ตอนที่ 91 ปี้ถูแห่งเผ่าภูผาดำ
กลางดึกมาเยือน ยามนี้ตรงเส้นขอบฟ้าเป็นแสงสีขาวอ่อนๆ แสงจันทร์เบาบางสาดส่องลงบนพื้นหิมะในป่าทึบ เกิดเป็นแสงเย็นเยือก เสียงฝีเท้าวุ่นวายดังตัดสลับกัน พร้อมกับขบวนอพยพเผ่าเขาทมิฬที่กำลังเดินอย่างเร่งรีบท่ามกลางคืนก่อนฟ้าสาง
โดยรอบเงียบสงัดยิ่ง นอกจากเสียงฝีเท้าย่ำหิมะแล้วแทบจะไม่มีเสียงอื่น
ชาวเผ่าเขาทมิฬเหล่านั้นล้วนเงียบขรึม ไม่ว่าจะเป็นชรา สตรี หรือว่าลาซู ล้วนสงบเงียบขณะกำลังอพยพยามค่ำคืน
ห่างจากสนามรบก่อนหน้านี้ไปครึ่งชั่วยามแล้ว ความดุเดือดของสงครามฝังลึกอยู่ในความทรงจำของชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคน สลักอยู่ท่ามกลางวิญญาณ จดจำไปชั่วชีวิต
ก่อนเดินทาง หากไม่นับรวมท่านปู่ เผ่าเขาทมิฬมีนักรบหมานทั้งหมดสามสิบกว่าคน ทว่ายามนี้ด้วยพิษสงคราม จึงเหลือเพียงสิบสี่คนเท่านั้น ทั้งสิบสี่คนล้วนมีคราบโลหิตแห้งเกาะไปทั้งตัว ทั้งดูเศร้าโศกและแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร เดินไปข้างหน้าพลางคุ้มกันชาวเผ่าอย่างเงียบๆ
พวกเขาตายตกไปสิบกว่าคน ทว่าเผ่าภูผาดำกลับต้องเสียไปมากกว่า สงครามครั้งนี้วัดกันที่ขั้นพลัง ทว่าที่สำคัญกว่าคือ เผ่าภูผาดำที่บุกเข้ามาล้วนไม่มีความยึดมั่นเหมือนกับชาวเผ่าเขาทมิฬที่ต้องจากบ้าน
สิ่งนั้นเรียกว่าการเสียสละเพื่อปกป้อง ระเบิดตัวเองหนึ่งครั้ง อาจทำให้เผ่าภูผาดำเหยียดหยาม ทว่าสองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง…กลับทำให้พวกเผ่าภูผาดำเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ
แม้เผ่าเขาทมิฬจะเล็กและอ่อนแอ ทว่าในความเล็กและอ่อนแอนั้น กลับมีความเข้มแข็งซ่อนอยู่!
ซูหมิงเดินอย่างเงียบๆ หลังจากสงครามเมื่อครู่ นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วยาม เขาไม่กล่าวแม้สักคำ เดิมทีเขาเป็นคนร่าเริง ทั้งยังมีความใจร้อนของเด็กหนุ่ม ทว่ายามนี้ราวกับเรียนรู้ความเงียบขรึม ไม่แผดเสียงร้องอีกต่อไป เพียงแต่ค่าเรียนความเงียบช่างหนักหนานัก ทำให้เขาเจ็บปวดรวดร้าว
ซูหมิงทราบดี จากวันนี้ไป ความไร้เดียงสาของเขาแหลกสลาย หลุดออกจากร่างกาย จากวันนี้ไป ความสุขของเขาหลอมละลาย หายไปท่ามกลางโลหิต และจากวันนี้ไป น้ำตาของเขาจะถูกความเงียบขรึมเข้ามาแทนที่
เวลาผ่านไป ไม่นานฟ้าก็สว่าง ชาวเผ่าที่เดินทางมาตลอดคืนยังคงเดินต่อไปท่ามกลางความเหนื่อยล้า ทุกคนล้วนกัดฟันสู้ยิบตา ประคองซึ่งกันและกัน กึ่งเดินกึ่งวิ่งเคลื่อนตัวอพยพอย่างรวดเร็ว
ยามกลางวัน ขณะเดินทางชาวเผ่าเริ่มกระจัดกระจายทีละน้อย พวกเขาไม่อาจทนกับความเหนื่อยอ่อนเช่นนี้ได้จริงๆ หลังจากพักผ่อนครึ่งชั่วยามแล้ว จึงเดินทางต่อทันที
จนกระทั่งเข้าสู่กลางดึกของคืนที่สอง แสงจันทร์สาดส่องลงบนพื้นหิมะในป่าทึบอีกครั้ง ชาวเผ่าเขาทมิฬก็ยังคงเดินต่ออย่างรวดเร็วท่ามกลางความเงียบสงัด
“พี่ซูหมิง….” ซูหมิงได้ยินเสียงอ่อนเบาและขลาดกลัว เขาหันไปมองด้านข้าง เห็นเป็นเด็กหญิงผู้อยู่ในอ้อมอกของชาวเผ่าข้างกาย เห็นดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อย
ซูหมิงเผยรอยยิ้ม ทว่าบนใบหน้าของเขามีโลหิตเปื้อน เมื่อรวมกับรอยยิ้มแล้วดูน่ากลัวยิ่งนัก
ทว่าเด็กหญิงกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว เบิกตากว้างมองซูหมิง ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนใช้มือสกปรกเล็กน้อยเช็ดคราบเลือดแห้งกรังบนใบหน้าให้
เขาสัมผัสได้ถึงมืออ่อนนุ่มของเด็กหญิงที่กำลังลูบคลำบนใบหน้า ภายในหัวใจซึ่งกำลังหลั่งเลือดอันแสนเจ็บปวดพลันอบอุ่นขึ้น
“พี่ซูหมิงไม่กลัว…ถงถงก็ไม่กลัว…” เด็กสาวดึงมือกลับ บนมือของนางเปื้อนสะเก็ดเลือดเล็กน้อย นางมองซูหมิง ภายในดวงตาใสแจ๋วมีความเข้มแข็งที่หาได้ยากในเด็กหญิงอยู่
ซูหมิงลูบศีรษะเด็กน้อย ไม่กล่าวสิ่งใด เพียงแต่เดินไปข้างหน้า เส้นทางเบื้องหน้าซ่อนอยู่ในป่าทึบ จึงมองไม่เห็นปลายทาง
เหลยเฉินอยู่อีกฝั่งของขบวนห่างไปไม่ไกลนัก ยังคงกำหมัดตลอดเวลา โลหิตตรงแผ่นหลังแห้งสนิท เขาเมินเฉยต่อความเจ็บปวด นัยน์ตาฉายแววกระหายเลือดและเจ็บปวดใจ เขาจะไม่มีวันลืมสงครามเมื่อคืนวานนี้เป็นแน่ หากไม่ใช่เพราะว่านักรบหมานผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่บาดเจ็บหนักระเบิดเส้นเลือดช่วยชีวิตเขาเอาไว้ก่อนตาย เกรงว่าตอนนี้เขาคงได้กลายเป็นศพอยู่ในสนามรบไปแล้ว
เบื้องหน้าเขาเป็นอูลา นางมีใบหน้าขาวซีด สีหน้าดูเหนื่อยล้าถึงขีดสุด แขนซ้ายของนางมีคราบโลหิตแห้ง ดูเหมือนจะยกไม่ขึ้น บนใบหน้ายังมีแผลเหวอะ ทำให้หมดซึ่งความงาม ทว่าในแววตาของนางกลับมีความไม่ยอมแพ้ ยังคงยึดมั่นและแน่วแน่นำขบวนชาวเผ่าเขาทมิฬต่อไป
ด้านหลังเป็นเป่ยหลิงและเฉินซิน พวกเขาจูงมือกันเดินไปราวกับไม่ยอมแยกจากชั่วนิรันดร์ พลางคุ้มกันขบวน
