Skip to content

สู่วิถีอสุรา 93

ตอนที่ 93 ลูกศรดอกที่สี่

จันทร์โลหิต!

ในดวงตาของซูหมิงปรากฎจันทร์โลหิต เปล่งแสงเลือดน่าสะพรึง ความชั่วร้ายที่แผ่ออกมา ทำให้ทุกคนที่มองล้วนจิตใจสั่นไหว ในขณะเดียวกัน ปี้ถูที่กำลังต่อสู้กับท่านปู่ในหมอกแดงบนท้องฟ้า พลันเกิดความร้อนใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกนี้ไม่มีต้นตอที่แน่ชัด ทว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกเช่นนี้ เขาจำได้แม่นว่า เมื่อหลายเดือนก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเกิดความรู้สึกร้อนรนไม่เป็นสุขเช่นนี้

เหมือนกับว่าโลหิตในร่างกายไม่ฟังคำสั่ง อยากจะหลุดออกจากร่างไปกราบคารวะอะไรบางอย่าง

โม่ซังที่กำลังประมือกับปี้ถู เดิมทีเริ่มต้านทานไม่ไหว ทว่ายามนี้แววตาเป็นประกาย สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงโลหิตในร่างปี้ถู จึงพลันก้าวเข้ามา งูเหลือมทมิฬข้างกายเขาแผดเสียงคำราม อาศัยจังหวะนี้สำแดงอานุภาพเคล็ดวิชาหมาน

ไม่นาน หมอกโลหิตผืนใหญ่บนท้องฟ้าไหลเชี่ยวอย่างรุนแรง ราวกับปี้ถูที่อยู่ข้างในกำลังล้มลง

เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ทุกคนบนพื้นตื่นตะลึงกับการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งที่สุดบนท้องฟ้า ขณะที่ยังตื่นตระหนกกับจันทร์โลหิตในดวงตาของซูหมิงไม่หาย

“ถอย!” นัยน์ตาหนานซงเป็นประกายวาววับ สะบัดแขนเสื้อ พานักรบหมานเขาทมิฬข้างกายถอยทัพอย่างรวดเร็ว ขณะกำลังล่าถอย นักรบภูผาดำทั้งเก้าคนล้วนพยามยับยั้งความตื่นตระหนกในใจ ไม่มองบนท้องฟ้าอีก แต่ห้อเหยียดไล่ตามไป

หลังจากถอยมาได้หนึ่งร้อยจั้ง หนานซงกัดปลายลิ้น พ่นโลหิตมาหนึ่งกอง โลหิตของเขาพลันกลายเป็นแขนสีเลือดใหญ่ยักษ์ สะบัดเข้าใส่นักรบภูผาดำทั้งเก้า เสียงโครมดังก้องกังวาน แผ่นดินสั่นสะเทือน แขนใหญ่สีเลือดขวางนักรบภูผาดำที่ใกล้เข้ามาให้อยู่นอกระยะห้าสิบจั้ง

“ข้ารู้สึกได้ว่านักรบหมานภูผาดำยังมีอีก และกำลังตามมา…ข้าจะใช้เคล็ดวิชาหมาน เจ้ารอคุ้มกัน ถ่วงเวลาให้ข้า!” หนานซงกล่าว นั่งขัดสมาธิหลับตาลงทันที กลิ่นอายพลังหายไปในชั่วพริบตา ทว่าเส้นเลือดหนึ่งเส้นบนตัวเขากลับบิดเบี้ยวอย่างประหลาด คล้ายจะก่อตัวขึ้นเป็นภาพสัญลักษณ์

เป่ยหลิงแบกบิดาของเขา ยามนี้เขาไม่มีแรงสู้เหลือแล้ว แม้แต่ออกแรงวิ่งยังยากนัก ส่วนผู้นำกองรักษาการณ์ที่เสียขาทั้งสองข้างพยายามฝืนตัวเองไม่ให้หมดสติ ทว่าดูจากท่าทางแล้วคงยืนหยัดได้อีกไม่นาน

เหลยเฉินพยามดิ้นลงจากหลังของซูหมิง เทียบกับพวกเป่ยหลิงแล้ว แม้เขาจะหมดแรง ทว่าก็ยังพอสู้ได้ จึงเลือกคุ้มกันหนานซงอยู่ข้างกาย

ยามนี้นอกจากซูหมิง ยังมีชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบปีอีกคนหนึ่ง ใบหน้าเขาไร้เลือด แขนซ้ายเป็นแผลเหวอะหวะ ทว่ามือขวายังคงกำหอกยาวเอาไว้แน่น

เขามองซูหมิงแวบหนึ่ง ก่อนยืนอยู่หน้าสุดพร้อมกับซูหมิง

“ซูหมิง!” เสียงอ่อนแรงของผู้นำกองรักษาการณ์ดังมาจากด้านหลัง

“คันศรนี้ให้เจ้า!” ในช่วงที่ซูหมิงหันกลับไปมอง ผู้นำกองรักษาการณ์มองเขา บอกใบ้ให้เป่ยหลิงหยิบคันศรของตน รวมถึงลูกธนูสามดอกที่เหลืออยู่โยนให้ซูหมิง

“จากนี้ไป เจ้าคือผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าเขาทมิฬของเรา! ศิลปะการใช้คันศรของเจ้า ข้าเคยเห็นมาแล้ว มันดีมาก….” ผู้นำกองรักษาการณ์ยิ้ม ค่อยๆ หลับตาลง เขายังไม่สิ้นใจ เพียงแค่หมดสติไปเท่านั้น

ซูหมิงรับคันศรพร้อมกับลูกธนูมา คันศรนี้หนักมาก ทั้งยังมีกลิ่นอายความชั่วร้าย ด้านบนเปื้อนโลหิตไม่น้อย เขากำคันศร ก่อนนำซองธนูคล้องไว้ด้านหลัง พยักหน้าให้กับเป่ยหลิง จากนั้นหมุนตัวกลับแล้วมองไปทางแขนยักษ์จากโลหิตของหนานซงเบื้องหน้า

เวลาไม่กี่ลมหายใจผ่านไปรวดเร็ว เริ่มมีกลิ่นอายพลังน่ากลัวค่อยๆ รวมตัวขึ้นจากหนานซง เห็นได้ว่าหากเขาเตรียมตัวเสร็จ เคล็ดวิชาหมานนี้จะต้องน่าตะลึงอย่างแน่นอน

ทว่าในขณะนั้น แขนใหญ่โลหิตพลันระเบิดกระจาย ภายในเผยให้เห็นนักรบภูผาดำทั้งเก้าที่พุ่งทะยานออกมาด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม ตรงเข้ามาทางซูหมิงและชาวเผ่าข้างกายคนนั้น

นัยน์ตาซูหมิงมีประกายจิตสังหารวาบผ่าน พลันยกมือซ้ายที่กำคันศรขึ้น มือขวาหยิบลูกธนูจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ง้างสายธนูเป็นลักษณะจันทร์เต็มดวง กลิ่นอายพลังยากจะบรรยายระเบิดขึ้นในตัวซูหมิง เส้นเลือดพลันปะทุขึ้นทั้งตัว ราวกับหลอมรวมอยู่ในลูกธนูดอกนี้ ขณะปล่อยมือ เสียงลากยาวเฉียบคมดังสนั่นขึ้น

ลูกธนูดอกนี้แฝงไว้ด้วยความคลุ้มคลั่งในการพิฆาตสังหาร ท่ามกลางเสียงลากยาวราวทะลวงความว่างเปล่า มันตรงดิ่งไปเบื้องหน้า เข้าประชิดหนึ่งในนักรบภูผาดำทั้งเก้าในพริบตา

ซูหมิงทราบว่ายามนี้ไม่ควรสิ้นเปลืองธนูแม้ดอกเดียว ฉะนั้นเขาจึงไม่เลือกเล็งไปที่จ้าวเผ่าภูผาดำหรือปี้ซู่ แต่เล็งไปที่นักรบลำดับห้าขั้นรวมโลหิต

ลูกธนูเป็นเส้นตรง ฉับพลันกลายเป็นแสงทมิฬ ระเบิดเข้าใส่หน้าอกของนักรบภูผาดำทันที ลูกธนูทะลวงผ่าน ร่างของเขาถูกกระชากถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนล้มลง

ในขณะเดียวกัน ซูหมิงหยิบลูกธนูดอกที่สอง ยามดึงสายธนู นักรบภูผาดำแปดคนที่เหลือเข้ามาในระยะสามสิบจั้ง ประหนึ่งคิดว่าลูกธนูดอกนี้ยังไม่ทันได้ปล่อย พวกเขาก็เข้าประชิดตัวได้แล้ว

ทว่ายามนี้ ชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบปีข้างกายซูหมิง กลับหัวเราะเสียงดังเดินไปเบื้องหน้า ก่อนพุ่งทะยานเข้าไป ทั้งตัวเปล่งแสงสีแดงจ้าละลานตา เส้นเลือดบนตัวพองบวม เขาคิดจะระเบิดเส้นเลือดตัวเอง!

ใช้การระเบิดร่างกายเพื่อขวางเผ่าภูผาดำเอาไว้ และเพื่อให้ซูหมิงได้ยิงธนู จึงต้องถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด

ซูหมิงเงียบขรึม ใช้การกระทำเป็นตัวแทนบ่งบอกถึงความโกรธแค้นและเศร้าใจกับการสละชีพของนักรบ เขาได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น นักรบคนนั้นสิ้นใจแล้ว

ใช่ว่าชายฉกรรจ์วัยสามสิบกว่าปีไม่เสียดายชีวิต ทว่าตอนนี้ หากเทียบระหว่างชีวิตกับชาวเผ่า เขาเลือกความปลอดภัยของชาวเผ่ามากกว่า หลังจากการระเบิดตัวเอง มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ขวางนักรบภูผาดำทั้งแปดคนได้สามลมหายใจ!

ภายในเวลาสามลมหายใจ ซูหมิงปล่อยลูกธนูดอกที่สอง ทะลวงผ่านหัวใจของนักรบภูผาดำคนหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายกระอักโลหิต ก่อนสิ้นใจลง

เวลาเดียวกัน ระหว่างที่แรงระเบิดของชายฉกรรจ์เบาบางลง ซูหมิงพลันปล่อยลูกธนูดอกที่สาม!

เขาไม่สนใจมองผลลัพธ์ครั้งนี้ แต่นำคันศรแขวนไว้ด้านหลัง แล้วทะยานไปเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล บนแขนขวาของเขาเปล่งแสงโลหิตวูบวาบ มีหอกเกล็ดโลหิตปรากฎขึ้นในมือ

คนที่เรียนรู้ความเงียบขรึมอย่างซูหมิง ไม่ได้แผดเสียงคำรามอีก เพียงแต่พุ่งไปเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล ด้านหลังของเขามีหนานซงที่กำลังเตรียมเคล็ดวิชาหมานแกร่งกล้า มีเหลยเฉินที่แรงสู้แทบไม่เหลือ มีผู้นำกองรักษาการณ์กำลังหมดสติและเป่ยหลิงที่บาดเจ็บสาหัส คนที่ต่อสู้ได้ในครั้งนี้ มีเพียงซูหมิงคนเดียว

เขาจะถอยไม่ได้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น! สายตาของเขาพร่ามัว ลูกศรตรงหน้าอกยังอยู่ เขาไม่กล้าดึงออก เพราะอาจทำให้บาดแผลสาหัสกว่าเดิม อีกทั้งผลข้างเคียงจากการฝืนทะลวงพลังก่อนหน้านี้ยังเริ่มปรากฎให้เห็น

เขาพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าเพียงลำพัง นักรบภูผาดำรวมถึงจ้าวเผ่าของพวกเขายังเหลืออีกหกคน! แม้ว่าทั้งหกคนจะมีบาดแผล ทว่ายามนี้กลับบีบใกล้เข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

เหลยเฉินกำหมัด ทว่าเขาทราบดี ตนเป็นแนวต้านสุดท้าย แม้ว่าต้องตายก็ขอตายอย่างสมเกียรติ เขาเดินออกมายืนอยู่หน้าหนานซง มองซูหมิงกำลังเข้าต่อสู้ น้ำตาไหลพราก

“ซูหมิง เจ้าเคยบอกว่าข้าจะตายก่อนไม่ได้ หากตาย พวกเราก็ต้องตายพร้อมกัน…..ข้าสัญญา!”

น้ำเสียงไม่ได้เด่นชัดมากนัก ซูหมิงราวกับเป็นใบ้ ทว่าการต่อสู้ของเขากลับอยู่เหนือกว่าวัยไปไกลมาก ใช้หอกยาวในมือปะทะกับนักรบภูผาดำ!

จ้าวเผ่าภูผาดำเป็นผู้แข็งแกร่งลำดับแปดขั้นรวมโลหิต

กระทั่งยังแข็งแกร่งกว่าเยี่ยวั่งเล็กน้อย แม้จะบอกว่าเขาบาดเจ็บ ทว่าซูหมิงกลับไม่อาจต้านทานได้เลย ขณะปะทะเข้าใส่กัน มีโลหิตไหลมาจากมุมปากของซูหมิง เขาใช้ร่างกายรับหมัดของจ้าวเผ่าภูผาดำเอาไว้จนตัวบิดเบี้ยวผิดรูป ทว่าก็ยังใช้หอกยาวในมือแทงอีกคนหนึ่งด้านข้าง

บุคคลนั้นเป็นนักรบหมานลำดับหกขั้นรวมโลหิต เขากำลังติดตามจ้าวเผ่าของตน เดิมทีแสยะยิ้ม ในแววตาราวกับเห็นภาพล่วงหน้าว่าซูหมิงจะต้องถูกบดขยี้จนแหลกสลาย ทว่าเขากลับไม่ได้เห็นภาพนั้น หอกเกล็ดโลหิตพลันส่งเสียงลากยาวเข้ามา ขณะกำลังตื่นตะลึง ดวงตาขวาของเขาถูกแทงทะลุ ส่งเสียงดังปึก ตอกร่างตรึงอยู่บนพื้น

ช่วงเวลาเดียวกัน ซูหมิงมีโลหิตไหลมาจากตัว กระเด็นถอยหลังก่อนล้มลงบนพื้น ทันใดนั้น นักรบภูผาดำห้าคนที่เหลือกำลังพุ่งทะยานเข้ามา

ทว่าซูหมิงกลับตะเกียกตะกายยืนขึ้น ฝืนยิ้มปวดร้าวพร้อมกับอ้าแขนทั้งสองข้าง แสงจันทร์บนท้องฟ้าเข้ามาโอบล้อมรอบตัว ก่อนถูกเขาสะบัดเป็นเส้นตรงเข้าใส่คนทั้งห้า

จ้าวเผ่าภูผาดำแววตาเป็นประกายสังหาร พลันใช้มือขวาผลักปี้ซู่ อาศัยแรงนี้พุ่งตรงเข้าใส่เหลยเฉินด้วยจิตสังหาร

ส่วนตัวจ้าวเผ่าภูผาดำแผดเสียงร้องคำราม ระเบิดแสงโลหิตสีแดงขึ้นทั้งตัว ด้านหลังของเขาพลันมีเงาหมีโลหิตขนาดสิบกว่าจั้งปรากฎตัวขึ้น นี่คือลวดลายแห่งหมานที่ยังไม่คงรูปของเขา หมีตัวนี้แผดเสียงคำราม ใช้ร่างกายของมันขวางแสงจันทร์ของซูหมิงเอาไว้

ทว่าเขาดูแคลนเคล็ดวิชาลับของซูหมิงมากเกินไป โดยเฉพาะดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ แม้จะไม่เต็มดวง ทว่าก็ใกล้เคียง ในช่วงที่อานุภาพแสงจันทร์ปะทะเข้ากับหมีโลหิต มันทะลุผ่านตัวทันที ทำให้หมีโลหิตส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ทว่าแววตาจ้าวเผ่าภูผาดำกลับเป็นประกาย เห็นหมีโลหิตระเบิดกระจุย จึงอาศัยแรงระเบิดนี้ทำลายแสงจันทร์จนแหลกละเอียด กวาดกระจายเป็นวงกว้าง อัดเข้าใส่ซูหมิงจนเขากระอักเลือด ร่างกระเด็นลอยขึ้น

ขณะลอยอยู่กลางอากาศ ซูหมิงเริ่มสติพร่ามัว เขาเห็นในป่าทึบ ยามนี้มีเงาคนเผ่าภูผาดำสิบกว่าคนกำลังห้อเหยียดเข้ามา เขาเห็นเหลยเฉินอยู่หน้าหนานซง กำลังแผดเสียงร้องพุ่งออกไป ศัตรูของเขาคือปี้ซู่ผู้โหดเหี้ยม

“จบแล้วหรือ…แต่ข้า……ยังสู้ต่อได้…ข้ายังมีธนูอีกดอก!” ทุกอย่างในสายตาของซูหมิงราวกับเชื่องช้าลง หูเขาไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่ในสายตากลับจ้องปี้ซู่ที่กำลังเข้าประชิดตัวเหลยเฉิน ร่างกายของเขาถูกแสงจันทร์โอบล้อม มือซ้ายยกคันศรขึ้น มือขวากำลูกธนูตรงหน้าอก พลันกระชากออก ความเจ็บปวดกลายเป็นจิตสังหาร โลหิตทั้งตัวแตกกระเซ็น เขานำลูกธนูเปื้อนโลหิตง้างใส่คันศร ก่อนปล่อยเข้าใส่ปี้ซู่!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version