Skip to content

สู่วิถีอสุรา 86

ตอนที่ 86 การล่าสังหารจากเผ่าภูผาดำ

ลมเหนือครืนครืน พัดเกล็ดหิมะบนผืนป่าลอยขึ้นสั่นไหวท่ามกลางพายุ คลับคล้ายไม่มีรากฐาน ไม่รู้ว่าควรจะไปที่แห่งใด กลุ่มคนก็เหมือนกับหิมะเหล่านี้ กำลังออกห่างจากชนเผ่าที่พวกเขาอาศัยมาหลายยุคหลายสมัย เดินเงียบๆ อยู่ในป่าทึบ

ไม่มีใครกล่าวสิ่งใด แม้แต่เสียงสะอื้นไห้ของลาซูน้อยเหล่านั้นยังเงียบลงอย่างรวดเร็ว บางทีญาติพี่น้องอาจจะปลอบขวัญพวกเขา หรือบางทีพวกเขาอาจจะกัดฟัน นำความโศกเศร้าเปลี่ยนเป็นความแน่วแน่และเคียดแค้น

ผู้คนหลายร้อยส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา มีชรา มีอ่อนแอ มีป่วยและพิการ ฉะนั้นการเดินทางจึงไม่อาจเร่งรีบได้ อีกทั้งยังมีลมหนาวทิ่มแทงกระดูก หิมะบนพื้นทับถมกันหนา ทำให้ความเร็วช้าลงไปอีก

นักรบหมานเผ่าเขาทมิฬที่โอบล้อมอยู่รอบขบวน ล้วนตื่นตัวกันตลอดเวลา ภายในแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศก พวกเขาไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย เพราะสงครามเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หากพวกเขาตายตก ชาวเผ่าที่ไม่มีใครปกป้องย่อมเปราะบางลงมาก

ซูหมิงอุ้มเด็กหญิงในอ้อมอก นางจับเสื้อเขาเอาไว้ ราวกับหนาวเหน็บมากท่ามกลางลมหนาว แต่ที่หนาวกว่าก็คือ ความฝันของนาง…….ทว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะไออุ่นจากอ้อมอกของซูหมิง จึงทำให้เด็กหญิงค่อยๆ สงบลง เพียงแต่น้ำตาตรงหางตายังคงไหลบ้างเป็นบางครั้ง

ซูหมิงอุ้มเด็กหญิงอย่างเบามือ เดินเหยียบพื้นหิมะไปเบื้องหน้า กวาดสายตาไปรอบๆ ตลอดเวลา ในตอนที่เขาเห็นคนรู้จักในเผ่าเหล่านั้น เขามองเห็นความเศร้าโศก เห็นความอาลัยอาวรณ์และทำใจมิได้ อีกทั้งยังเห็นความยึดมั่นและแน่วแน่

เขากัดฟัน นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้น เดินไปเบื้องหน้าอย่างเงียบขรึมทีละก้าว บ้างก็เข้าไปช่วยประคองผู้อาวุโสเป็นบางครั้ง ช่วยพวกเขาที่กำลังตัวสั่นเทาให้เดินเร็วขึ้นบนพื้นหิมะ

“หากเดินข้ามคืนไม่หยุดด้วยความเร็วเช่นนี้ อย่างเร็วสุดน่าจะใช้เวลาสามวันกว่าจะถึงเผ่าร่องลม สามวัน……ไม่รู้ว่าไปถึงที่นั่นแล้ว จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่……แล้วจะเหลือเท่าไร……” หัวใจซูหมิงกำลังมีโลหิตไหลหยด เขาหวาดกลัว สิ่งที่กลัวไม่ใช่ความปลอดภัยของตัวเอง แต่เป็นเพราะใบหน้าของคนรู้จักเหล่านี้ สามวันให้หลัง จะมีกี่คนที่ไม่ได้เห็นหน้าอีก

ซูหมิงทราบดี เพียงแต่ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ท่านปู่ก็ลองมาหมดแล้วเพื่อให้ชาวเผ่าเดินทางไปถึงเผ่าร่องลมได้เร็วขึ้น แม้งูเหลือมทมิฬจะรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจแบกรับคนได้มากมายขนาดนั้น และที่สำคัญคือสภาพอากาศ คนธรรมดาไม่อาจทนรับไหวแน่นอน จำเป็นต้องมีผู้แข็งแกร่งอย่างผู้นำกองรักษาการณ์หลายคนคอยคุ้มกัน ทว่าเผ่าในตอนนี้ หากแบ่งผู้แข็งแกร่งไปอีก คนที่เหลืออยู่ ก็คงยากจะเหลือรอด