ส่วนท่านปู่ยังคงอยู่หลังสุด เส้นผมขาวบนศีรษะ รอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้าของเขา ยิ่งเมื่อซูหมิงได้เห็น หัวใจของเขาเจ็บปวดมากขึ้น เขามองออกว่าท่านปู่เหนื่อยล้าเพียงใด
ค่ำคืนวันที่สอง ดวงจันทร์บนท้องฟ้าไม่ได้โค้งงอ เพียงแต่ขยายใหญ่ขึ้น ทว่าในวันนี้ก็ยังไม่ใช่คืนจันทร์เต็มดวง บางทีอาจจะเป็นวันพรุ่งนี้หรือวันมะรืน
ขณะขบวนอพยพกำลังเคลื่อนตัว บางครั้งมีนักรบหมานพุ่งทะยานเข้ามาจากสี่ทิศ จำนวนไม่มาก มีเพียงแค่สี่คนเท่านั้น ทั้งสี่คนนี้เป็นสายสืบที่ชนเผ่าส่งออกไป พวกเขาเสี่ยงอันตรายเพื่อนำข้อมูลจากรอบทิศกลับมาบอกภายในเวลาที่แน่นอน
หากพวกเขาไม่กลับมา นั่นก็แสดงว่าเกิดเรื่องแล้ว
ไม่นานก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ความมืดมิดบนท้องฟ้าเหมือนกับมีแววตาที่น่ากลัวกำลังเพ่งมองผืนดินกว้างใหญ่ มองชาวเผ่าเขาทมิฬที่กำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้น ทั้งสี่คนที่ควรจะกลับมาตรงเวลา กลับมีเพียงแค่สามคนที่กลับมา สายสืบจากทิศด้านหลังหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ซูหมิงขนลุกซู่ แววตาเฉียบคม หมุนตัวชะงักฝีเท้า สัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง และยังมีคนอื่นเช่นเดียวกัน นัยน์ตาท่านปู่เป็นประกายวาววับ จับไม้เท้ากระดูกเอาไว้แน่น
ทันใดนั้น เสียงระเบิดดังขึ้นจากด้านหลังไกลๆ คลื่นเสียงเข้ามากระทบกับชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคน ทำให้ความเศร้าใจของซูหมิงเพิ่มมากขึ้น
เขาทราบดี นั่นคือการระเบิดเส้นเลือดตัวเอง
และทราบด้วยว่า เผ่าภูผาดำกำลังใกล้เข้ามา!
“ไม่ต้องหยุด เร่งความเร็วขึ้นอีก นักรบหมานทุกคนปกป้อง สู้พร้อมกับถอย!” ท่านปู่กระแทกไม้เท้ากระดูกลงพื้น ชูมือซ้ายขึ้น โบกไปเหนือชาวเผ่า ฟ้าดินพลันบิดเบี้ยวอีกครั้ง ปรากฏเป็นเทวรูปหมานเขาทมิฬก่อนหน้านี้ลอยอยู่เหนือกลุ่มคน พร้อมเปล่งแสงคุ้มกัน
มันลอยตามขบวนอพยพ มีมันอยู่ ขอแค่ไม่ถูกทำลาย ก็จะปกป้องชาวเผ่าที่อยู่ใต้แสงให้ปลอดภัย
แทบจะเป็นช่วงที่เทวรูปหมานเขาทมิฬปรากฏ ท่านปู่พลันแหงนหน้า สีหน้าดูเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นัยน์ตาฉายประกายแสงเย็นเยือก จ้องท้องฟ้ามืดเขม็ง
ยามนี้ท้องฟ้ามืดมิดพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แสงสีแดงปรากฏขึ้นก่อนหลอมรวมเข้ากับความมืดมิด มองดูคล้ายกลายเป็นสีม่วง แสงสีแดงดังกล่าวแผ่ขยาย ประดุจโลหิตกระจายอยู่ครึ่งท้องฟ้าในชั่วพริบตา
น้ำเสียงแหบพร่าเย็นเยือกดังก้องกังวานฟ้าดินไปแปดทิศ
“โม่ซัง….” เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลกดทับลงมาจากฟากฟ้า ก่อนแผ่ขยายไปทั่วฟ้าดิน ชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคนสัมผัสได้อย่างชัดเจน กระทั่งเทวรูปหมานเขาทมิฬยังสั่นไหว
ซูหมิงหัวใจเต้นแรง ความแข็งแกร่งของแรงกดดันนี้ เขาเคยสัมผัสจากจิงหนานจ้าวหมานเผ่าร่องลม นี่มันเป็นของขั้นชำระล้าง!
