ตอนที่ 89 ที่แล้วก็แล้วกันไป
เขาเข้าใจแล้ว ภาพเหตุการณ์เดียวกันในเผ่าร่องลมปรากฏขึ้นตรงหน้า คนที่เอาชนะอูเซินได้ก็คือซูหมิง
เขาเข้าใจแล้ว ในเรือนพักเผ่าเขาทมิฬ ตอนที่เขาเหน็ดเหนื่อยกลับมากลางดึกในคืนนั้น เห็นโลหิตระหว่างคิ้วของตัวเองลอยอยู่ในห้อง เขาประหลาดใจยิ่งนัก คนที่เขาคาดเดามาตลอด ที่แท้ก็คือ…ซูหมิง!
เวลานี้เขาเห็นแผ่นหลังของซูหมิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเช่นเดียวกัน ขณะตกอยู่ในห้วงความคิด บนตัวซูหมิง ราวกับเห็นเงาคนที่เพิ่งกลับมาในงานประลองด่านแรก เงาคนที่ทำให้ผู้คนหลายร้อยต้องตื่นตะลึง ยามนี้มันคุ้นยิ่งนัก
เขาเข้าใจแล้ว นั่น…ก็คือซูหมิง!
ความรู้สึกหลากอารมณ์ราวกับฟ้าผ่ากลางศีรษะของเป่ยหลิง กลายเป็นฟ้าแลบมหาศาลแล่นผ่านความคิด ทำให้เขาตัวสั่นเทา ไม่กล้าเชื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ทราบเลยว่าซูหมิงมีพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เมื่อไร พริบตาเดียวก็บรรลุถึงจุดที่ทำให้เขาต้องแหงนหน้ามองเสียแล้ว
ในความทรงจำของเขา คนที่ถูกเขาเกลียดชังมาโดยตลอด ถูกเขาเหยียดหยามจากภายในใจ กระทั่งคนที่เขาเย็นชาด้วยอย่างซูหมิง ตอนนี้ทำให้หัวใจของเขาสับสน
ความรู้สึกสับสนนั้นส่งผลให้เขาลืมว่าตนกำลังอยู่ในสนามรบ ลืมว่ากำลังต่อสู้ ลืมสิ้นทุกสิ่ง ในความคิดขาวโพลนและมึนงง
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้……” เป่ยหลิงพึมพำ เฉินซินข้างกายกอดเขาเอาไว้แน่น น้ำตารินไหล ในแววตาของนางไม่มีซูหมิง มีเพียงใบหน้าขาวซีดของเป่ยหลิงในยามนี้ รวมถึงแผ่นหลังดุจภูผาที่ตายก็ไม่ยอมถอยแม้ครึ่งก้าว
ทุกอย่างเหมือนจะเชื่องช้า ทว่าความเป็นจริง
แทบจะเป็นช่วงที่หอกของซูหมิงกระทบพื้น ระเบิดคลื่นเป็นวงกว้าง ชายฉกรรจ์ถือดาบระเบิดเป็นเศษเนื้อ ซูหมิงก้าวไปเบื้องหน้า ด้วยความเร็วของเขา จึงกลายเป็นร่างเงาตรงเข้าใส่ชายฉกรรจ์ทางซ้ายที่ถูกคลื่นกระแทกซวนเซ บุคคลนี้อายุราวห้าสิบปี ทว่าขั้นพลังอยู่เพียงลำดับห้าขั้นรวมโลหิตเท่านั้น
เขาเพิ่งถอยไปไม่กี่ก้าว ก็ตาลายเสียแล้ว จึงหรี่ตาลงพลันก้าวเท้ายาวไปด้านหลัง ทันใดนั้น ภัยอันตรายร้ายแรงพลันเข้าประชิดตัว ด้วยความเร็วของซูหมิง ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เหยียบเต็มฝ่าเท้า พริบตาเดียวก็ทะลวงอากาศเข้ามาถึงตัว สีหน้าดูเหี้ยมเกรียม แฝงไว้ด้วยจิตสังหารเคียดแค้น ไม่ใช้หมัด แต่ใช้ร่างกายของเขากระแทกใส่หน้าอกชายฉกรรจ์ภูผาดำอย่างเต็มแรง
เสียงกรุบๆ ดังกังวาน มุมปากชายฉกรรจ์มีโลหิตไหลย้อย แผ่นหลังพลันระเบิด ร่างกายไม่อาจต้านทานพลังแกร่งกล้าของซูหมิงได้ กระดูกทุกส่วนในร่างแหลกละเอียด กระเด็นถอยไปด้านหลัง ยังไม่ทันตกถึงพื้นก็สิ้นใจเสียก่อน
ความเคียดแค้นในแววตาของซูหมิงยังไม่ลดลง
