Skip to content

สู่วิถีอสุรา 92

ตอนที่ 92 จันทร์โลหิต

ซูหมิงหัวใจเต้นแรงขึ้น เขามองท่านปู่ทะยานจากไป เห็นสายตาของท่านปู่ ในนั้นแฝงไว้ด้วยความหมายที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

“ค้างคาวจันทรา…ค้างคาวจันทรา…เคล็ดวิชาหมานเพลิง…” ซูหมิงมองค้างคาวจันทราที่รวมขึ้นจากหมอกแดงบนท้องฟ้า ขณะเกิดความหวาดกลัว ราวกับมีความคิดเลือนรางผุดขึ้นในหัว เพียงแต่มันค่อนข้างสับสน เขาไม่ได้คิดหาปมของเหตุ แต่กลับรู้สึกว่า หากความคิดที่สับสนนี้ชัดเจนขึ้น เป็นไปได้สูงว่าจะเกิดผลลัพธ์ใหญ่หลวง

เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องบนท้องฟ้า ณ มุมมืดป่าทึบด้านหลัง มีเสียงร้องคำรามพิลึกดังเข้ามา เห็นเป็นเงาคนสิบกว่าคนกำลังห้อเหยียด พวกเขาคือนับรบเผ่าภูผาดำในระลอกที่สาม ผู้นำเป็นจ้าวเผ่าภูผาดำ ด้านหลัง ซูหมิงเห็นเป็นปี้ซู่ผู้มีใบหน้ามืดทะมึน!

แทบจะเป็นช่วงที่นักรบภูผาดำตรงเข้ามา ซูหมิงพุ่งทะยานไปด้านหลังของขบวนทันที คนที่ตามมายังมีเป่ยหลิง เหลยเฉิน และผู้นำกองรักษาการณ์เป็นต้น นักรบหมานเขาทมิฬที่เหลืออยู่ นอกจากจ้าวเผ่ากับคนทั้งสามแล้ว ที่เหลือล้วนทะยานออกไป พวกเขาจะต้องต่อสู้พร้อมกับล่าถอยหลังขบวน!

ในดวงตาของจ้าวเผ่าเขาทมิฬเอ่อล้นด้วยน้ำตา พลันละสายตากลับ ก่อนนำขบวนเดินทางต่อภายใต้แสงคุ้มกันจากเทวรูปหมาน เหล่าชาวเผ่าล้วนวิ่ง ประคองซึ่งกันและกัน ไม่ปล่อยให้ใครล้มแม้สักคน คนที่ปกป้องพวกเขา นอกจากจ้าวเผ่าแล้ว ยังมีอูลา นางมีขั้นพลังไม่สูง จึงถูกสั่งให้อยู่กับขบวน

คนสุดท้ายคือซานเหิน เขาไม่ได้ออกไปสู้ เพียงแต่อยู่นอกขบวนอย่างเงียบๆ อุ้มเด็กน้อยผู้เหนื่อยล้าจนเดินไม่ไหวหลายคนติดตามขบวนไป

ซูหมิงไม่ได้หันกลับไปมอง ทว่าพาจิตสังหารพุ่งทะยานเข้าหานับรบเผ่าภูผาดำสิบกว่าคน ก่อนเปิดศึกทำสงครามโลหิต!

ในมือของเขาถือหอกยาวเป็นสีแดงฉานทุกส่วน ราวกับเปื้อนโลหิตไม่หยุดหย่อน ซูหมิงกับนักรบภูผาดำปะทะเข้าใส่กัน เกิดเป็นเสียงดังกังวานหาขอบเขตมิได้!

ผู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มภูผาดำคือจ้าวเผ่า คนที่เข้าต่อสู้กับเขาคือหนานซง ใบหน้าแก่ชรายามนี้ปะทุพลังโลหิตมหาศาล เข้าเข่นฆ่าโรมรันสะเทือนผืนฟ้า

โลหิตทั้งตัวซูหมิงเดือดพล่าน ภายใต้ความละเอียดอ่อน เส้นเลือดสองร้อยสี่สิบสามเส้นรวมเป็นหนึ่ง แฝงไว้ด้วยจิตสังหาร เขาพลันสะบัดหอกยาวเข้าใส่ชาวเผ่าภูผาดำคนหนึ่งด้วยความเร็วน่าตะลึง หลังจากนักรบคนนั้นระเบิดกระจุย ซูหมิงจึงขยับร่างเคลื่อนไหวประดุจเงา ถือหอกพลันหมุนตัว ก่อนปะทะกับดาบกระดูกที่ตรงเข้ามาจากด้านหลัง

ซูหมิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว มือขวารู้สึกชาเล็กน้อย กระเด็นถอยไปหนึ่งก้าว ชายฉกรรจ์เผ่าภูผาดำคนที่ถูกหอกของเขาขวางเอาไว้มีโลหิตไหลจากมุมปาก ซวนเซถอยหลังไปสามก้าว

ยังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคง ซูหมิงพลันทะยานเข้าใส่ โดยไม่สนใจบาดแผลภายในแม้แต่น้อย ขณะเข้าใกล้ มือซ้ายกำหมัดปล่อยเข้าใส่

ชายฉกรรจ์เผ่าภูผาดำไม่อาจหลบได้ ทำได้เพียงใช้ดาบกระดูกขวางหน้าเอาไว้ ด้านคมดาบหันเข้าหาซูหมิง ทว่าหมัดซ้ายของเขาไม่มีท่าทีชะงัก ปะทะเข้าใส่ดาบกระดูกตรงๆ กำปั้นมีเลือดแตกกระเซ็น กลับมีเสียงดังแกรก ดาบกระดูกไม่อาจต้านทานพลังของซูหมิงได้ แตกสลายกลายเป็นเศษจำนวนมากกองเต็มพื้นในชั่วพริบตา ทำให้ชายฉกรรจ์เผ่าภูผาดำมีสีหน้าตื่นกลัว กระอักโลหิตก่อนใช้มันช่วยถอยหนีอย่างรวดเร็ว

ทว่าซูหมิงกลับรวดเร็วกว่า พลันเข้าประชิดตัว ภายใต้จิตสังหารจากความแค้น ขณะกำลังจู่โจมสังหารชายฉกรรจ์ พลันมีภัยร้ายตรงเข้ามา สีหน้าเขาไม่เปลี่ยน เพียงแต่เคลื่อนตัวไปด้านข้างครึ่งก้าว

รู้สึกเจ็บปวดหน้าอก ราวกับมีพลังมหาศาลตรงเข้ามาจากด้านหลัง แล้วกลายเป็นของมีคมแหลมทะลุแผ่นหลังของเขา ตรงอกขวามีโลหิตหลั่งทะลัก ลูกศรแหลมราวกับตั้งใจแทงทะลุตัวเขา ทว่าในช่วงที่ลูกศรแหลมกำลังแทงทะลุ ซูหมิงใช้มือซ้ายจับปลายลูกศรแหลมตรงอกขวาเอาไว้ มือซ้ายสั่นสะท้าน ต้านทานแรงของลูกศร ทำให้มันหยุดอยู่ในร่างกาย

ซูหมิงทราบดีว่าบาดแผลจากลูกศรที่ร้ายแรงที่สุดคือการแทงทะลุ หากเกิดเป็นรูบาดแผล โลหิตจะไหลจำนวนมาก ทว่าหากทำให้มันอยู่ในร่างกายได้ จะสามารถช่วยอุดเลือดเอา ทำให้เลือดไหลมาไม่มากนัก และสามารถสู้ต่อไป

ซูหมิงพลันหันหน้าไปมอง เขาเห็นไกลๆ ว่าเป็นผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าภูผาดำที่คิดจะปลิดชีพจ้าวเผ่าเขาทมิฬในสนามรบก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายกำลังง้างคันศรอีกครั้ง ทว่าผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าเขาทมิฬแผดเสียงคำรามเข้าใกล้ ก่อนปล่อยลูกศรเข้าใส่ ผู้เชี่ยวชาญการใช้คันศรทั้งสองคนจึงเริ่มเปิดศึกกันในป่าทึบ

ซูหมิงละสายตา ยามนี้แม้ดวงจันทร์บนท้องฟ้าจะถูกหมอกโลหิตปกคลุม ทว่าแสงจันทร์ยังคงทะลุผ่านมาได้รางๆ และหลอมรวมในร่างกายของซูหมิงโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ในค่ำคืนแสงจันทร์เป็นของซูหมิง แต่น่าเสียดายยามนี้ดวงจันทร์ถูกหมอกปกคลุม

