Skip to content

สู่วิถีอสุรา 935

ตอนที่ 935 ความรู้ทั่วไป

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ซูหมิงกล่าวเรียบนิ่ง

ตี้จิ่วโม่ซาเงียบอยู่หลายลมหายใจก่อนมองซูหมิงด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจเล็กน้อย

“ชนเผ่ามีอันตราย น่าจะเป็นเผ่าคนเลื่องชื่อบุกรุก ตอนนั้นท่านปู่เคลื่อนย้ายดาวชนเผ่าจากส่วนในแดนทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมาที่นี่ พันปีมานี้พวกเราเคลื่อนย้ายตลอด หลบหนีตลอด ถึงสี่เผ่านั้นจะไม่ล่าสังหารอีก แต่หลายปีมานี้เผ่าเล็กของพวกเขาทำให้เผ่าข้าล้มตายมาโดยตลอด” ตี้จิ่วโม่ซากัดฟันกล่าวด้วยความโกรธ “จากเผ่าใหญ่ที่มีคนเกือบหมื่นในตอนแรกสุด ตอนนี้มีไม่ถึงพันคน…”

“พาข้าไปเผ่าเจ้า” ซูหมิงโอบกอดสวี่ฮุ่ยอยู่พลางกล่าวเรียบๆ

ตี้จิ่วโม่ซาพยักหน้าก่อนขยับวูบไหวตัว ร่างกายระเบิดหมอกโลหิต ความเร็วพลันเพิ่มขึ้นหลายเท่า ซูหมิงก้าวเดินอยู่ข้างเขา ก้าวเดียวพุ่งไปไกล

ภายใต้การเร่งเดินทางด้วยการห้อทะยาน ราวหนึ่งชั่วยามต่อมา ตี้จิ่วโม่ซาพลันหยุดชะงักครู่หนึ่ง เขามองรอบๆ อย่างถี่ถ้วน แล้วหยิบหินก้อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เมื่อบีบจนแตกแล้วก็โปรยไปข้างนอก

ฉับพลันนั้น ห่างไปไม่ไกลนักตรงพื้นที่ขนาดเท่าฝ่ามือ เหมือนมีน้ำวนหนึ่งสูบเศษหินที่เขาเพิ่งโปรยเข้าไปข้างใน

“ถึงน้ำวนในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตจะมีความลับของมันอยู่ ทว่าจากการศึกษาของผู้คนที่นี่มาไม่รู้กี่ปี จึงพบว่า น้ำวนเหล่านี้บ้างก็เป็นเหวลึกไม่มีสิ้นสุด ไม่รู้ว่าไปที่ใด น้ำวนบางแห่งก็เชื่อมไปยังน้ำวนอีกแห่งหนึ่งในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

หลังจากหาน้ำวนที่ปลอดภัยเหล่านี้เจอแล้วก็จะทำเป็นวงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายตามธรรมชาติได้ ใช้ประโชน์จากพวกมันทำให้ระยะทางใต้เท้าไม่ไกลอีก

บันทึกน้ำวนเหล่านี้ของทุกชนเผ่าคือสมบัติล้ำค่าสำคัญ จะให้เผ่าอื่นล่วงรู้ไม่ได้ กระทั่งความลับเหล่านี้ยังมีน้อยคนในเผ่าที่ได้รู้ ส่วนน้ำวนเคลื่อนย้ายของเผ่าลำดับเก้า ตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านปู่ใช้วิธีใดถึงพบมันอยู่ไม่น้อย ดาวชนเผ่าจึงใช้มันเคลื่อนย้ายจากส่วนในของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมายังส่วนนอกได้

กระทั่งหากไม่มีเส้นทางน้ำวนเหล่านี้อยู่ ชาวเผ่าของข้าคงไม่เหลือรอดจากการล่าสังหารไม่หยุดหย่อนตลอดพันปีมานี้ อีกอย่างเส้นทางน้ำวนที่ท่านปู่รู้ในตอนนั้น มีไม่น้อยที่จนถึงตอนนี้เผ่าอื่นก็ยังไม่รู้” เห็นได้ชัดว่าตี้จิ่วโม่ซาไม่ได้มองซูหมิงเป็นคนนอก เขาสังเกตเศษหินรอบๆ พลางอธิบายอย่างละเอียดยิบ

“รอจนกลับถึงเผ่าก่อน ข้าจะบอกบันทึกเส้นทางน้ำวนเหล่านี้ให้ท่าน แบบนี้จะได้สะดวกขึ้นเยอะในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต” ตี้จิ่วโม่ซาดวงตาเพ่งสมาธิ สายตามองตรงจุดที่เศษหินหายไป ส่วนมือขวาก็คว้าไปตรงนั้น

“ร่างกายสัมผัสโดนก็ได้แล้ว ตอนเคลื่อนย้ายอย่าลืมตา ราวสิบลมหายใจจากนี้พวกเราจะไปออกอีกน้ำวนหนึ่ง!” เสียงตี้จิ่วโม่ซาดังยังก้อง ตัวเขาหมุนวนเข้าไปราวกับถูกน้ำวนขนาดเท่ากำปั้นสูบเข้าในพริบตา เหมือนกับว่าตรงขอบของมันมีความยืดหยุ่น กลืนกินได้ทุกสิ่ง

นัยน์ตาซูหมิงเพ่งมอง หลังตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วก็เดินเข้าไปสัมผัสกับน้ำวน ทันทีที่สัมผัส เขาพลันรู้สึกว่าตัวเองเข้าไปอยู่กลางความอ่อนนุ่ม เพิ่งเกิดความรู้สึกนี้ขึ้น เขาก็รู้สึกได้ว่าแรงดูดรุนแรงสูบตัวเขาเข้าไปในน้ำวน

เขาไม่หลับตา แต่ยังคงลืมตา

ซูหมิงรู้สึกว่าร่างกายตนกำลังถูกพลังงานเหนี่ยวนำบางอย่างพาไป ลอยไปข้างหน้า ตรงข้างหน้าเขาเห็นตี้จิ่วโม่ซากำลังหลับตาอยู่

นอกจากนี้แล้วเขายังเห็น…โลกสีสันแวววาว เห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายกับแมงกะพรุนอยู่เต็มไปหมด มันเปล่งแสงสว่างอยู่ในโลกนี้ ลอยไปลอยมา มองไปข้างล่างเป็นสีดำทึบไม่มีก้น

ตอนที่ซูหมิงมองไป นัยน์ตาเขาพลันจ้องเขม็ง เขาเห็นว่าในความมืดมิดข้างล่างพลันมีแสงไฟสีน้ำตาลอมเหลืองสว่างขึ้นมาหกจุดกลางพื้นที่เล็กๆ

ในเวลาเดียวกัน มีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังแว่วมาจากความมืดมิด ทันทีที่เสียงคำรามดังมา สิ่งมีชีวิตแมงกะพรุนหลากสีเหล่านั้นต่างกระจายกันออกไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้น ซูหมิงก็เห็นชัดว่าเมื่อสิ้นเสียงคำราม แสงไฟหกจุดพลันสว่างขึ้นในความมืดมิดไม่มีสิ้นสุดข้างล่างก่อนจะขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่ามีสิ่งมีชีวิตสามตัวกำลังพุ่งออกมาจากความมืดมิดนั้น

“หลับตา!” น้ำเสียงร้อนรนดังมา ห่างจากเขาไม่ไกลนัก นั่นคือเสียงของตี้จิ่วโม่ซา ตัวเขากำลังถูกเหนี่ยวนำให้ไปข้างหน้า พอได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธแล้ว เขาก็ยังคงหลับตาอยู่ แต่สีหน้ากลับดูร้อนรน

ซูหมิงไม่หลับตา ยังคงลืมตามองความมืดมิดข้างล่าง

แสงไฟที่กำลังเผาไหม้หกจุดเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ราวหกเจ็ดลมหายใจ เสียงคำรามด้วยความโกรธก็กลายเป็นแรงปะทะรุนแรง…มีม้าตัวสีดำทึบทั้งตัว ขาเหยียบเปลวเพลิงตัวหนึ่งโผล่เข้ามาในสายตาซูหมิง

มันเป็นสีดำทั้งตัว มีเปลวเพลิงโอบล้อม ดวงตาแฝงด้วยความดุร้าย หนำซ้ำบนหลังยังมีหัวมังกรสองหัวส่ายไปมา เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังกังวาน พร้อมกับที่มันพุ่งตรงไปหาซูหมิง

แรงกดดันมหาศาลระเบิดมาจากตัวสัตว์ประหลาด ความแกร่งของแรงกดดันทำให้เขาได้รู้อีกครั้งว่าผู้กุมชะตาเกิดดับในบรรดาผู้ฝึกฌานยังไม่ใช่ขีดจำกัดที่แกร่งที่สุด!