ในทางตรงกันข้ามกลับเพิ่มมากขึ้น เขาแค้นเผ่าภูผาดำทุกคน ยามนี้พลันหมุนตัว จ้องไปยังนักรบหมานภูผาดำหนึ่งในสามคนที่หมายจะสังหารเป่ยหลิง
บุคคลดังกล่าวรูปร่างใหญ่ ทว่ากลับตัวไม่สูง แววตาฮึกเหิมและรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมตอนล่าสังหารเป่ยหลิงก่อนหน้านี้พลันเปลี่ยน ใบหน้ายิ้มเยาะกลายเป็นตื่นตกใจ แววตาแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว เขาเห็นกับตาว่าซูหมิงใช้หอกสังหารไปหนึ่งคน จากนั้นก็กระแทกจนสิ้นใจไปอีกหนึ่งคน
การสังหารอย่างว่องไวเช่นนี้ ทำให้ชายฉกรรจ์สัมผัสได้ถึงความป่าเถื่อนและบ้าคลั่ง หัวใจสั่นระรัว ในช่วงที่สายตาของซูหมิงมองมา เขาพลันกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว รีบหนีไปโดยไม่สนสิ่งใด เขาเกรงกลัว ในความรู้สึกของเขา ยามนี้ซูหมิงเป็นระดับผู้นำในเผ่าเขาทมิฬ บุคคลเช่นนี้เขาไม่อาจต่อกรได้
ทว่าชายฉกรรจ์ถอยไปได้เพียงสามก้าว พลันมีเสียงหวีดร้องดังขึ้น พบว่ามีลูกศรพุ่งเข้ามาจากที่ห่างไกล ประดุจทะลวงผ่านความว่างเปล่า พริบตาเดียวก็พุ่งผ่านคอของชายฉกรรจ์พร้อมกับกระชากโลหิตจำนวนหนึ่ง ก่อนปักอยู่บนต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง เกิดเป็นเสียงดังตึก ต้นไม้ใหญ่สั่นไหว
ชายฉกรรจ์รีบอุดแผลตรงคอ โลหิตทะลักไม่หยุดหย่อน แววตามืดสลัวก่อนล้มลงบนพื้น ศพของเขาถูกคนจากสองเผ่าที่กำลังทำสงครามเหยียบย่ำเป็นบางครั้ง
ไกลออกไป ผู้นำกองรักษาการณ์ละสายตากลับด้วยความรวดเร็ว และเข้าต่อสู้กับศัตรูของเขาต่อ นั่นคือผู้นำลำดับแปดขั้นรวมโลหิตแห่งเผ่าภูผาดำ
ซูหมิงเดินไปหาเป่ยหลิง แล้วหยุดตรงหน้าเขา ก่อนดึงหอกเกล็ดโลหิตที่ปักบนพื้นหิมะอย่างแรง แววตาเป็นประกาย ขณะกำลังตามหานักรบเผ่าภูผาดำเพื่อเข้าสังหารต่อ พลันได้ยินน้ำเสียงลังเลใจและสับสนมาจากเป่ยหลิง
“ขอบคุณ…” เสียงดังกล่าวปะปนอยู่ท่ามกลางบทเพลงสวินและเสียงเข่นฆ่าในสงคราม เห็นได้ชัดว่าดูเหนื่อยล้ายิ่งนัก ซูหมิงเหมือนไม่ได้ยิน หลังจากดึงหอกยาวแล้วจึงเดินไปเบื้องหน้า ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับชะงักเล็กน้อย
“ที่แล้วก็แล้วกันไปเถอะ……เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเฉินซิน…” ซูหมิงกล่าว ก้าวเดินไปเบื้องหน้า ตรงเข้าไปยังกลุ่มคนที่กำลังเข่นฆ่ากันไม่ไกลนัก
แทบจะเป็นช่วงที่ซูหมิงพุ่งทะยานออกไป สายตาเย็นชาพลันมองมาที่ซูหมิงจากข้างกำแพงไม้ที่ห่างไกล เขาเป็นชายร่างกำยำสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ อายุราวสี่สิบปี ร่างกายแข็งแกร่ง มองดูแล้วประดุจหอคอยเหล็ก บนตัวเต็มไปด้วยเลือด ทว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นของนักรบหมานเผ่าเขาทมิฬ
