Skip to content

สู่วิถีอสุรา 926

ตอนที่ 926 เลือนราง…

สิ้นเสียงนี้ ชายร่างผอมบางก็หมดสติไป เส้นสีดำบนใบหน้าไม่ใช่เส้นเดียวอีก แต่ปรากฏมาหลายเส้น มันเชื่อมต่อกันร่างออกมาเป็นลักษณะหัวภูตผี

หัวภูตผีเหมือนกำลังยิ้ม ประทับบนใบหน้าชายร่างผอมบาง ดูแล้วน่าสะพรึงกลัว

ซูหมิงคว้าตัวอีกฝ่าย กายพุ่งทะยาน พาเคลื่อนย้ายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ซ่อนอยู่ในอากาศ

…………

หลายวันต่อมา ตอนที่ชายร่างผอมลืมตาตื่นขึ้น เขานอนอยู่บนแผ่นดินใหญ่ แผ่นดินใหญ่นี้คือแผ่นหินยักษ์ที่ลอยอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ด้านบนมีพืชสีม่วงอมดำเติบโตอยู่เล็กน้อย มีกลิ่นเน่าเหม็นโชยไปรอบๆ

แทบเป็นช่วงที่เขาลืมตาขึ้น นัยน์ตาพลันเพ่งมอง ตอนที่ลุกขึ้นนั่ง เขายกมือขวาขึ้นสูงเป็นประกายแสงเย็นเยียบ พลันปรากฏดาบกระดูกเล่มใหม่ในมือขวา เขามีสีหน้าตื่นตัว สายตามองไปรอบๆ ก็เห็นซูหมิงนั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่งไม่ไกลนัก กำลังเงยหน้ามองฟ้า

เขาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ เส้นผมยุ่งเหยิง ผิวคล้ำเล็กน้อย มีกลิ่นอายดึกดำบรรพ์วนเวียนรอบตัว

ถึงเขาจะดูอายุน้อยอยู่มาก แต่การตกตะกอนของความรู้สึกผ่านโลกและกาลเวลามาเนิ่นนานกลับเผยร่องรอยอยู่บ้างจากสีหน้าและแววตา

นัยน์ตาชายร่างผอมบางฉายแววซับซ้อน เขามองซูหมิงอยู่เงียบๆ

“เจ้าตื่นแล้ว” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ไม่ได้มองอีกฝ่าย แต่ยังคงมองฟ้า มองฟ้าที่ไม่มีดวงดาว มองทอดไกลด้วยความรู้สึกแปลกตา

“เจ้าเป็นใครกันแน่” ชายร่างผอมลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามซูหมิงด้วยเสียงเบา

“ข้าแก้พิษในตัวเจ้าให้แล้ว แต่บาดแผลในร่างกายที่ได้มาตลอดหลายปีนี้ ข้าช่วยเจ้าฟื้นฟูไม่ได้” ซูหมิงไม่ตอบคำถาม แต่กล่าวอย่างเฉยชา

ตอนที่ชายร่างผอมตื่นขึ้น ก็สังเกตเห็นแล้วว่าพิษในตัวหายไป พอได้ยินดังนั้นจึงเงียบงัน

“เจ้ามีนามว่าอะไร” ซูหมิงกล่าวเบาๆ

“ตี้จิ่วโม่ซา” ชายร่างผอมบางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกนามตัวเองกับซูหมิง

“ตี้จิ่ว (ลำดับเก้า)…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ละสายตาจากฟ้า หันหน้าไปมองตี้จิ่วโม่ซา

“ชนเผ่าของเจ้ามีนามว่าเขาลำดับเก้าใช่หรือไม่?” ซูหมิงเหมือนมีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ ตอนที่เอ่ยคำว่ายอดเขาลำดับเก้า ความงดงามในตอนนั้นที่ซ่อนอยู่ในกาลเวลาถูกปลุกตื่นขึ้นมาในใจ

ตี้จิ่วโม่ซาอึ้งงัน จ้องซูหมิงเขม็ง แต่ไม่กล่าวอะไร

แม้เขาจะไม่ตอบ แต่ซูหมิงได้คำตอบแล้ว

“จ้าวเชมันของเผ่าเจ้ามีนามว่า…เทียนเสียจื่อใช่หรือไม่?” ซูหมิงเอ่ยอีกครั้ง น้ำเสียงสงบนิ่ง แต่กลับแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามที่ต้องได้คำตอบอย่างไม่ต้องสงสัย