“อย่ามองสิ่งใดในนี้…เฮ้อ…” ตี้จิ่วโม่ซาเอ่ยขึ้น สุดท้ายก็ถอนหายใจ ร่างเขาหายไปจากโลกหลากสีอย่างไร้ร่องรอย เห็นได้ชัดว่าถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว

ยามนี้ม้าดำที่มีหัวมังกรสองหัวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เสียงคำรามดังสะเทือนรอบๆ กระทั่งซูหมิงยังรู้สึกว่าพลังเหนี่ยวนำจากตัวเองกำลังจะพังลงเพราะแรงสั่นสะเทือนนี้

เขาหรี่ตาลง แต่ก็ยังไม่หลับตา

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเห็นม้าตัวนี้ก็รู้สึกชอบมาก ลักษณะท่าทางเหิมเกริมของมันเหมาะสมกับกลิ่นอายดุร้ายของเขา เปลวเพลิงทั้งตัวยามวิ่งยิ่งสอดคล้องกับความคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในส่วนลึกของจิตใจหลังจากได้ยินคำพูดตี้จิ่วโม่ซา

ความเร็วของมันยิ่งทำให้เขาพอใจอย่างยิ่ง มันวิ่งมาจากความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดด้วยเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ลมหายใจ อีกทั้งพลังจากขั้นพลังยังทำให้เขาหาจุดอ่อนไม่พบ

ทว่าการลืมตาของซูหมิง คำพูดที่ไม่ปกปิดแม้แต่น้อยในแววตาประกอบกับการเผยเจตนาจากดวงตา ทำให้ม้าดำที่มีสองหัวมังกรรู้สึกถึงการยั่วยุอย่างที่พบเห็นได้ยาก อีกทั้งยังรู้ถึงความคิดที่ซูหมิงอยากจะกำราบมัน

นี่ทำให้มันส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธดังยิ่งกว่าเดิม ความเร็วก็มากขึ้นด้วย!

ทว่าสำหรับซูหมิงแล้วนี่คือการเคลื่อนย้ายสั้นๆ ครั้งหนึ่ง ตอนนี้เวลาสิบลมหายใจจบลง ตัวเขากำลังจะหายไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้า เป็นของข้า” เขาเอ่ยเบาๆ ในพริบตาที่หายไป เขารู้ว่าม้าดำได้ยินและจะต้องฟังเข้าใจอย่างแน่นอน

เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้าตนมีคนเคยพูดแบบนี้กับม้าดำหรือไม่ หากมี ผลจากการกระทำของเขาคงไม่ได้ผลนัก ทว่าหากไม่มี…

เช่นนั้นคำพูดนี้ของเขาก็จะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์เติบโตในใจม้าดำ ขอเพียงมันจำได้ว่ามีคนผู้หนึ่งพูดกับมันแบบนี้ เมล็ดพันธุ์ก็จะคงอยู่

นี่คือวิชาของซูหมิง

เป็นวิชาที่แปรเปลี่ยนจากการเชื่อก็จะมีอยู่จริงให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้น และอยู่เหนือกว่ายอดวิชาเมล็ดพันธุ์หมาน

โฮก!

มันดำส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง ร่างเงาซูหมิงหายไปจากโลกสีสันแวววาวแล้ว เขามาโผล่อยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ตรงหน้าเป็นตี้จิ่วโม่ซาซึ่งกำลังยิ้มเฝื่อนอยู่

“ศิษย์พี่สี่ อย่าโทษว่าข้าไม่พูดให้ชัดเจนกับท่านเลย เราจะมองทุกอย่างในโลกน้ำวนไม่ได้…หากท่านมอง หากในความทรงจำของท่านมีมันอยู่ และจะถูกพลังประหลาดจากโลกน้ำวนจดจำเอาไว้

เว้นแต่ท่านจะไม่ใช้อาคมเคลื่อนย้ายน้ำวนอีก มิเช่นนั้นหากใช้อีกครั้ง เมื่อสิ่งมีชีวิตพวกนั้นเห็นท่าน มันจะไม่ปล่อยให้ท่านออกมา ต่อให้โชคดีออกมาได้ แต่หากยังใช้อาคมเคลื่อนย้ายน้ำวนอยู่เรื่อยๆ อันตรายมันก็จะมากขึ้นทุกที” ตี้จิ่วโม่ซาถอนหายใจก่อนห้อเหยียดเดินหน้าไป ในใจเขาเป็นกังวลเรื่องอันตรายของชนเผ่า จึงได้แต่โกรธอยู่ในใจเล็กน้อยต่อการกระทำของซูหมิง

