้วนเดินตามอยู่รอบขบวน ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ด้านซ้ายและขวาสองข้าง มีผู้นำกองรักษาการณ์และซานเหินรับผิดชอบ พวกเขาเดินตามอย่างเงียบๆ มือขวาของผู้นำกองรักษาการณ์ยังคงกำคันศรของตนตลอดเวลา หากมีใบไม้ปลิวไหว เขาจะปล่อยลูกศรเข้าใส่ทันที!
ในกลุ่มคนด้านหลังของเขามีผู้อาวุโสท่านหนึ่ง เขามักจะกวาดสายตามองผู้นำกองรักษาการณ์อยู่บ่อยครั้ง
ผู้อาวุโสท่านนี้ ซูหมิงรู้จัก เขาคือหนานซงผู้อารักขาเรือนเก็บสมุนไพร!
ซานเหินยังคงมีสีหน้าเย็นชาเหมือนแต่ก่อนทุกประการ ไม่มีใครทราบว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ บางครั้งเขาก็หรี่ตาฉายแววซับซ้อน ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
ซูหมิงเดินตามรูปขบวนอพยพ ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของพวกเขา เสียงร่ำไห้ค่อยๆ กลายเป็นเงียบสงบ ในใจของเขาเจ็บปวดยิ่งนัก เห็นใบหน้าคนรู้จักมากมาย เห็นความหวาดกลัวของพวกเขา ซูหมิงพลันกำหมัดแน่น
“ปกป้องชนเผ่า สู้เพื่อชนเผ่า” ซูหมิงกล่าวพึมพำ ตรงจุดที่เขาอยู่เป็นทางขวาของขบวน ถัดไปข้างหน้าไม่ไกลนักเป็นซานเหิน
ตรงจุดนี้เขาไม่ได้เป็นคนเลือก ทุกอย่างอยู่ภายใต้คำสั่งของท่านปู่ ยามนี้ซูหมิงอุ้มเด็กหญิงอายุราวห้าหกขวบตรงหน้าอก นางมีชื่อว่าถงถง เด็กน้อยกำลังนอนหลับ ทว่าขนตากลับชุ่มไปด้วยน้ำตา
บิดาของนางสู้รบจนตัวตาย ส่วนมารดาก็ตายจากไปเมื่อคืนวาน เหลือเพียงนางคนเดียวเท่านั้น
“ท่านแม่…ท่านพ่อ…ผีผี…” ขณะเด็กผู้หญิงกำลังนอนหลับ ตัวนางสั่นเทาราวกับฝันร้าย ในขณะเดียวกันมีน้ำตาไหลริน จับเสื้อของซูหมิงเอาไว้แน่น
ซูหมิงทราบดี ผีผีที่ว่านี้เป็นสัตว์เลี้ยงของนาง น่ารักอย่างยิ่ง นางมักจะกอดมันเป็นประจำ
“ถงถงเด็กดี…” ซูหมิงตบหลังนางเบาๆ นัยน์ตาฉายแววเศร้าโศก เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเขาได้กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว……