ตอนที่ 90 ผู้สละชีพ
พวกเขากลัวตาย ความกลัวของพวกเขาราวกับจะฉีกหัวใจให้แหลกสลาย ฉะนั้นจึงไม่กล้าอยู่ด้านหลังของขบวน เดิมทีคิดจะอยู่ตรงกลาง ทว่าตรงนั้นล้วนเป็นลาซูน้อยกำพร้าบิดา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงเลือกอยู่ติดกับจ้าวเผ่าตรงหน้าขบวน เพราะคิดว่าตรงนี้ปลอดภัย มีจ้าวเผ่าคอยปกป้อง
ทว่ายามนี้เห็นจ้าวเผ่ากำลังตกอยู่ในอันตราย ขอแค่พวกเขาไม่ออกจากแสงเทวรูปหมานก็จะปลอดภัยชั่วคราว…..
ขณะอยู่ในวิกฤต หนึ่งในชายหนุ่มสิบกว่าคนตรงหน้าสุดใบหน้าขาวซีด ตัวสั่นเทา ร่างกายผอมบางเหมือนจะถูกความกลัวฉีกออก ทว่านัยน์ตาของเขากลับฉายแววคลุ้มคลั่งเป็นครั้งแรก เส้นเลือดฝอยปรากฏขึ้น
“ครึ่งชีวิตข้ามัวแต่กินนอนรอความตาย ไม่ได้ทำอะไรเพื่อชนเผ่าแม้แต่น้อย อีกทั้งยังสิ้นเปลืองอาหารไปจำนวนมาก ข้ารู้ว่าคนในเผ่าไม่ชอบข้า และข้าก็รู้ด้วยว่าแม้แต่ลาซูพวกนั้นยังมองว่าข้าเป็นขยะ…
ข้ามันเป็นขยะจริงๆ ไม่มีกายหมาน สันหลังยาว ไม่มีร่างกายที่แข็งแรง ข้าไม่มีประโยชน์อะไรเลย…สิ่งที่ข้ามีคือเกียรติยศที่บิดาเอาชีวิตแลกมาขณะออกไปล่าสัตว์ในตอนนั้น…วันนี้ ข้าจะบอกกับทุกคน ถึงแม้ข้าจะเป็นขยะ ทว่าข้าก็เป็นคนในเผ่าเหมือนกัน!”
ชายหนุ่มตาแดงก่ำ แผดเสียงคำรามพลันพุ่งตรงเข้าไปหาจ้าวเผ่า ใช้เลือดเนื้อของเขาเป็นกำแพงชีวิตให้!
เสียงโครมดังขึ้น ร่างของชายหนุ่มขวางหน้าจ้าวเผ่าเอาไว้ พริบตาเดียวก็ถูกลูกศรแหลมแทงทะลุร่าง ทั้งตัวพลันระเบิดกระจาย สิ้นใจในทันที
“ท่านพ่อ……ลาซูของท่าน ไม่ใช่ขยะไร้ค่า…” ก่อนสิ้นใจชายหนุ่มฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว
แทบจะเป็นช่วงที่ชายหนุ่มสิ้นใจ สหายของเขา ชายหนุ่มสิบกว่าคนล้วนแผดเสียงร้องลั่น พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง และใช้ชีวิตของพวกเขาตอบแทนชนเผ่า ใช้ชีวิตของตนเพื่อแลกกับเกียรติยศเปื้อนฝุ่นอีกครั้ง
“พวกเราเป็นขยะ ทว่าพวกเราก็เป็นคนในเผ่า!”
