ตอนที่ 859 เป็นใคร?
“ตอนที่ในความทรงจำเจ้ามีร่างเงาข้าลอยขึ้นมา เจ้าจะนึกถึงข้าใหม่อีกครั้ง และจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าอย่างแท้จริง”
ซูหมิงยกมือขวากดตรงระหว่างคิ้วเยวี่ยหงปัง
อาการบาดเจ็บของเยวี่ยหงปังฟื้นฟูกลับมาทันที ทว่านัยน์ตากลับสับสน ค่อยๆ ล้มลงบนพื้น
ซูหมิงสะบัดมือขวา สายลมนุ่มนวลแผ่กระจายไปรอบๆ โดยมีเขาเป็นใจกลาง ทุกจุดที่พัดผ่าน เหมือนระหว่างฟ้าดินไม่มีที่ใดขวางสายลมนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาหรือว่าถ้ำ ทุกที่ที่มีผู้ฝึกฌานอยู่ล้วนเหมือนว่างเปล่า
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกฌานที่สัมผัสสายลมคมกริบ ไม่ว่าขั้นพลังใดก็ล้วนตัวสั่นทันใด นัยน์ตาฉายแววสับสน ภาพจำทุกอย่างเกี่ยวกับซูหมิงในความทรงจำหายไปกับสายลม
หลังจากผู้ฝึกฌานหมดสติไปทีละคน พริบตาเดียวแปดทิศรอบเทือกเขานี้ก็มีเขายืนอยู่เพียงคนเดียว
สายลมยังคงกระจายต่อไปทั้งดาวแดงเพลิงโดยมีที่นี่เป็นศูนย์กลาง นี่คือพายุลบความทรงจำ ลบความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับซูหมิง ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนนั้น เขาก็ไม่ได้อยู่บนดาวแดงเพลิง
กระทั่งคนที่ตายไปก่อนหน้านี้ วิญญาณที่ลอยล่องอยู่กลางฟ้าดินล้วนถูกลบเสี้ยวความทรงจำให้ว่างเปล่า
ภายใต้พายุที่ม้วนตลบไปโดยรอบไม่หยุดหย่อน ซูหมิงเดินหน้าขึ้นฟ้าหนึ่งก้าว หนึ่งก้าวนี้ร่างเขาหายไป ก่อนมายืนอยู่บนภูเขาเล็กลูกหนึ่ง
ยอดเขาเล็กมีบ้านที่มุงด้วยหญ้าหลังหนึ่ง ภายในมีหญิงชรานั่งขัดสมาธิอยู่ ยามนี้นางลืมตาขึ้นมองประตูบ้านด้วยสีหน้ามัวหมอง ราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
ซูหมิงเดินมาทีละก้าวจนกระทั่งถึงบ้านที่มุงด้วยหญ้า สายลมที่พัดกระหน่ำก่อนหน้านี้ลุกลามไปมากกว่าครึ่งดาวแดงเพลิงแล้ว ราวๆ อีกไม่กี่ลมหายใจก็จะปกคลุมทั้งหมด
เกิดเสียงดังแอ๊ดขึ้นมา ซูหมิงผลักประตูบ้านที่มุงด้วยหญ้า ทว่าไม่ได้เข้าไปข้างใน เขายืนอยู่นอกบ้าน สบสายตากับหญิงชราคนนั้น
“ในที่สุดเจ้าก็ยังมา” หญิงชราคือเหมยหลัน และก็เป็นตัวต้นเหตุที่สี่มหาโลกแท้จริงดูดความทรงจำเอาไปทำเป็นไข่มุกโลหิต
“มาแล้ว” ซูหมิงกล่าวเรียบนิ่งพลางเดินเข้าไปในบ้าน แล้วนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ
“ให้ข้าไปสบายๆ ด้วยเถอะ ขอบคุณ” หญิงชราหลับตาลง กล่าวจบก็แน่นิ่งไป
ห้าลมหายใจต่อมา ในที่สุดพายุก็ปกคลุมทั้งดาวแดงเพลิง ทำให้ผู้ฝึกฌานทุกคนบนดาวนี้ถูกลบความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับซูหมิงไป นี่คือการลบที่จะไม่มีวันฟื้นคืนกลับมาอีก
ดาวแดงเพลิงในความทรงจำคือจุดเริ่มต้นของเขาในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต ฉะนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ลึกลับมหัศจรรย์อยู่บ้าง อย่างเช่นใช้ความทรงจำของคนที่นี่รวมออกมาเป็นไข่มุกโลหิตได้ อีกทั้งเมื่อซูหมิงออกจากดาวแดงเพลิง คนที่เคยเห็นเขาเหล่านี้จะไม่อาจถูกใครรวมความทรงจำสร้างเป็นไข่มุกโลหิตได้อีก อภินิหารวิชานี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังแห่งเจ้าปกครองโลก ความอัศจรรย์จึงไม่อาจบรรยาย
หลังจากพายุปกคลุมทั้งดาวแดงเพลิงและค่อยๆ หายไปแล้ว เมื่อดาวแดงเพลิงกลับมาสงบอีกครั้ง ผู้ฝึกฌานทั้งหมดหลับใหล เขาเดินออกจากกระท่อม มองดาวแดงเพลิงเป็นครั้งสุดท้ายแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวค่อยๆ เดินขึ้นฟ้าไป
รอบตัวเขาปรากฏโลงศพสีแดงฉานขึ้นทีละน้อย ตัวเขายืนอยู่บนโลงศพ กำลังมุ่งหน้าไปยังความว่างเปล่า มีสายรุ้งยาวสองสายบินขึ้นจากพื้นดิน หนึ่งคือชื่อหั่วโหว อีกหนึ่งคือกระเรียนขนร่วง พวกเขาติดตามซูหมิงไป และหายไปในความว่างเปล่าพร้อมกัน
“ย่ากระเรียนมันเถอะ ไอ้พวกบัดซบนี่ ข้าซ่อนเอาไว้หนึ่งหมื่นเจ็ดพันกว่าที่ ไม่อยากเชื่อว่าจะมีหินผลึกสองที่หายไป!