นี่เป็นแรงกดดันธรรมชาติของขั้นชำระล้างที่มีต่อขั้นรวมโลหิต ภายใต้แรงกดดันนี้ นักรบหมานขั้นรวมโลหิตจะไม่สามารถควบคุมการโคจรโลหิตได้ดั่งใจนึก
ทว่าในช่วงที่เกิดแรงกดดัน แสงโลหิตแผ่ขยายไปเต็มท้องฟ้า ดวงจันทร์ยังถูกแสงสีแดงสะท้อนจนกลายเป็นจันทร์โลหิตเลือนราง ในความรู้สึกของซูหมิง นอกจากเขาแล้ว ผู้อื่นคงจะไม่เคยมีใครมีความรู้สึกที่พูดไม่ออกเช่นนี้
เขารู้สึกเหมือนกับเห็นจันทร์โลหิตขณะทำเพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งยังทำให้เขาเกิดภาพหลอน ราวกับว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่บนท้องฟ้ายามนี้เป็นค้างคาวจันทราตัวใหญ่ยักษ์
นี่เป็นความรู้สึกที่ทำให้เขาเหลือเชื่อ ทำให้จิตใจสั่นไหว จากนั้นเขาเห็นภายในแสงสีแดงบนท้องฟ้าค่อยๆ มีคนเดินออกมา
บุคคลนี้สวมเสื้อคลุมม่วง รูปร่างซูบผอม ใบหน้าดูทะมึนทึบ เขาเอามือไพล่หลัง เดินออกมายืนอยู่กลางอากาศ มองตรงลงมาบนพื้น
ตรงกลางระหว่างคิ้วของเขามีภาพสัญลักษณ์ค้างคาวจันทรา ภาพนั้นราวกับของจริง ขยับแสงสีแดงวูบวาบเหมือนกับมีชีวิต
ปี้ถู!
จ้าวหมานเผ่าภูผาดำ ปี้ถู!