ชายหนุ่มสิบกว่าคนแผดเสียงร้องพร้อมทะยานออกมา ใช้ร่างกายอ่อนแอและเลือดเนื้อของพวกเขา สร้างเป็นหุบเขาเลือดเนื้อเพื่อชาวเผ่ากับจ้าวเผ่าของพวกเขา เสียงครึกโครมดังขึ้นต่อเนื่อง ชาวเผ่าภูผาดำสองคนไม่คิดเลยว่าชาวเผ่าเขาทมิฬธรรมดาจะลุกฮือขึ้นมาในยามนี้ ทว่านัยน์ตาของพวกเขาฉายแววเหยียดหยามไม่ยี่หระ ในความคิดของพวกเขา ชาวเผ่าธรรมดาเหล่านี้อ่อนแอเกินไป
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ชายหนุ่มสิบกว่าคนระเบิดกระจายหายไปเรื่อยๆ ทว่าพวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตและจิตใจอันแน่วแน่ของตน แม้ตายก็ต้องขวางเอาไว้ให้ได้ มีบางคนใช้ร่างกายกอดผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าภูผาดำ แม้ว่าจะถูกขยี้จนแหลกสลาย ทว่าก็ยังฟันกัดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
สงครามดำเนินมาถึงตอนนี้ ความดุเดือดบรรลุถึงขีดสุด ความแน่วแน่ของชายหนุ่มสิบกว่าคนทำให้คนทั้งสองจากเผ่าภูผาดำตื่นตะลึง พวกเขาไม่คิดเลยว่าชาวเผ่าเขาทมิฬธรรมดาเหล่านี้ จะบ้าบิ่นและยึดมั่นเช่นนี้ ฝีเท้าขณะไล่สังหารจ้าวเผ่าจึงช้าลงประมาณสองลมหายใจ
สองลมหายใจเป็นเวลาที่สั้นยิ่งนัก สิ่งแลกเปลี่ยนคือชีวิตของชายหนุ่มเหล่านี้ ทว่าสองลมหายใจกลับแลกมาด้วยชีวิตของจ้าวเผ่า ท่ามกลางความโศกเศร้า จ้าวเผ่าเขาทมิฬกลับเข้าไปอยู่ในแสงเทวรูปหมาน หัวใจของเขาราวกับถูกมีดผ่า ทว่าเขาทราบดี เขาจะตายไม่ได้ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อชนเผ่า
เขาเห็นศพกองอยู่เต็มพื้นเบื้องหน้า เห็นกลุ่มคนที่เคยทำให้เขาปวดศีรษะ กระทั่งยังไม่ชอบหน้าเล็กน้อย มองเห็นใบหน้าคนรู้จักเหล่านั้นอาบไปด้วยเลือด
จ้าวเผ่าเขาทมิฬ ชายร่างกำยำประดุจหอคอยเหล็กอายุสี่สิบกว่าปีคนนี้ถึงกับร้องไห้
ด้านหลังเขาเป็นชาวเผ่าจำนวนมาก พวกเขาเสียน้ำตาเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มสิบกว่าคนเหล่านั้นใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อบอกกับทุกคนว่า แม้พวกเขาจะเป็นขยะ ทว่าก็เป็นคนในเผ่า พวกเขาจะขอยอมตายเพื่อชนเผ่า!
ซูหมิงกัดริมฝีปาก เข้าปะทะกับชายร่ากำยำตรงหน้าหลายครั้ง เส้นเลือดสองร้อยสี่สิบสามเส้นพลันรวมเป็นเส้นเดียว ก่อนเข้าสู้กับศัตรูพร้อมกับร้องคำรามต่อเนื่อง
สิ่งที่เขาเก่งมากที่สุดคือความเร็ว ส่วนชายร่างกำยำมีพละกำลังเหมือนกับเยี่ยวั่ง การต่อสู้ของพวกเขา แม้ว่าจะอยู่ในสนามรบ ทว่าก็ดูเด่นตายิ่งนัก เหลยเฉิน อูลา รวมถึงผู้คนจำนวนมากล้วนเห็น เด็กหญิงในกลุ่มคนน้ำตาไหลพรากยามมองซูหมิง นางกำลังหวาดกลัว
ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากที่ห่างไกล พบว่าเงาหมอกดำจากวิชาหมานชั่วร้ายของปี้ถูที่กำลังต่อสู้กับท่านปู่พลันแตกกระจาย กลายเป็นหมอกดำจำนวนมากแผ่เป็นวงกว้าง ท่านปู่ก้าวยาวเข้ามาทางกลุ่มคนในเผ่าเพียงชั่วพริบตา พร้อมกับอานุภาพพลังที่ไม่อาจบรรยายได้
ท่านปู่กลับมาแล้ว!