พลังโลหิตในร่างกายของเขามหาศาล ดูแล้วน่าจะอยู่ลำดับแปดขั้นรวมโลหิต ใกล้เคียงกับเยี่ยวั่งคนที่เคยประมือกับซูหมิง แวบแรกที่เห็นซูหมิง เขายกมือขวาขึ้น ในมือถือดาบกระดูกยาว
ตอนที่มือสัมผัสดาบ นักรบเขาทมิฬคนหนึ่งที่กำลังต่อสู้กับเขาพลันศีรษะหลุดจากบ่า นักรบคนนั้นยังไม่ทันได้ระเบิดเส้นเลือดตัวเอง ก็ถูกตัดศีรษะลงก่อน ชายคนนั้นหิ้วศีรษะ มองซูหมิงด้วยแววตากระหายเลือด จากนั้นโยนศีรษะเข้าไป
ศีรษะอาบเลือดตกลงตรงเท้าของซูหมิง โลหิตร้อนระอุย้อมผืนหิมะเป็นสีแดง ทำให้หิมะละลายอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นน้ำโลหิต
ซูหมิงชะงักฝีเท้า แหงนหน้ามองด้วยดวงตาอัดแน่นไปด้วยเส้นเลือด ทั้งสองคนแยกตัวออกจากกลุ่มคน ซูหมิงเห็นความเหี้ยมโหดเย็นชาในแววตาของชายร่างกำยำ ส่วนชายร่างกำยำก็เห็นจิตสังหารและความบ้าคลั่งในแววตาของซูหมิงเช่นเดียวกัน
ทันทีที่ทั้งสองสบตากัน ชายร่างกำยำเคลื่อนไหว
เขากระโดดทะยานเข้าใส่ซูหมิง ซูหมิงเหยียดเท้าขวา กระโดดพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยความเร็วสูงเช่นเดียวกัน!
ชายร่างกำยำสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบไม่ใช่หนังสัตว์ เห็นได้ชัดว่ามีตำแหน่งสูงในเผ่าภูผาดำ หากสังหารเขาคนเช่นนี้ได้ จะต้องทำให้เผ่าภูผาดำเสียขวัญกำลังใจอย่างแน่นอน
ชายร่างกำยำเคลื่อนไหว ด้วยฐานะของเขา จึงดึงดูดความสนใจของนักรบภูผาดำที่กำลังต่อสู้อยู่จำนวนมาก ราวกับพวกเขาถูกพลังอำนาจขับเคลื่อน ต่างพากันส่งเสียงร้องพิลึกฮึกเหิม
ทั้งสองคนเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็พลันปะทะเข้าใส่กัน ก่อนเริ่มสงครามการต่อสู้อันดุเดือด
ทว่าในขณะนั้นเอง หน้าสุดกลุ่มชาวเผ่าเขาทมิฬ จ้าวเผ่าเขาทมิฬกระอักโลหิต ใบหน้าขาวซีดยามถอยร่นไป เบื้องหน้าเขามีศพนักรบเผ่าภูผาดำตายไปมากกว่าครึ่ง
ทว่าชายร่างกำยำสวมเสื้อคลุมดำเหมือนกับสองคนที่ต่อสู้กับท่านปู่ก่อนหน้านี้พลันปรากฏตัวขึ้น พลังของเขาน่าตะลึงยิ่งนัก ทำให้จ้าวเผ่าเขาทมิฬกระเด็นถอยออกไป
แววตาของชายเสื้อคลุมดำแข็งกระด้าง ทว่ากลับดูกระหายเลือด เดินก้าวเท้ายาว ด้านหลังมีนักรบหมานภูผาดำอีกสองคน พุ่งทะยานเข้าใส่จ้าวเผ่าเขาทมิฬที่กำลังล่าถอย ดูจากท่าทางแล้ว คงอยากจะสังหารจ้าวเผ่าที่กำลังบาดเจ็บ ข้างกายจ้าวเผ่า นักรบที่ต่อสู้เคียงข้างเขาระเบิดเส้นเลือดตายไปทีละคน ยามนี้เหลือเพียงแค่เขาคนเดียว
ท่ามกลางวิกฤต เหมือนจ้าวเผ่าเขาทมิฬคงไม่อาจรอดพ้นจากความตายไปได้ ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความเศร้าโศกและเคียดแค้น มีบุคคลหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากกลุ่มคนด้านหลัง คนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่ง เขา…คือหนานซงแห่งเผ่าเขาทมิฬ!