“ท่านแม่…….” ขณะกำลังขบคิด เด็กหญิงในอ้อมอกของซูหมิง กล่าวพึมพำอยู่ในความฝัน กอดคอเขาเอาไว้แน่น ราวกับหากปล่อยจะรู้สึกไม่ปลอดภัย

‘ข้าควรจะกลับมาจริงๆ!’ ซูหมิงตบหลังเด็กหญิงในอ้อมอกเบาๆ

เวลาผ่านไป ในช่วงที่ท้องฟ้าใกล้เข้าสู่ยามโพล้เพล้ ผู้อพยพเผ่าเขาทมิฬจากบ้านมาไกล กำลังกัดฟันเดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในป่าลึกท่ามกลางความหนาวเหน็บ ทันใดนั้น ด้านหลังขบวนมีเสียงหวีดแหลมสะเทือนฟ้าดังขึ้น!

เสียงนกหวีดแหลมแสบแก้วหูยิ่งนัก จากนั้นตามด้วยเสียงคำรามอย่างฮึกเหิม ขณะเดียวกัน พบว่าในป่าทึบด้านหลังไกลออกไปมีเงาคนหลายคนพุ่งทะยานเข้ามา ในชั่วพริบตานั้น แทบทุกคนในเผ่าเขาทมิฬล้วนชะงักงัน แววตาท่านปู่มีประกายแสงเย็นชา นักรบหมานข้างกาย รวมถึงพวกผู้นำกองรักษาการณ์ ยามนี้สีหน้าเผยจิตสังหาร

พวกชาวเผ่าล้วนตัวสั่นเทา ถูกเงามืดแห่งความตายและน่าสะพรึงเข้าโอบล้อม พวกเขาหวาดกลัวจนต้องร่ำไห้ราวกับกำลังอลหม่าน

“คนอื่นอย่าขยับ ปกป้องขบวนให้เดินต่อไป ส่วนคนที่คุ้มกันอยู่ด้านหลังสังหารศัตรูกับข้า!” ท่านปู่ตะโกนออกคำสั่ง

ซูหมิงส่งเด็กหญิงให้ชาวเผ่าธรรมดาข้างๆ อุ้มแทน ขณะกำลังจะขยับ พลันได้ยินเสียงของท่านปู่ จึงชะงักฝีเท้า กัดฟันเดินคุ้มกันชาวเผ่าต่อไปภายใต้การนำของจ้าวเผ่า ด้านหลังของเขามีท่านปู่และนักรบหมานเจ็ดคนยืนอยู่ มองดูแล้วเหมือนกับกำแพงที่ขวางศัตรูเอาไว้!

เสียงคำรามดังก้องกังวาน ในป่าทึบด้านหลังพลันมีคนจากเผ่าภูผาดำทะยานออกมายี่สิบกว่าคน จำนวนนักรบหมานมากมายเช่นนี้ ทำให้ซูหมิงตื่นตะลึง เป็นที่ทราบดีว่าเผ่าเขาทมิฬมีนักรบหมานเพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้น ทว่ายามนี้ เผ่าภูผาดำกลับซุ่มโจมตีโดยใช้คนมากถึงยี่สิบคน นี่ทำให้เขาเหลือเชื่อ

นักรบหมานเหล่านั้น ส่วนใหญ่อยู่ลำดับสี่และห้าขั้นรวมโลหิต มีเพียงแค่ห้าคนเท่านั้นที่อยู่ลำดับหก อีกสามคนอยู่ลำดับเจ็ด ไม่มีลำดับแปด ทว่าตรงหน้าสุดพวกเขา กลับมีชายร่างกำยำสวมเสื้อคลุมยาวสีดำสองคน เสื้อผ้าของคนทั้งสองต่างจากของเผ่าภูผาดำโดยสิ้นเชิง แต่กลับมีกลิ่นอายพลังโลหิตมหาศาลจนทำให้ซูหมิงต้องหรี่ตา

พลังโลหิตเช่นนี้ อยู่เหนือกว่าผู้นำกองรักษาการณ์และซานเหิน อยู่เหนือกว่าจ้าวเผ่า ทั้งตัวอัดแน่นไปด้วยโลหิตจำนวนมาก ไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกเขาจะเป็นหมานระดับปลาย ประมาณลำดับสิบขั้นรวมโลหิต!