ด้วยความเร็วของเขา จึงราวกับเดินอากาศเพียงสามก้าว ก้าวแรกท่านปู่พลันยืนอยู่ข้างซูหมิง ขณะชายร่างกำยำสวมผ้าเนื้อหยาบกำลังตื่นตะลึง ท่านปู่ใช้นิ้วจิ้มไปตรงกลางระหว่างคิ้วของเขา ชายผู้นั้นตัวสั่นสะท้าน กระอักโลหิตล้มลง ตรงกลางระหว่างคิ้วปรากฏโพรงเลือดลึก สีหน้ามืดหม่น สิ้นใจตายในทันที
ท่านปู่ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เดินต่อไปในก้าวที่สอง ครั้งนี้เขามาปรากฏอยู่หน้าสุดข้างกายชายร่างสูงใหญ่เสื้อคลุมดำที่กำลังต่อสู้กับหนานซง จากนั้นพลันโบกมือขวา ชายคนดังกล่าวพลันตัวสั่นอย่างรุนแรง ก่อนระเบิดกระจุย
พลังอำนาจมหาศาลอบอวลอยู่รอบตัวท่านปู่ หนึ่งก้าวสังหารหนึ่งคน เงาของเขาทำให้นักรบภูผาดำทั้งหมดรอบตัว เผยสีหน้าตื่นกลัว ต่างทยอยพากันล่าถอย
นัยน์ตาซูหมิงฉายแววตื่นเต้น ไม่ใช่เพียงแค่เขา ชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคนยามนี้ล้วนแผดเสียงร้องด้วยความฮึกเหิม ก่อนเห็นท่านปู่เดินก้าวที่สาม ในก้าวที่สามนี้ เขาขึ้นไปเหยียบบนกำแพงไม้ยักษ์ที่ขวางอยู่เบื้องหน้า เพียงสัมผัส กำแพงไม้ก็พลันแหลกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก ทันใดนั้น ท่านปู่สะบัดแขนเสื้อ เศษไม้เหล่านั้นพุ่งผ่านชาวเผ่าเขาทมิฬ ตรงเข้าใส่นักรบหมานเผ่าภูผาดำด้านหลังประดุจลูกศรแหลม
ในชั่วพริบตาเดียว มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นระงม
เมื่อก้าวที่สามจบลง ใบหน้าท่านปู่มีเลือดฝาดผิดปกติ เขาหันหน้ากลับมาแล้วกล่าวเรียบๆ
“อย่าหยุด เดินทางต่อ!”
กล่าวจบ เผ่าภูผาดำที่บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากต่างไม่กล้าเข้ามาขวาง กลุ่มคนเผ่าเขาทมิฬจึงเคลื่อนตัวต่ออย่างรวดเร็วภายใต้การนำของจ้าวเผ่า หลิ่วตี๋ที่ใกล้หมดลมหายใจนั่งพิงอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ ก็มีคนเข้ามาประคองแล้วพาไปด้วย
ไม่นานนัก สนามรบก่อนหน้านี้ก็เงียบสงบ เหลือเพียงซากศพกองพะเนินและกลิ่นคาวเลือดที่ยังไม่จางหาย
ซูหมิงอยู่ในกลุ่มคน ทั้งตัวอาบด้วยโลหิต เดินฉับไวอย่างสุขุม เด็กหญิงที่มีชาวเผ่าอุ้มข้างกายเขา ยามนี้เลิกสะอื้นไห้ ทว่าความไร้เดียงสาในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความเข้มแข็ง