ข้าแค้นนัก ดูแล้วจากนี้คงจะซ่อนหินผลึกไว้ไม่ได้อีก ไม่ปลอดภัยเลย หายง่ายจริงๆ ซูหมิงข้าปวดใจ ข้าปวดใจมาก!” กระเรียนขนร่วงมีสีหน้าเจ็บปวดถึงขีดสุด ดูจากสีหน้าไม่เหมือนแสร้งทำ แต่เจ็บปวดถึงขีดสุดจริงๆ
จนกระทั่งซูหมิงจากไปแล้ว กระเรียนขนร่วงก็ยังมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก มีท่าทีเศร้าเสียใจเหมือนเสียสมบัติล้ำค่าที่สุดในชีวิตไป
คล้อยหลังซูหมิงจากไปสิบลมหายใจ คนที่ลืมตาขึ้นเป็นคนแรกคือเยวี่ยหงปัง แววตาเขาสับสน เหมือนว่าเมื่อครู่จะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ทว่าพอนึกดีๆ แล้วกลับมีร่างเงาคนคนหนึ่งหายไป
เขานึกไม่ออกว่าร่างเงารางเลือนคนนี้เป็นใคร ตอนที่ก้มหน้าลง เขาเห็นศีรษะของจ้าวกว่างโหย่ว
ต่อมาก็มีคนตื่นขึ้นเรื่อยๆ ทว่าทุกคนเหมือนกับเยวี่ยหงปัง ในความทรงจำพวกเขาหายไปหนึ่งคนและหนึ่งนาม
บนยอดเขาลูกเล็ก กลางกระท่อมหลังนั้น หญิงชราที่นั่งขัดสมาธิอยู่ค่อยๆ ลืมตา นัยน์ตามีความสับสน ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเบาๆ
“นึกไม่ออกแล้ว”
นางยังไม่ตาย
ดาวแดงเพลิงยังคงมีวงโคจรพิเศษเฉพาะ มันยังคงหมุนโคจรต่อไปช้าๆ เพียงแต่ว่าความทรงจำของทุกคนถูกลบหายไปช่วงหนึ่งชั่วนิรันดร์ เหมือนอย่างที่ซูหมิงกล่าวไว้กับเยวี่ยหงปังก่อนหน้านี้ หากเขานึกออก เขาจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของซูหมิงอย่างแท้จริง
หากเขานึกไม่ออก ทุกอย่างก็จะหายไป
………..