ในช่วงที่เขาเดินออกมา ราวกับมีเสียงถอนหายใจเบาๆ เท้าขวากระทืบลงพื้น ไม่มีเสียงดังมากนัก แต่ชายร่างกำยำเสื้อคลุมดำที่กำลังไล่สังหารจ้าวเผ่าเขาทมิฬกลับตัวสั่นสะท้าน ฝีเท้าราวกับโซเซ ขณะสีหน้าดูตื่นตะลึง หนานซงเดินออกมายืนอยู่เบื้องหน้าเขา แขนซูบผอมปล่อยหมัดเข้าใส่ ทำให้ชายร่างกำยำต้องล้มเลิกความคิดล่าสังหารจ้าวเผ่า แล้วเข้าปะทะกับหนานซงต่อหน้าชาวเผ่าทุกคน
ข้างกายชายเสื้อคลุมดำ มีนักรบหมานภูผาดำคอยติดตามสองคน หนึ่งในนั้นเป็นผู้นำกองรักษาการณ์ที่ถือคันศรใหญ่แห่งเผ่าภูผาดำ
แม้ว่าจะเขาจะตื่นกลัวหนานซง ทว่ามีชายเสื้อคลุมดำอยู่ด้วย เขาจึงกัดฟันกระโดดทะยานเข้าใส่จ้าวเผ่าเขาทมิฬ แววตาเหี้ยวโหดและฮึกเหิม ในความคิดของเขา หากตนสังหารจ้าวเผ่าเขาทมิฬแล้วนำศีรษะกลับไปยังชนเผ่าได้ จะต้องเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่แน่นอน
จ้าวเผ่าเขาทมิฬฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว เขาอยู่ห่างจากกลุ่มคนภายใต้แสงเทวรูปหมานหลายจั้ง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าตนกลับไปไม่ได้แล้ว
แต่นัยน์ตาของเขากลับไม่มีความเสียใจ มีเพียงทำใจมิได้ เขาไม่เสียใจที่สู้รบจนตัวตาย ตนเป็นจ้าวเผ่า ได้ตายเพื่อชนเผ่าถือเป็นเกียรติของเขา เพียงแต่ว่าเขาทำใจไม่ได้…ทำใจไม่ได้ที่ต้องจากชนเผ่าไปเร็วเช่นนี้ เขายังไม่ได้พาทุกคนกลับไปปลอดภัยเลย…
ซูหมิงเห็นจ้าวเผ่ากำลังตกอยู่ในอันตราย และผู้คนจำนวนมากก็เห็นเช่นเดียวกัน ทว่าด้วยความเหี้ยมเกรียมของเผ่าภูผาดำ จึงไม่มีใครเข้าไปช่วยได้ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นความเป็นความตายของจ้าวเผ่าเขาทมิฬ ด้วยเหตุนี้เผ่าภูผาดำจึงฮึกเหิม เข้าปิดล้อมนักรบหมานเผ่าเขาทมิฬทุกคน
ซูหมิงคิดจะเข้าไปช่วย ทว่าชายบึกบึนสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบกลับขวางเอาไว้พลางยิ้มเยาะ ซูหมิงจึงไม่อาจผ่านไป กระทั่งขว้างหอกยังหาโอกาสมิได้
ในช่วงที่จ้าวเผ่าเขาทมิฬไม่อาจหลีกหนีความตาย ชาวเผ่าเขาทมิฬธรรมดาที่อยู่ภายใต้แสงจากเทวรูปหมานตรงหน้าสุด ชิดจ้าวเผ่ามากที่สุด เป็นชายหนุ่มสิบกว่าคน
ชายหนุ่มเหล่านี้ล้วนตัวสั่นเทา พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่กินนอนเที่ยวเล่นไปวันๆ ในชนเผ่า ไม่มีกายหมาน อีกทั้งยังไม่มีร่างกายที่แข็งแกร่ง ขณะที่ทุกคนกำลังทำงานในแต่ละวัน ส่วนใหญ่พวกเขาจะใช้เวลาไปกับการพักผ่อน เพราะในวงศ์ตระกูลเคยมีนักรบหมานตายตกจากการสู้รบ จึงคิดว่าตัวเองมีสิทธิพิเศษ จะทำอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่เป็นการทรยศชนเผ่าก็สามารถใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
พวกเขาไม่เคยลืมเกียรติยศที่เคยมีในวงศ์ตระกูล
แต่กลับไม่ได้เลือกสืบทอดเกียรติยศนั้น แต่เลือกที่จะให้เกียรติยศคอยปกป้อง เพื่อให้ตัวเองมีเหตุผลในการขี้เกียจและใช้อำนาจบาตรใหญ่