“ไม่ใช่” ตี้จิ่วโม่ซาก้มหน้าลงแล้วตอบไป

“ไม่ใช่หรือ…” ซูหมิงมองชายร่างผอมตรงหน้า บุคคลนี้คือคนในเผ่าที่อาจารย์สร้างขึ้นในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต จุดนี้มั่นใจได้แล้ว

“ในเมื่อไม่ใช่ เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ” ซูหมิงส่ายศีรษะแล้วมองฟ้าอีกครั้ง มองความแปลกตาที่อยู่ไกลๆ บนตัวเขามีความรู้สึกหมองหม่นอยู่

ตี้จิ่วโม่ซางุนงง เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายที่แกร่งอย่างยิ่งในสายตาเขา สามารถสู้กับสัตว์ร้ายความว่างเปล่า หลังจากช่วยตนเอาไว้แล้วจะไม่เพียงแก้พิษให้ แต่ยังถามอีกสองสามคำถามแล้วปล่อยตนไปแบบนี้

นัยน์ตาเขาวาววับ เมื่อยืนขึ้นช้าๆ แล้วก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนประสานมือคารวะ ซูหมิงแล้วถอยหลัง พริบตาเดียวก็บินไกลออกไป แต่ตอนที่เขาถอยไปราวหลายร้อยจั้ง เขาหยุดชะงักและมองซูหมิงอีกครั้ง

“ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องฝังผนึกบางอย่างที่รับรู้ตำแหน่งของข้าได้ไว้แน่นอน สามารถติดตามข้าอยู่ไกลๆ และใช้มันรู้ทิศทางของข้า ข้าพาเจ้าไปชนเผ่าข้าได้ แต่ว่า…เจ้าต้องสัญญาด้วยเทพของเผ่าเจ้า หลังจากข้าพาเจ้ากลับถึงเผ่าแล้ว เจ้าต้องปลดผนึกในตัวข้าออก”

“ย่อมได้” ซูหมิงหมุนตัวกลับ มองชายร่างผอมบางแล้วพยักหน้าให้

…………….

ฟ้ากระจ่างดาวไร้ที่สิ้นสุด กว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งเดินทางเข้าไปยังส่วนลึกของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมากเท่าไร สิ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหินดาวผุพังหรือฝุ่นละอองที่มักจะลอยมาเป็นกลุ่ม ทำให้คนอดนึกถึงความรุ่งเรืองในอดีตมิได้

โดยเฉพาะเมื่อซูหมิงเห็นหินใหญ่รูปทรงแปลกก้อนหนึ่ง มองไปคล้ายกับดาวตก รูปร่างของหินใหญ่นั้น…คือส่วนหัวของรูปปั้น ตรงหัวเต็มไปด้วยรอยแตก มีขนาดราวหมื่นจั้ง เมื่อเห็นแล้วจะอดเกิดความรู้สึกตื่นตะลึงมิได้

“นั่นคือศีรษะของเทพหลัวโม่ ลอยอยู่ในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต เป็นตัวแทนแห่งความโชคดี คนที่เห็นมัน หากกราบไหว้ก็จะได้รับคำอวยพรของเทพหลัวโม่”

ตี้จิ่วโม่ซาเอ่ยเสียงต่ำ เขาหยุดอยู่กลางฟ้าแล้วโค้งตัวคารวะรูปปั้นหัวที่อยู่ไกลออกไป

“รอบนอกของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมีศีรษะของเทพหลัวโม่อยู่เก้าศีรษะ เมื่อนานมาแล้วมีการเซ่นไหว้บูชาวิหารเทพหลัวโม่ในตำนานอยู่ น่าเสียดายตอนเกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ วิหารเทพหลัวโม่แตกและพังพินาศลง”

ซูหมิงมองศีรษะอยู่ไกลๆ จนกระทั่งลับสายตาไปแล้ว เขาจึงถามอย่างสงบ

“ยังอีกไกลเท่าไร”

“ข้ามผ่านทะเลดาราผืนนี้ไป ข้ามเขาดาราอีกหนึ่งลูก แล้วก็ข้ามทะเลทรายฝุ่นละอองไปอีก ก็จะเห็นชนเผ่าของข้า” ตี้จิ่วโม่ซามองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วกล่าวเบาๆ

“เจ้าวางใจได้ ชาวเผ่าในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตของเราไม่ปลิ้นปล้อนเหมือน ผู้ฝึกฌานข้างนอก ภายนอกตอบรับเจ้า แต่กลับแอบวางกับดักเอาไว้ในใจ

ในเมื่อข้ายินยอมจะพาเจ้าไปชนเผ่า ก็ย่อมไม่มีแผนการอะไรอีก และข้าก็เชื่อว่าเจ้าที่ไม่ถูกทะเลดาราต้นกำเนิดจิตขับไล่จะปฏิบัติตามกฎของที่นี่

นอกจากนี้แล้วเส้นทางที่ข้าพาเจ้าไป ถึงจะดูไกลอยู่บ้าง แต่ก็ปลอดภัยที่สุด อ้อมชนเผ่าดึกดำบรรพ์หลายชนเผ่าไป แล้วก็อ้อมอาณาเขตของกลุ่มสัตว์ร้ายหลายกลุ่มไปด้วย” ตี้จิ่วโม่ซาขยับกายวูบไหวไปด้านหน้า กลายเป็นสายรุ้งยาวทะยานไปไกล

เวลาผ่านไปทีละวัน ครึ่งเดือนต่อมา ซูหมิงอยู่ตรงรอบนอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมาหลายเดือนแล้ว วันนี้มีภูเขาลูกหนึ่งกลางฟ้ากระจ่างดาวอยู่ตรงหน้าเขา

นี่คือภูเขากลางผืนฟ้าดวงดาวลูกแรกที่เขาเห็น

ภูเขานี้เหมือนมีความสูงไม่มีสิ้นสุด มองไม่เห็นสุดปลาย มองไม่เห็นริมขอบ เหมือนกับปราการยักษ์แถวหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางฟ้า นี่คือภูเขาที่รวมขึ้นจากเศษดวงดาวนับไม่ถ้วน

ยามมองไป ดวงดาวพวกนี้มีมากกว่าหลายหมื่นดวง แม้ส่วนใหญ่จะแตกหักผุพัง แต่พอนึกดูว่าพวกมันรวมเข้าด้วยกันจนเป็นภูเขาลูกหนึ่ง ก็ทำให้จิตใจสั่นสะท้านแล้ว

ซูหมิงมองภูเขาดาราลูกนั้น ดวงตาสองข้างเหมือนหยุดนิ่งในเวลานี้

“เป็นอภินิหารแบบใดกันที่รวมเศษเสี้ยวดาวมากขนาดนี้ให้เป็นภูเขาน่าทึ่งแบบนี้ได้” ซูหมิงพึมพำ

“ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอภินิหารวิชาอะไร และก็ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนวางภูเขานี้ แต่ในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมีอยู่ตำนานหนึ่ง…” ตี้จิ่วโม่ซามองซูหมิงเล็กน้อย แล้วก็มองภูเขาดาราไกลๆ

“ตำนานเล่าว่าเขาลูกนี้คือหลุมศพ ข้างในฝังชายคนหนึ่งเอาไว้ ภรรยาของเขาทำลายทะเลดาราต้นกำเนิดจิตไปเกือบครึ่ง และสร้างหลุมศพนี้ขึ้นเพื่อคนรักของนาง

ดาวพวกนี้ ภรรยาของเขาเป็นคนทำลาย

ในตำนานยังบอกอีกว่าภรรยาของคนผู้นี้ ตอนเกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ นางเป็นผู้แข็งแกร่งจากนอกฟ้ากระจ่างดาว นางวางภูเขาลูกนี้ไว้ แล้วกลายเป็นหินก้อนหนึ่งอยู่ข้างคนรักตน จากนั้นก็อยู่คู่กันมา เขาลูกนี้มีชื่อว่าภูเขามองสามี”

ตี้จิ่วโม่ซากล่าวเสียงเบา นำหน้าบินไปยังเขาลูกนี้ ซูหมิงมองเขาดาราที่ยิ่งใหญ่พลางฟังตี้จิ่วโม่ซา เดินหน้าไปทางเขาดาราลูกนี้อย่างเงียบๆ เช่นกัน

มองดูเหมือนใกล้ แต่ความจริงยังห่างไกลนัก สองคนใช้เวลาสามวันถึงจะไปถึงตีนเขาดาราจริงๆ และใช้เวลาครึ่งเดือนเดินทางจากตีนเขาไปถึงกลางเขา