กลางฟ้ากระจ่างดาว ซูหมิงหลับตานั่งฌานอยู่บนโลงศพสีแดง เวลาค่อยๆ ผ่านไป หนึ่งปี สองปี สามปี จนถึงห้าปี
ในห้าปีนี้ ซูหมิงกำลังมุ่งหน้าไปสู่ดาวทมิฬอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็อาศัยพลังจากวงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายในพริบตา ทำให้ความเร็วเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย
ตอนนี้เกือบจะถึงขอบนอกของดาวทมิฬแล้ว อีกสักระยะหนึ่งก็จะเข้าไปในพื้นที่ดาวทมิฬ ด้านเวลาเร็วกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้เล็กน้อย
ไข่มุกโลหิตสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว จึงไม่มีใครตามหาร่องรอยเขาเจอ บวกกับกระเรียนขนร่วงผสานรวมกับวงแหวนอาคมผนึกจิต จึงทำให้ผู้อื่นไม่รู้ตำแหน่งเขา
บางทีคนที่พบซูหมิงอาจมีเพียงดวงจิตของผู้กุมชะตาเกิดดับที่ปกคลุมทั้งเขตดาราวงแหวนบูรพา ทว่าตลอดทางมานี้ซูหมิงไม่เจอกับผู้รักษาการณ์เลย และก็ไม่ได้ยินสี่มหาโลกแท้จริงเอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับตนด้วย
ทุกอย่างนี้ เขามีคำตอบในใจแล้ว
ในกลุ่มขุมอำนาจรักษาการณ์ของโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ ซูหมิงสังหารเต้าเหรินไปแล้วและแสดงความแกร่งให้เห็น หนำซ้ำยังรอดจากการล่าสังหารของผู้กุมชะตาเกิดดับ กระทั่งเหนี่ยวนำให้ฟ้ากระจ่างดาวสั่นสะเทือน
เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าตนเป็นใคร ต่อให้เต้าเหรินที่จำตนได้ตายไปแล้ว ทว่าอู่ลี่จื่อยังอยู่ โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์จะต้องรู้แน่ว่าตนก็คือโม่ซูคนที่พวกเขาล่าสังหารในตอนนั้น
‘ยอมรับตัวตนของข้าอยู่กลายๆ อย่างนั้นหรือ’ ซูหมิงลืมตาขึ้นจากสมาธิ
‘หรือว่ากำลังรวบรวมพายุลูกใหม่ขึ้น…ไม่ว่าอย่างไร เรื่องในอดีตระหว่างข้ากับสี่มหาโลกแท้จริงก็ยังไม่จบลง’ ซูหมิงหลับตาลงอีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ถึงบอกว่าเขาหลับตา แต่ข้างหูกลับไม่เงียบสงบ ห้าปีมานี้ กระเรียนขนร่วงบ่นจนเขาเข้าใจจุดแข็งของมันแล้ว
“ข้าปวดใจ…ท่านกระเรียนผู้นี้ปวดใจ ซูหมิง ข้าปวดใจมาก ข้าซ่อนไว้ดีขนาดนั้น เจ้าว่าเพราะเหตุใดถึงหายไปสองที่ล่ะ…หินผลึกทั้งหมดเก้าก้อนหายไปแล้ว…” เสียงกระเรียนขนร่วงแว่วมาเหมือนกับทุบหน้าอกด้วยค้อน
ชื่อหั่วโหวหลับตา แสร้งทำไม่ได้ยิน
“ท่านกระเรียนผู้น่าสงสารคนนี้จะต้องประหยัดหินผลึกที่วิ่งเต้นรวบรวมมาไปชั่วชีวิต น่าสงสารที่ข้าระวังมาตลอดหลายปี ทว่า…เหตุใดมันถึงหายไปแบบนี้ล่ะ…ข้ารับความจริงไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่หินผลึกหายไป ข้าปวดใจ…”
“ซูหมิง ข้าเจ็บปวดใจจนเป็นถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าจะไม่สนใจหน่อยรึ?” บ่นอยู่นาน กระเรียนขนร่วงก็ยังไม่รู้สึกปากแห้ง มันมองซูหมิงตาปริบๆ
ซูหมิงไม่สนใจแม้แต่น้อย
“ซูหมิง ตอนนั้นข้าเผาวิญญาณเพื่อเจ้า เจ้าติดหินผลึกข้าหนึ่งล้านก้อน เจ้าๆๆ…ข้าปวดใจจะแย่อยู่แล้ว ต้องได้รับการปลอบใจ ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะไม่สนใจข้า…ข้าปวดใจ…”
“ห้าปีมานี้ข้าให้หินผลึกเจ้าไปแปดสิบหกก้อนแล้ว!” ซูหมิงขมวดคิ้ว ลืมตาขึ้นถลึงตามองกระเรียนขนร่วงอย่างเหี้ยมโหดแวบหนึ่ง
เห็นซูหมิงตอบกลับ กระเรียนขนร่วงก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที มันไม่กลัวซูหมิงพูด แต่กลัวซูหมิงเงียบตลอด ตอนนี้ไม่เพียงกระปรี้กระเปร่า แต่ยังเปี่ยมล้นไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าเตรียมจะต่อปากต่อคำกับซูหมิง
“นั่นมันคนละเรื่องกัน เจ้าให้ข้าก็ถือว่าให้ไปแล้ว ทว่าที่ข้าทำหายมันจะหายไปตลอดกาลนี่ ต่อให้ภายภาคหน้าท่านกระเรียนผู้นี้มีหินผลึกหนึ่งร้อยล้านก้อน แต่ว่า…ความจริงข้าควรจะมีทั้งหมดหนึ่งร้อยล้านกับอีกเก้าก้อน” กระเรียนขนร่วงกุมหน้าอกตัวเอง จากสีหน้าจะเห็นว่าห้าปีมานี้มันยังไม่หายกลุ้มกับปัญญาข้อนี้
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปชิงอีกเก้าก้อนมา” ซูหมิงระงับความรำคาญกระเรียนที่ระทมทุกข์มาห้าปีเอาไว้ในใจ แล้วกล่าวราบเรียบ
“แต่ชิงมาแล้ว ข้าก็ยังทำหายไปอีกเก้าก้อนอยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปขโมยมา”
“ถึงขโมยมันก็ยังหายอยู่ดีนา”
“ไปเก็บมา!”