“โม่ซัง เจ้าไม่ต้องรอจิงหนานกับเหวินเหยียนแล้ว พวกเขา…ยังเอาตัวไม่รอดเลย คิดหรือว่าจะมีเวลามาสนใจเผ่าเขาทมิฬของเจ้า!” ปี้ถูหัวเราะอย่างเย็นชา มองท่านปู่ที่อยู่หลังกลุ่มคนบนพื้น
ท่านปู่เงียบ เขากำลังรอจิงหนานอยู่จริงๆ ทว่าระหว่างทางจิงหนานก็ยังไม่ปรากฏตัว ในใจของเขาพอคาดการณ์ได้ว่าอาจจะเกิดเรื่องในเผ่าร่องลม
“หนานซง ตอนนั้นเจ้าเป็นรองแค่โม่ซัง คนมีพรสวรรค์เช่นเจ้า พอหนีมาเผ่าเขาทมิฬแล้วก็ยังเป็นขยะเหมือนเดิม หลายปีมานี้ ข้านึกถึงเสมอ ก่อนบิดาเจ้าจะตาย สีหน้าของเขาควรค่าแก่การหวนคิดถึงยิ่งนัก เขาอ้อนวอนข้า ขอให้ปล่อยเจ้ามีชีวิตรอด น่าเสียดายที่เดิมทีข้าก็ไม่อยากทำให้เขาพอใจอยู่แล้ว แต่เจ้ากลับหนีไปจนได้ หนานซง บุตรชายหมานเผ่าภูผาดำในตอนนั้น พวกเรา…พบหน้ากันอีกแล้ว” ปี้ถูยิ้ม ทว่ารอยยิ้มกลับฉีกออกกว้างมากขึ้น ก่อนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในที่สุด
นอกกลุ่มคน ปู่หนานซงมองปี้ถูบนท้องฟ้า ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองคำพูดของอีกฝ่าย แต่กลับมองข้ามเรื่องทางโลก พลางถอนหายใจเบา
“กับคนที่วางยาสังหารจ้าวหมานภูผาดำรุ่นก่อน ทั้งยังล่าสังหารบุตรชายหมานภูผาดำ อีกทั้งยังใช้ชาวเผ่าภูผาดำไปมากกว่าครึ่งเพื่อเคล็ดวิชาหมานชั่วร้ายอย่างเจ้า ข้าไม่อาจเทียบได้…….” หนานซงยังคงสงบนิ่ง ทว่ารอยย่นบนใบหน้า กลับมีมากขึ้นเล็กน้อยในชั่วพริบตา
“บุญคุณและความแค้นในตอนนั้น วันนี้ถึงคราวสะสาง โม่ซัง หนานซง ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าสองคน ร่วมมือกันต่อสู้กับข้า!” ปี้ถูหัวเราะเสียงดังแล้วโบกมือขวา พลันเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น แสงโลหิตมหาศาลบนท้องฟ้าด้านหลังเขากลายเป็นหมอกโลหิตเข้มข้น หมอกไหลเชี่ยวกราก ก่อนกลายเป็นค้างคาวจันทราตัวใหญ่!
ค้างคาวจันทราสยายปีก ราวกับปกคลุมท้องฟ้า บดบังดวงจันทร์
“หนานซง ข้าจัดการปี้ถูเอง……ข้าจะถ่วงเวลาเขาเอาไว้ ส่วนชนเผ่า……ฝากเจ้าจัดการด้วย!”
ท่านปู่โม่ซังสูดลมหายใจเข้าลึก กวาดสายตามองชาวเผ่าทุกคนที่กำลังเงียบขรึม ราวกับอยากหาตัวคนทรยศ ทว่าท้ายที่สุดก็ต้องถอนหายใจ ชาวเผ่าทุกคนล้วนอาบไปด้วยเลือดและดูเหนื่อยล้า เขาจะไปสงสัยคนที่ต่อสู้เพื่อชนเผ่าเหล่านี้ได้อย่างไร เขาเห็นความเศร้าของผู้นำกองรักษาการณ์ เห็นบาดแผลลึกตรงคอของซานเหิน
“บางที อาจจะไม่มีคนทรยศจริงๆ…” ท่านปู่ละสายตา มองซูหมิงแวบหนึ่ง ก่อนพลันกระโดดขึ้นไป งูเหลือมทมิฬยักษ์ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ แล้วพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าพร้อมกับเขาประดุจดาวตก
เสียงครึกโครมดังลั่นฟ้าดิน ขณะท่านปู่เข้าใกล้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของปี้ถู ท้องฟ้าถูกหมอกแดงปกคลุม ล้อมทั้งสองคนเอาไว้ภายใน จนมองไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้น ทว่าเสียงระเบิดกลับดังสนั่นหวั่นไหว