“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดอาจารย์ถึงรับเจ้าเป็นเพียงศิษย์ในนาม ไม่ใช่ศิษย์อย่างเป็นทางการ?” ระหว่างซูหมิงเดินหน้าอยู่ก็พลันเอ่ยขึ้น

ตี้จิ่วโม่ซาตะลึงงัน

“เป็นเพราะข้าคุณสมบัติธรรมดามาก….” เขาตอบเสียงต่ำ

“เจ้าคิดผิดแล้ว” ซูหมิงส่ายศีรษะ

“ใครบอกเจ้าว่าห้ามลืมตาในโลกน้ำวน?” ซูหมิงถามต่อ

“ไม่ต้องให้ใครมาบอก มันเป็นความรู้ทั่วไปซึ่งผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่แทบทุกคนรู้ ต่อให้มีคนอยากรู้อยากเห็นลืมตา แต่หลังจากนั้นไม่นานก็จะออกจากอาคมเคลื่อนย้ายไม่ได้อีก หลายปีมานี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเยอะมาก ข้าเห็นมาเยอะกว่าท่านมาก…”

ตี้จิ่วโม่ซารู้สึกไม่ยอมอยู่เล็กน้อย

“เช่นนั้น เคยมีคนกำราบสิ่งมีชีวิตในโลกน้ำวนและพามันออกมาหรือไม่?”

ซูหมิงมองตี้จิ่วโม่ซาพลางกล่าวต่อ

“ไม่เคยมี!” ตี้จิ่วโม่ซาตอบอย่างไม่ลังเล

“เจ้าผิดแล้ว” ซูหมิงมองตี้จิ่วโม่ซา มองศิษย์คนที่ห้าที่แม้ปากจะยังไม่ยอมรับ แต่ในส่วนลึกในใจยอมรับอยู่เล็กน้อยแล้ว

“ความรู้ทั่วไปเป็นวงกลมหนึ่ง เจ้าเชื่อมัน มันก็จะอยู่ในชีวิตเจ้า จำกัดฝีเท้าของเจ้า จำกัดทุกอย่างของเจ้า บางทีมันอาจจะปกป้องเจ้า…แต่มันก็จำกัดการพัฒนาของเจ้าเช่นกัน

ที่อาจารย์รับเจ้าเป็นเพียงศิษย์ในนาม ไม่ใช่เพราะคุณสมบัติเจ้า แต่เพราะเจ้ายังขาดความกล้าในการทำลายความรู้ทั่วไป บางทีอาจพูดได้ว่าเจ้าไม่มีจิตใจแน่วแน่ที่อยากจะทำลายความรู้นี้

เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดอาจารย์อยู่ที่นี่ถึงรู้เส้นทางน้ำวนมากกว่าเผ่าอื่นๆ? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าภายใต้การล่าสังหารของสี่เผ่า เหตุใดสี่เผ่าถึงยังหาอาจารย์ไม่พบ

กระทั่งข้ายังมั่นใจได้ว่าคนยักษ์ที่สีดำตัวนั้นที่อาจารย์นั่งอยู่เป็นวิญญาณร้ายที่เจ้าไม่เคยเจอมาก่อน มันไม่ใช่สัตว์ในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต และเจ้าก็ไม่เคยคิดว่ามันมาจากที่ใด” ซูหมิงกล่าวเนิบช้า ทว่าเมื่อคำพูดเข้าถึงหูตี้จิ่วโม่ซาก็กลายเป็นเสียงฟ้าผ่า

เขาจำได้แม่นว่าตนไม่เคยเจอวิญญาณร้ายยักษ์สีดำของท่านปู่ตัวนั้นจริงๆ…

“วิญญาณร้ายตัวนั้นน่าจะมาจากโลกน้ำวน อาจารย์ค้นพบเส้นทางน้ำวนมากกว่าเผ่าอื่นก็เพราะเขาลืมตาในโลกน้ำวน มิหนำซ้ำ…ยังกำราบวิญญาณร้ายในโลกน้ำวน!” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ

ตี้จิ่วโม่ซาชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง เขาเหม่อมองซูหมิง คำพูดอีกฝ่ายดังก้องในใจ ทุกตัวอักษรทำให้ใจเขาสั่นสะท้าน

จนถึงตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดในศิษย์สี่คนของ ท่านปู่ คนที่ท่านปู่พูดถึงเยอะสุดจึงไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ใช่ศิษย์พี่รอง และไม่ใช่ศิษย์พี่สาม แต่เป็น…ศิษย์พี่สี่ตรงหน้าคนนี้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version