นางยังเด็กจึงไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก ทว่าในค่ำคืนนี้ เหมือนกับว่านางเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
แสงจันทร์สาดส่องลงบนผืนดินกว้างใหญ่ ราวกับเป็นแสงสว่างส่องทางเบื้องหน้าให้กับชาวเผ่าเขาทมิฬไร้บ้านเหล่านี้ ทำให้พวกเขาไม่ต้องสับสน ไม่ต้องไร้ที่พักพิง
“จ้าวเผ่า จ้าวหมาน…….ทิ้งตาแก่อย่างพวกข้าเถอะ อย่าให้ใครมาดูแลพวกข้าอีกเลย จะทำให้การอพยพช้าลงเปล่าๆ…” ขณะอพยพ พลันมีเสียงแหบพร่าดังมาจากในขบวน เขาเป็นผู้อาวุโสธรรมดาคนหนึ่ง อายุก็มากโขแล้ว ตามขบวนไม่ทัน ในความคิดของเขา แทนที่จะให้คนอื่นมาประคองตัวเองจนเสียเวลาเปล่า สู้ทิ้งตัวเขาไว้ตรงนี้ยังจะดีกว่า
“ให้คนหนุ่มสาวไปเถอะ ข้าก็จะอยู่เหมือนกัน…จริงๆ แล้วตอนแรกพวกข้าก็ตั้งใจว่าจะอยู่ในชนเผ่าด้วยซ้ำ…..เฮ้อ” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งหยุดฝีเท้า
หลังจากขบคิดครู่หนึ่งแล้ว ไม่นานผู้อาวุโสแทบทุกคนในเผ่าจึงทยอยกันแยกตัวออกจากขบวน จำนวนประมาณสี่สิบกว่าคน พวกเขาตั้งใจแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ ชีวิตที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของพวกตนไม่มีประโยชน์อะไรกับชนเผ่าอีกแล้ว ฉะนั้นจึงเลือกไม่ถ่วงขาชนเผ่า
“พวกท่าน….” จ้าวเผ่าเขาทมิฬตกตะลึง หลับตาลงก่อนลืมตาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงคารวะไปทางกลุ่มผู้อาวุโสเหล่านั้น
“ไปเถอะ….พวกข้าเหนื่อยแล้ว…” ผู้อาวุโสเหล่านั้นเผยรอยยิ้ม โบกมือให้กับชาวเผ่า ญาติพี่น้องของพวกเขาอยู่ในขบวน น้ำตาไหลพราก ทว่าก็ไม่อาจหยุดได้ มีชาวเผ่าวัยหนุ่นแน่นเลือกอยู่เช่นเดียวกัน ทว่าก็ไม่ได้รับอนุญาต
“จ้าวหมาน มีสิ่งใดที่พวกข้าพอจะช่วยได้หรือไม่ อย่างเช่นวิธีระเบิดตัวเองเหมือนกับหนุ่มน้อยพวกนั้น โปรดบอกพวกข้าเถอะ” มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งเดินออกมา มองท่านปู่เผยรอยยิ้ม
ท่านปู่เงียบไปพักหนึ่ง เดินไปเบื้องหน้า วางของสิ่งหนึ่งในมือของผู้อาวุโสผู้นั้น แล้วจึงตบบ่าเขาพลางถอนหายใจเบา ท่านปู่ทราบดีว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาอ่อนแอ ยังมีชาวเผ่าอีกจำนวนมาก จะต้องรีบอพยพโดยเร็ว เขาจึงพลันหมุนตัวกลับ
“คนที่เหลืออยู่เดินหน้าต่อไป!”