พวกเขาไม่เคยลองไปถึงยอดเขามาก่อน แต่จะอ้อมอยู่ตรงกลางเขา

“ไม่มีใครเคยไปที่ยอดเขามาก่อน อย่างน้อยเท่าที่ข้าจำได้ก็ไม่เคยมีใครทำแบบนั้น เหมือนว่าจะมีพลังส่วนหนึ่งจำกัดเอาไว้ คนจึงขึ้นไปบนยอดเขาไม่ได้

มีคนบอกเช่นกันว่าบนยอดเขามีหินที่หญิงคนนั้นแปลงกาย เป็นจุดที่ศพของสามีนางอยู่ ภูเขานี้ ขอเพียงอย่าทำลายหินภูเขาและไม่ฝืนขึ้นไปบนยอดเขา ก็จะไม่มีอันตรายใดๆ

แต่หากกล้าทำอะไรกับที่นี่แม้แต่นิดเดียว หรือกล้าลองขึ้นยอดเขา เช่นนั้น…..จะไม่มีใครออกไปจากที่นี่ได้” ตี้จิ่วโม่ซาหันไปมองซูหมิงแล้วกล่าวอย่างจริงจัง

ซูหมิงยืนอยู่พื้นลาดเอียงผุพัง เขาเงยหน้ามองยอดเขาข้างบน ตรงนั้นเลือนราง มองไม่เห็นสุดปลาย แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ เขาเหมือนเห็นรางๆ ว่าในความขมุกขมัวนั้นมีหญิงคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขา มือถือซวินกระดูกกำลังเป่าบรรเลงเสียงอูๆ ทำนองโศกเศร้า

“เจ้าได้ยินหรือไม่?” ซูหมิงกล่าวขึ้นทันใด

ตี้จิ่วโม่ซานิ่งอึ้งไป พอลองฟังดีๆ แล้วก็มองซูหมิงอย่างสงสัย

“เป็นเสียงเพลง” ซูหมิงหลับตาลง เสียงอูๆ ของซวินดังก้องอยู่ข้างหู เกิดระลอกคลื่นในจิตใจ เหนี่ยวนำให้ซูหมิงเกิดความเจ็บปวดคล้ายๆ กับในความทรงจำ

“ไม่ได้ยิน พวกเรารีบไปกันเถอะ” ตี้จิ่วโม่ซาส่ายศีรษะ แล้วมุ่งหน้าไปอย่างเร็วไว

ซูหมิงลืมตาขึ้น มองความขมุกขมัวบนยอดเขาอีกครั้งก่อนจะเดินตามไป เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่เห็นว่ามังกรยมโลกกับกระเรียนขนร่วงที่ตามอยู่ด้านหลังตลอด มังกรยมโลกมีสีหน้าปกติ แต่กระเรียนขนร่วงกลับมีสีหน้าสับสน มันเงยหน้าขึ้นมองยอดเขา ในดวงตามัน….

มีน้ำตาหยดลงมาทีละหยด

“ย่ากระเรียนเจ้าเถอะ ท่านกระเรียนผู้นี้เป็นอะไร….เหตุใดถึงน้ำตาไหลกัน เหตุใดถึงรู้สึกเสียใจมาก อยากร้องไห้มาก…สมควรตาย ความรู้สึกนี้มันแย่จริงๆ ข้าอยากร้องไห้ ข้าเสียใจมาก ข้ารู้สึกว่าข้ากำลังจะตาย…” กระเรียนขนร่วงพึมพำ น้ำตารินไหลเยอะยิ่งขึ้น

มันตามหลังมังกรยมโลกและซูหมิงอย่างสับสน น้ำตารินไหลไม่หยุด เพียงแต่ตัวมันเป็นวิญญาณ น้ำตาที่ไหลออกมาจึงหายไปเองในพริบตา หยดลงไม่ถึงพื้นและไม่ถึงผิวภูเขา ได้แต่เพียงหยดลงในใจมัน ทำให้ใจมันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่กลับไม่มีใครเห็น

จิตสำนึกมันพร่าเลือนเล็กน้อย มันได้ยินเสียงเพลงซวินเศร้าโศก ในความคิดเหมือนมีภาพหนึ่งปรากฏขึ้น ในภาพนั้นเป็นกระเรียนตัวหนึ่งที่เทียมเท่ากับผืนฟ้า บนตัวมีหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ หญิงคนนั้นลูบหัวมันพลางเอ่ยเสียงเบา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version