ซูหมิงกลับมองออก ทั้งสองคนนี้แววตามืดสลัวดำ ต่างกับคนปกติอย่างชัดเจน ทว่าการเคลื่อนไหวกลับปราดเปรียวยิ่งนัก ภายใต้การนำของทั้งสอง นักรบหมานภูผาดำยี่สิบกว่าคนพุ่งทะยานเข้ามาหาพวกท่านปู่อย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยจิตสังหารกระหายโลหิตและความฮึกเหิม

พวกเขาแผดเสียงคำรามต่อเนื่อง เหล่าชาวเผ่าธรรมดาที่ได้ยินล้วนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“รีบไป!” ท่านปู่หันหน้ากลับไปออกคำสั่ง ก่อนหมุนตัวเดินเข้าหานักรบหมานภูผาดำที่ใกล้เข้ามา สะบัดแขนเสื้อ พายุทมิฬลอยขึ้นหมุนวนรอบแปดทิศ ทำให้หิมะบนพื้นจำนวนมากลอยขึ้น แล้วพุ่งเข้าใส่นักรบหมานภูผาดำยี่สิบกว่าคน

ชายร่างกำยำเสื้อคลุมดำทั้งสอง มีเป้าหมายที่ชัดเจน พวกเขาไม่สนใจผู้อื่น ระเบิดเส้นเลือดขึ้นทั้งตัว เปล่งแสงโลหิตสว่างจ้า ทะยานเข้าไปในลมทมิฬ มีเสียงตึงตึงดังกังวาน จากนั้นทะลวงตรงเข้าหาท่านปู่

นักรบหมานที่เหลือถูกพายุทมิฬซัดสาดจนกระเด็น มีราวเจ็ดแปดคนที่กระอักโลหิต ตัวสั่นเทาแล้วระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อจำนวนมาก ส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว

การสังหารเริ่มขึ้นแล้ว!

นอกจากท่านปู่ นักรบหมานเขาทมิฬที่คุ้มกันอยู่ด้านหลังมีเพียงแค่เจ็ดคนเท่านั้น ทว่าสีหน้าพวกเขากลับเด็ดเดี่ยว ไม่มีความคิดถอยแม้แต่น้อย ด้านหลังเป็นชาวเผ่า เป็นญาติพี่น้องของพวกเขา ดังนั้นจะถอยไม่ได้!

ทั้งเจ็ดคนแหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้าอย่างเศร้าโศกและเด็ดเดี่ยว ก่อนพุ่งเข้าใส่นักรบหมานภูผาดำสิบกว่าคนที่ใกล้เข้ามา พวกเขาต้องหยุดคนเหล่านี้เอาไว้ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม เพื่อซื้อเวลาให้กับชาวเผ่าด้านหลัง!

ขั้นพลังของพวกเขาไม่สูงนัก คนที่แข็งแกร่งที่สุดคือลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิต ส่วนคนที่เหลือส่วนใหญ่อยู่ประมาณลำดับห้า ทว่ายามนี้ ในตัวของพวกเขากลับมีพลังที่ไม่อาจกล่าวได้ พลังนี้คือความต้องการปกป้องครอบครัว ปกป้องชาวเผ่า แม้ตายก็ไม่อาจดับสูญ แม้ร่างแหลกสลายก็ห้ามศัตรูบุกเข้ามาแม้เพียงหนึ่งก้าว!

นี่คือกำแพงมนุษย์ที่สร้างจากเลือดเนื้อ คือหุบเขาที่วาดด้วยชีวิต คือความบ้าบิ่นที่สร้างขึ้นด้วยวิญญาณของพวกเขา นี่คือทางเลือกของพวกเขาทั้งหมด!

ซูหมิงดวงตาแดงก่ำ ไม่เพียงแค่เขา นักรบหมานรอบขบวนส่วนใหญ่เริ่มคลุ้มคลั่ง กระทั่งชาวเผ่าธรรมดา ยังมีหลายคนที่แผดเสียงคำราม พวกเขาอยากต่อสู้!