“ไปเก็บที่ใด? ต่อให้เก็บมาแล้วมันก็ยังหายอยู่ดีนี่…” กระเรียนขนร่วงมีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้
“เช่นนั้นเจ้าว่าควรจะทำอย่างไร?” ซูหมิงถอนหายใจยาว เขามองออกแล้วว่าห้าปีมานี้มันไม่ได้โวยวายก่อกวนอย่างไร้เหตุผล แต่ถูกปัญหานี้รบกวนใจจริงๆ สำหรับกระเรียนขนร่วงที่ออกมาแล้วไม่เห็นหินผลึกก็นับว่าหายไป ทำหายไปเก้าก้อนถือว่าเป็นเคราะห์ร้ายสำหรับมัน
“พวกเรากลับดาวแดงเพลิงกัน ข้าต้องหาอีกรอบ ข้าสาบานว่าจะหาคนที่ขโมยหินผลึกข้าไปให้เจอให้ได้” กระเรียนขนร่วงกัดฟัน
“พวกเราใกล้จะถึงดาวทมิฬแล้ว” ซูหมิงถอนหายใจอีกครั้ง
“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าไปดาวทมิฬครั้งนี้ข้าจะเสียหินผลึก ลางสังหรณ์นี้เด่นชัดมาก ชัดมากจริงๆ ยิ่งใกล้ดาวทมิฬเท่าไรมันก็ยิ่งเด่นชัดจนข้ารับไม่ไหว…” กระเรียนขนร่วงพยายามกล่าวอย่างออกรสสุดฤทธิ์ มันไม่มีลางสังหรณ์อะไรทั้งนั้น เพียงแต่ตอนนี้มันไม่รู้ว่าคำพูดมั่วซั่วของมัน จะกลายเป็นความปวดใจที่ทำให้มันคลุ้มคลั่งไปตลอดชีวิตในอีกไม่นาน
“…อืม? นั่นใคร กลิ่นอายพลังคุ้นมาก” กล่าวไปกล่าวมากระเรียนขนร่วงก็พลันตะลึงงัน อุทานเสียงเบา มันที่หลอมรวมกับวงแหวนอาคมผนึกจิตสามารถสัมผัสไปได้ไกลมาก
นัยน์ตาซูหมิงเพ่งมอง จิตสัมผัสหลอมรวมเข้าในวงแหวนอาคมผนึกจิต ฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่พลันลอยขึ้นมาในความคิดอย่างชัดเจน ห่างจากที่นี่ไปค่อนข้างไกล เขาเห็น…สัตว์ร้ายลักษณะงูตัวหนึ่ง ร่างกำลังเน่าเปื่อยแต่ยังไม่ตาย ทั่วร่างอบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ กำลังดิ้นรนเดินหน้าไปอยู่ ดูจากท่าทางแล้วเกือบจะหมดลมหายใจ มาถึงปลายทางของชีวิตแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานก็จะตายลง
ด้านหลังมันมีผู้ฝึกฌานเกือบร้อยเหยียบอยู่บนหลังผีเสื้อกลางคืนหลายตัว กำลังส่งเสียงร้องพลางไล่ล่าตามไป ผู้ฝึกฌานเหล่านี้สวมอาภรณ์ขาดวิ่น แต่นัยน์ตากลับเป็นประกายดุร้าย คนตรงหน้าสุดเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง นางรูปร่างผอมเล็ก บนใบหน้ามีคราบสกปรกจึงมองไม่เห็นรูปลักษณ์ ทว่านางเร็วที่สุด ตรงข้อมือมีกระดิ่งใบเล็กอยู่หนึ่งพวง ทุกครั้งที่ขยับไหวจะทำให้ฟ้ากระจ่างดาวบิดเบี้ยว สัตว์ร้ายตรงหน้าจะคำรามด้วยความเจ็บปวด
วินาทีที่เห็นสัตว์ร้ายลักษณะงูตัวนั้น ซูหมิงนิ่งอึ้งไป