ซูหมิงขยับตัวไปด้านหน้า พลันโบกมือซ้าย พบว่าแสงจันทร์ไร้รูปตรงเข้าใส่ชายฉกรรจ์ภูผาดำคนที่คิดหนีไปก่อนหน้านี้ ลำตัวของเขาสั่นสะท้าน ขณะสับสนมึนงง ตรงคอมีเส้นเลือดผุดขึ้น ศีรษะหลุดจากบ่า ยังไม่ทันได้ตกพื้น ซูหมิงก็ตามเข้ามาแล้วเตะไปที่ใบหน้า ศีรษะมนุษย์กระอักเลือด ลอยไปทางชายเผ่าภูผาดำคนที่กำลังต่อสู่กับเหลยเฉินไม่ไกลนัก

เหลยเฉินในยามนี้เจอกับวิกฤตร้ายแรง ขั้นพลังของเขาไม่มากพอ อีกทั้งยังบาดเจ็บ ยามนี้อ่อนแรงถึงขีดสุด คนที่ต่อสู้กับเขาเป็นชายร่างกำยำอัปลักษณ์ลำดับหกขั้นรวมโลหิต ขณะชายร่างกำยำยิ้มเยาะ เขาปล่อยหมัดเข้าใส่หน้าอกเหลยเฉิน ทำเอาเหลยเฉินกระอักโลหิต

เขาหมายมั่นจะฉีกศีรษะของเหลยเฉินด้วยความตื่นเต้น ทว่าทันใดนั้น มีเสียงลากยาวดังขึ้น พบว่าเป็นศีรษะที่ซูหมิงเตะตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยพลังโลหิตที่แฝงไว้ ขณะชายฉกรรจ์เหม่อลอย ศีรษะที่พุ่งอัดเข้าใส่ร่างของเขาพลันระเบิดกระจาย ชายฉกรรจ์โซเซ กระอักโลหิต

เหลยเฉินพลันแหงนหน้า กระโจนเข้าใส่ทั้งตัว ชายฉกรรจ์ล้มลง พลังโลหิตในร่างปั่นป่วน ทราบดีว่ายามนี้ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ขณะลนลานพลันกัดปลายลิ้น พ่นศรโลหิตเข้าใส่เหลยเฉิน เหลยเฉินทราบดีว่าไม่มีทางหลบได้ ทว่าหากพลาดโอกาสนี้ไป เมื่ออีกฝ่ายโคจรโลหิตได้ ตนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!

เขาปล่อยให้ศรโลหิตเข้าใกล้ จากนั้นใช้มือซ้ายขวางเอาไว้ ทั้งแขนซ้ายพลันรู้สึกเจ็บปวด หยดโลหิตแตกกระเซ็น ทั้งยังมีบางหยดกระเด็นเข้าใส่ตาขวาเขา กลายเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะจินตนาการได้ ส่งผลให้ดวงตาขวาพร่ามัว ทั้งยังมีโลหิตสีดำหลั่งไหล ทว่าเขาได้เข้าประชิดชายฉกรรจ์แล้ว ท่ามกลางเสียงร้องอ้อนวอนด้วยความหวาดกลัว เหลยเฉินปล่อยหมัดขวาเข้าไปที่ศีรษะ หนึ่งหมัด หนึ่งหมัด จนตัวชายฉกรรจ์ระเบิดกระจาย

เหลยเฉินฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว ดวงตาขวาของเขามืดบอด ทว่าเขาไม่เสียใจ แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มปวดร้าว แต่ก็แฝงไว้ด้วยความยึดมั่น

ยามนี้ตาซ้ายของเขาเห็นชาวเผ่าภูผาดำสองคนเข้ามาใกล้ เหลยเฉินแสยะยิ้ม แผดเสียงร้องในใจ

“เข้ามาใกล้อีก เข้ามาใกล้อีก ข้าจะใช้เลือดเนื้อร่างกายของข้า ดึงพวกเจ้าสู่เส้นทางยมโลก จะได้ไม่เหงาอีกต่อไป!” ขณะเหลยเฉินกำลังจะระเบิดเส้นเลือดตัวเอง พลันมีเงาคนพุ่งเข้ามาจากที่ห่างไกลด้วยความเร็วสูง เงานั่นก็คือซูหมิง!

เส้นเลือดฝอยในดวงตาของซูหมิงประดุจสีแดง เขาอยากช่วยเหลยเฉิน ด้วยความเร็วของเขาจึงทำให้บาดแผลฉีก โลหิตหลั่งไหล เขาพลันใช้มือขวาโบกไปด้านหน้า แสงจันทร์คล้ายเส้นตรงเข้าใส่นักรบภูผาดำคนหนึ่งข้างกายเหลยเฉินทันที บุคคลนี้กำลังง้างดาบตัดศีรษะเหลยเฉิน ทว่าเพิ่งง้างดาบขึ้น พลันเห็นความบ้าบิ่นในแววตาซ้ายของเหลยเฉิน ในใจตื่นกลัวคิดถอยหนี ทว่ากลับรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว ดวงตามืดสลัว ร่างแหลกเป็นเสี่ยงๆ

ช่วงที่บุคคลนี้สิ้นใจ ซูหมิงเข้ามาถึง เขาไม่ได้สนใจนักรบภูผาดำอีกคนที่กำลังตื่นกลัวแววตาบ้าบิ่นของเหลยเฉินจนถอยหนี แต่เตะเข้าไปที่เส้นเลือดพองบวมราวกับใกล้ระเบิดของเหลยเฉิน

ขั้นพลังของซูหมิงอยู่เหนือกว่าเขา เพียงหนึ่งเท้าก็ทำให้เส้นเลือดยุบตัว เสียงปะทุของระเบิดหยุดลง ขณะเหลยเฉินสับสน ซูหมิงอุ้มเขาขึ้นแบกไว้ด้านหลัง ก่อนใช้แสงจันทร์มัดตัวเขาไว้

“ซู….”

“ไม่ต้องพูด หากตาย พวกเราก็ตายพร้อมกัน!” ซูหมิงหมุนตัว ก่อนเข้าเข่นฆ่าโรมรันอีกครั้ง เหลยเฉินน้ำตาไหล เขามองใบหน้าซูหมิงจากด้านข้าง เงียบขรึมอยู่นาน ก่อนรับเขากระดูกพิลึกจากซูหมิง กำเอาไว้ในมือ และร่วมรบพร้อมกัน!

หากเทียบกับฟากซูหมิง การต่อสู้ระหว่างหนานซงกับจ้าวเผ่าภูผาดำดุเดือดยิ่งกว่า หนานซงเพียงคนเดียว ต่อสู้กับจ้าวเผ่า และคนทั้งห้าที่รวมปี้ซู่อยู่ในนั้นโดยไม่ตกเป็นรอง!

แต่หากถามว่าการต่อสู้ของใครดุเดือดและทรหดที่สุด คงต้องตอบว่าเป็นของผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าเขาทมิฬและภูผาดำ!

เสียงลากยาวของลูกศรดังขึ้นต่อเนื่อง รวดเร็วและดุเดือด จนท้ายที่สุดทั้งสองคนล้วนปล่อยลูกศรจำนวนมากพร้อมกัน บิดาของเป่ยหลิงเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาจะต้องฆ่าผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าภูผาดำให้ได้ หากบุคคลนี้ยังอยู่ จะสร้างความหวาดหวั่นให้กับชนเผ่าอย่างมาก!

สุดท้าย ขาทั้งสองข้างของเขาแหลกละเอียด ทว่าก็แลกมาด้วยการที่ผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าภูผาดำถูกลูกศรทะลวงหน้าอก! ก่อนอีกฝ่ายสิ้นใจ ผู้นำกองรักษาการณ์เขาทมิฬคนนี้เผยรอยยิ้ม

สงครามยับยั้งครั้งนี้ดำเนินไปได้เพียงไม่นานก็มีผู้คนล้มตายและบาดเจ็บ นักรบเผ่าเขาทมิฬจากเก้าคน ยามนี้เหลือหกคน ทั้งหกคนนี้มีหนานซงเป็นผู้นำ สู้ไปพร้อมกับล่าถอย

เป่ยหลิงบาดเจ็บสาหัส เมื่อเห็นบิดาเสียขาทั้งสองข้าง เขาจึงแบกบิดาขึ้นหลัง เดินโซเซตามขบวนอพยพ ทว่าตัวเขาเองก็ใกล้จะถึงปลายทางแล้วเหมือนกัน

เผ่าภูผาดำกลายเป็นศพจำนวนมาก ยามนี้เหลือเพียงเก้าคน จ้าวเผ่าภูผาดำเองก็บาดเจ็บ มุมปากมีโลหิตไหล เขามองหนานซง ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!