ชาวเผ่าน้ำตาไหลพรากและหันกลับไปมองบ่อยครั้ง ชายชราเหล่านั้นมองขบวนเดินห่างออกไป ใบหน้าเผยรอยยิ้มเมตตา ก่อนนั่งลงหอบหายใจแรง แล้วสนทนากันเรื่องสมัยยังเป็นหนุ่มของพวกเขาท่ามกลางค่ำคืนแสงจันทร์
ในกลุ่มคนไม่มีผู้อาวุโสเหล่านี้แล้ว ความเร็วในการอพยพจึงรวดเร็วมากขึ้น…
ผ่านไปนาน จนเส้นขอบฟ้าส่องสว่าง เผ่าเขาทมิฬที่ไกลห่างด้านหลังของขบวน ภายใต้แสงจันทร์อ่อนกลายเป็นซากปรักหักพัง ราวกับไม่มีชีวิต ท่ามกลางกาลเวลา มันอาจจะกลายเป็นซาก บางทีอาจจะมีพืชเติบโตขึ้น ค่อยๆ ทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าอีกครั้ง ทำให้ความทรงจำและความงดงามทั้งหมดล้วนยากจะหาเจอ
ยามนี้มีลมพัดผ่าน ประดุจเสียงของบทเพลงสวิน ม้วนหิมะบนพื้นลอยขึ้น อีกทั้งยังทำให้สิ่งของจำนวนมากที่ชาวเผ่าทิ้งเอาไว้ก่อนอพยพปลิวไปตามลม ส่งเสียงดังแกรกแกรก ดูเงียบเหงาวังเวง
สิ่งของเหล่านั้นมีของเล่นของลาซูน้อย มีหนังสัตว์ที่ชาวเผ่าบางคนเก็บไม่ทัน มีกองเพลิงมอดดับ มีสมุนไพรตกหล่น และยังมีม่านกระโจมหนังขาดวิ่นกับหม้อชามอีกจำนวนมาก
นอกจากเสียงลมแล้ว ภายในซากชนเผ่าเงียบสงัด ทว่ายามนี้หนึ่งในกระโจมหนังสัตว์ที่ถล่มลงมา กลับมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว มันเป็นสัตว์น้อยขนปุกปุยโผล่หน้ามาจากกระโจมหนัง ดูน่ารักมาก ขนของมันเดิมทีเป็นสีขาว ทว่าตอนนี้กลับเป็นสีเทาเปื้อนฝุ่น แววตาของมันดูหวาดกลัว วิ่งออกจากกระโจมหนังอย่างรวดเร็ว ตัวสั่นอยู่ท่ามกลางลมพายุหิมะ
มันส่งเสียงร้องราวกับกำลังเรียกเจ้านายของมัน ชื่อของมันคือผีผี เป็นสัตว์เลี้ยงของเด็กหญิง ทว่าเจ้านายกลับไม่ได้ยินเสียงของมัน….มันโดดเดี่ยวอยู่ในซากชนเผ่า ทว่าก็ยังไม่ยอมห่างจากกระโจมหนังที่ถล่มลงมาไปไกล เพราะว่าที่นั่นเป็นบ้านของมัน
มันส่งเสียงร้องอู้อี้ ค่อยๆ ถอยหลังราวกับไม่อาจทนความหนาวเหน็บได้ ขณะกลับไปยังกระโจมหนัง พลันมีเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล พบว่าด้านนอกประตูใหญ่ซากชนเผ่า มีคนเดินเข้ามาสิบกว่าคน
ผู้นำหน้าสุดเป็นชายฉกรรจ์แข็งแกร่งคนหนึ่ง เพียงแต่สีหน้าของเขามืดทะมึนยิ่งนัก หากซูหมิงอยู่ตรงนี้ จะรู้ทันทีว่าเขาคือจ้าวเผ่าภูผาดำ
ด้านหลังเป็นเด็กหนุ่มใบหน้ามืดดำเช่นเดียวกัน เขาเลียริมฝีปาก มองไปรอบๆ เผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เขาก็คือปี้ซู่!
“ไปเร็วจริงๆ! รีบตามไป ท่านปู่ก็น่าจะใกล้ถึงแล้วเหมือนกัน ครั้งนี้นอกจากสตรีเผ่าเขาทมิฬ จงฆ่าทิ้งไม่ต้องเหลือ!” จ้าวเผ่าภูผาดำกล่าวเรียบๆ พลางเดินเข้าไปในซากชนเผ่า
ปี้ซู่ละสายตาก่อนหมุนตัวเดินจากไป ทว่าทันใดนั้นนัยน์ตาพลันเป็นประกาย เขาเห็นสัตว์น้อยกำลังตัวสั่นไม่กล้าขยับ มุมปากเผยรอยยิ้ม มือขวาโบกไปทางสัตว์น้อย
สัตว์น้อยตัวสั่นทันที แววตามืดสลัวลง กลิ่นอายพลังสีเขียวลอยขึ้นมาจากซากศพ ปี้ซู่คว้าเอาไว้แล้ววางไว้ตรงกลางระหว่างคิ้ว ไม่นานแววตาเขาดูเหี้ยมโหด
“ชื่อผีผีหรือ…..คิดถึงเจ้านายเจ้ามาก เช่นนั้นข้าจะส่งนางกับเจ้าไปอยู่ด้วยกัน”