“อย่าไปมอง หน้าที่ของพวกเจ้าคือคุ้มกันขบวนอพยพ พวกเรา…..ไปได้!”

ขณะที่ซูหมิงและคนอื่นๆ เหมือนจะคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ อยากกลับไปร่วมต่อสู้ จ้าวเผ่าที่นำขบวนอยู่หน้าสุดนัยน์ตาฉายแววเด็ดขาด เพียงแต่ลึกๆ แล้วกลับแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้า เขาคือจ้าวเผ่าเขาทมิฬ หน้าที่ของเขาคือทำให้ชาวเผ่ามีชีวิตรอดมากที่สุด และให้เผ่าเขาทมิฬดำรงอยู่ต่อไป…

ซูหมิงกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำ ต้องลดจิตสังหารลง มองเหล่านักรบหมานเจ็ดคนด้านหลังห่างไปไกลหลายสิบจั้ง กำลังถูกนักรบหมานภูผาดำสิบกว่าคนพุ่งเข้าใส่ประดุจน้ำหลาก ตามด้วยเสียงดังสนั่น

ซูหมิงเห็นกับตาเลยว่านับรบหมานคนหนึ่งกระอักโลหิต แขนขวาระเบิดกระจาย ร่างซวนเซถอยไปหลายก้าวแล้วหยุดลง แม้ขาทั้งสองข้างจะใช้การไม่ได้ แต่เขากลับแผดเสียงคำรามใช้ศีรษะพุ่งชนเข้าใส่นักรบหมานภูผาดำด้วยความฮึกเหิมและบ้าเลือด ก่อนใช้ปากกัดคอ ฉีกเนื้อของนักรบภูผาดำคนนั้น

ชายฉกรรจ์เผ่าภูผาดำมีสีหน้าตื่นกลัว ตรงคอเป็นรอยแผลฉีก กรีดร้องอย่างน่าเวทนา พร้อมกับใช้หมัดชกเข้าไปยังหน้าอกของนักรบหมานเขาทมิฬ อีกฝ่ายกระอักโลหิต ทว่ากลับเคี้ยวชิ้นเนื้อคอด้วยความเหี้ยมโหด สีหน้าป่าเถื่อน การกระทำอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ทำให้ชายฉกรรจ์เผ่าภูผาดำหวาดผวา

ยามนี้ นักรบหมานเขาทมิฬที่กินเศษเนื้อลงไป พลันหันกลับไปมองขบวนอพยพแวบหนึ่ง เขาเห็นซูหมิงอยู่ในนั้น มุมปากเผยรอยยิ้มอบอุ่น คนผู้นี้นั้นเป็นชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบปี ในสายตาของเขา ซูหมิงยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง รอยยิ้มนั้นมีความเมตตาของผู้ใหญ่ ต่างจากความป่าเถื่อนเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง

ชายคนนั้นหันกลับมา หลับตาลง เส้นเลือดพลันปะทุขึ้นทั้งตัว ส่งผลไปทั้งตัว จากนั้นร่างกายของเขาพลันระเบิดเสียงดังสนั่น ในช่วงที่ระเบิดตัวเอง เขาอยู่ใกล้กับ

ชายฉกรรจ์เผ่าภูผาดำที่ตนกัดคอมากที่สุด แววตาหวาดกลัว คิดจะถอยทว่าก็สายไปเสียแล้ว

นี่คือ…การระเบิดเส้นเลือด! มันเป็นการใช้เลือดเนื้อเพื่อเปล่งเสียงสุดท้ายของชีวิต

เสียงนี้บอกกับทุกคนในเผ่าภูผาดำที่เข้ามาโจมตีว่า หากคิดจะทำลายเผ่าเขาทมิฬ พวกเจ้าก็ต้องแลกกับสิ่งที่ยากจะจินตนาการได้!

เสียงระเบิดดังกึกก้อง ชายฉกรรจ์เผ่าภูผาดำกระอักโลหิต แขนขาดทั้งสองข้างสะบั้น ขณะซวนเซถอยหลัง เขากลับเสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้ทั้งหมด หัวใจของเขากำลังสั่นเทาและหวาดกลัว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version