ทว่าตอนนี้ต้องไล่สังหารให้ถึงที่สุด กลุ่มคนภายใต้การนำของเขาไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นมีปี้ซู่ แววตาขยับประกายวูบวาบ เขาสังเกตเห็นซูหมิง ทั้งยังตื่นตะลึงในขั้นพลังของฝ่ายตรงข้าม เขาทราบมาว่าในรุ่นเยาว์เผ่าเขาทมิฬไม่มีคนเช่นนี้

เขามองซูหมิงที่กำลังแบกเหลยเฉินล่าถอย เห็นแววตาของอีกฝ่าย ความรู้สึกคุ้นเคยหลั่งทะลักขึ้นในจิตใจ ดวงตาของอีกฝ่ายแฝงไว้ด้วยความยึดมั่น ทำให้เขานึกไปถึงบุคคลลึกลับที่ไม่ว่าเผ่าภูผาดำจะตรวจสอบยังไงก็ไม่พบ!

“โม่ซู! เจ้าคือโม่ซู!” แววตาปี้ซู่เพ่งมอง ชี้ไปที่ซูหมิงพลางหลุดเสียงกล่าว

คำกล่าวของเขา นักรบเผ่าภูผาดำที่กำลังไล่สังหารส่วนใหญ่ไม่ได้มีท่าทีโต้ตอบสักเท่าไร ทว่าจ้าวเผ่าภูผาดำที่กำลังต่อสู้กับหนานซงกลับตกตะลึง

พลันมองไปทางซูหมิง นัยน์ตาฉายประกายเด่นชัด

“คนที่สังหารมัน ข้าจะให้สตรีเขาทมิฬสิบคน!” จ้าวเผ่าภูผาดำพลันเปิดปาก เมื่อกล่าวจบ นักรบที่กำลังล่าสังหารเหล่านั้นล้วนมองไปทางซูหมิง

ยามนี้การต่อสู้บนท้องฟ้ายังคงดำเนินอยู่ เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ท่ามกลางหมอกโลหิตไหลเชี่ยวกรากไม่หยุดหย่อน ดวงจันทร์บนท้องฟ้ากลับเผยให้เห็นมากกว่าครึ่งแล้ว

ดวงจันทร์ในยามนี้เป็นช่วงเวลาที่เด่นชัดที่สุด!

ในตอนที่มันปรากฎ แสงจันทร์จำนวนมากพลันสาดส่อง กระทบลงบนตัวซูหมิง ทำให้ร่างกายของเขาในยามนี้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แสงจันทร์โอบล้อมร่างกายของเขา ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างปรากฎเงาจันทร์โลหิต! ไม่ได้เลือนราง แต่เด่นชัดยิ่งนัก และเข้ามาแทนที่ดวงตาของเขา!

ในขณะเดียวกัน ยอดเขาทั้งห้าของเขาทมิฬราวกับสั่นสะเทือน! ภายในยอดเขา ค้างคาวจันทราจำนวนมากแผดเสียงคำราม เหมือนอยากจะพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง

โดยเฉพาะวันนี้ แม้จะไม่ใช่จันทร์เต็มดวง ทว่าก็ใกล้เคียง ในช่วงที่แสงจันทร์เข้มข้นสาดส่อง พลังที่ไม่อาจกล่าวได้ปะทุขึ้นในร่างกายของซูหมิง

คนที่รู้สึกได้เป็นคนแรกคือ เหลยเฉิน จากนั้นนักรบเขาทมิฬทุกคนที่กำลังล่าถอยล้วนสัมผัสได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน นักรบภูผาดำทุกคนที่มองมาที่เขาจิตใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เห็นจันทร์โลหิตในแววตาของซูหมิง

“นั่นคืออะไร…ในตาของมันมีอะไร!”

“จันทร์……เป็นจันทร์โลหิต!”

“ในดวงตาของมันมีจันทร์โลหิต!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version