บทที่ 372 มาตีข้าเลย! (ปลาย)
……
นอกเขตเมือง……
……
เยี่ยฉวนควบม้าเพลิงโลกันตร์บุกตะลุยไปข้างหน้า……
..
อันที่จริงเยี่ยฉวนเองก็อยากประลองพลังกับชายชราผู้นั้นอยู่บ้าง ด้วยส่วนตัวอยากเห็นช่วงห่างระหว่างขั้นพลังของตนและคนในขั้นพลังผนึกยุทธ์ เมื่อใช้ความแข็งแกร่งที่มีอยู่ในขณะนี้!
ต้องมีช่วงห่างอย่างแน่นอน!
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะสำเร็จจ้าวกระบี่และมีกระบี่แท้จริงอยู่ในหีบที่สะพายหลัง เยี่ยฉวนย่อมรู้แน่ชัดว่ายังมีช่องว่างของความต่างระหว่างเขาและคนในขั้นผนึกยุทธ์
ด้วยอย่างไรก็ตาม เขายังเป็นเพียงคนที่มีขั้นพลังสันโดษอยู่นั่นเอง!
ชายหนุ่มยังคงสงสัยใคร่รู้ถึงเจ้าช่วงห่างที่ว่านั้นอยู่ทั้งวันยังค่ำ
จนถึงตอนนี้ เยี่ยฉวนยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความกล้าแกร่งในตัวเองนัก บัดนี้คนในขั้นต่ำกว่าผนึกยุทธ์น้อยคนนักที่จะสามารถประมือกับเขา แต่ว่าคนที่มีขั้นผนึกยุทธ์พวกนั้นเล่า?
ชั่วครู่หนึ่งเขารู้สึกอยากลองต่อสู้กับคนในขั้นผนึกยุทธ์ดูบ้าง!
เหตุที่เยี่ยฉวนไม่แสดงเจตจำนงเป็นฝ่ายเริ่มต่อสู้เพราะเขาไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ ด้วยเขาไม่ลืมว่าเป้าหมายคือการไปให้ถึงเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น!
เมื่อออกนอกเขตเมืองเยี่ยฉวนจึงเร่งความเร็วเต็มที่
สองวันถัดมา การเดินทางของเยี่ยฉวนราบรื่นไร้อุปสรรคทั้งปวง ผลที่ตามมาทำให้เขาสามารถผ่านเข้าไปยังเมืองต่างๆ อีกสามเมืองและเข้าใกล้เมืองหลวงอาณาจักรต้าอวิ๋นมากขึ้นทุกที
อย่างไรก็ตามเรือเหาะของสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการได้เข้าสู่เขตแคว้นเจียงด้วยเช่นกัน
ภายนอกเขตเมืองหลวงแห่งแคว้นเจียง เรือเหาะสามลำค่อยลดระดับลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ ไม่นานนักคนราวร้อยคนเริ่มทยอยออกจากเรือเหาะ ในจำนวนคนเหล่านั้นมีคนสวมชุดดำราวสามสิบคน ทันทีที่คนสวมชุดดำซึ่งเพิ่งลงมาจากเรือเหาะและกำลังจะพรางตัวนั้น……
ลูกศรมากกว่าสามสิบดอก ซึ่งมาจากทิศทางใดไม่ปรากฏพลันพุ่งวาบใส่คนทั้งกลุ่มอย่างรวดเร็ว!
เมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของศิษย์ฉางมู่และกลุ่มคนสวมชุดดำแปรเปลี่ยนสิ้นเชิง ทั้งหมดพร้อมใจกันถดถอยอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นดูเหมือนว่าจะช้าไปเสียแล้วด้วยลูกศรพุ่งเข้าปักตรงหน้าอกคนเหล่านั้น จนล้มลงไปกับพื้นทีละคนสองคน
ขณะนั้นกองกำลังม้าเจ็บสิบคนทะยานออกมาจากทางประตูเมืองทันที!
เมื่อศิษย์ฉางมู่เห็นกองกำลังม้าพุ่งตรงมา ใบหน้าของแต่ละคนซีดเผือดลงอย่างสิ้นเชิง!
พวกนั้นคือพลม้าเพลิงโลกันตร์!
พลม้าทั้งเจ็ดสิบคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นพลม้าศึกเพลิงโลกันตร์ตามตำนาน!
และหากให้ว่าตามข้อเท็จจริง พวกเขาก็นับเป็นคนกลุ่มเดียวกัน!
“นั่น กองกำลังม้าศึกเพลิงโลกันตร์?”
ทั้งศิษย์ฉางมู่และมือสังหารจากดินแดนอันธการพากันตื่นตะลึงจนชะงักงันไปตามกัน
เวลานี้กองกำลังม้าทั้งเจ็ดสิบกำลังทะยานตรงมาใกล้เข้าทุกทีๆ พวกมันเปล่งประกายอำนาจแห่งการทำลายล้างประหนึ่งประดุจจะสยบฟ้าดินกระนั้น
ใครคนหนึ่งในหมู่ศิษย์ฉางมู่รู้สึกตัวก่อนเพื่อน จึงตะโกนด้วยความโกรธสุดเสียง “ลุย ฆ่ามันอย่าให้เหลือ!”
“ฆ่าศัตรูอย่าให้เหลือ!”
ทันใดนั้นกองกำลังม้าทั้งเจ็ดสิบพุ่งพรวดถึงตัวพวกเขาทุกคนพอดี……
เสี้ยววินาทีต่อมา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจากสนามประลองอย่างต่อเนื่อง
หากที่ยิ่งไปกว่านั้น ที่ประตูเมืองบริเวณกำแพงสูงตระหง่าน ทหารราบกว่าหนึ่งหมื่นซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วต่างกรูกันออกมา!
ตอนนี้สถานะของสถานศึกษาฉางหลานแห่งแคว้นเจียงทะยานขึ้นสู่จุดที่สูงยิ่ง ด้วยสถานศึกษาได้รับความเชื่อถือจากผู้คน โดยเฉพาะเวลานี้ชาวแคว้นเจียงไม่ยินยอมให้ฉางหลานตกเป็นเป้าโจมตีของใครอีกต่อไป!
ที่บนกำแพงเมือง ลู่จิ้วเก๋อนั่งอยู่บนรถเข็นขนาบข้างด้วยโม่หยวนและเฟิ่งหลาน ทุกคนกำลังจับตาดูการต่อสู้ด้านล่างอย่างตั้งอกตั้งใจ
ถึงตอนนี้เรียกได้ว่าคนที่ขึ้นชื่อว่าชั้นหัวกะทิของสถานศึกษาฉางมู่ตายหมดไม่มีเหลือหลอ……
พวกเขาถูกบดขยี้โดยศัตรู!
คนจำนวนมากกว่าเจ็ดสิบตรงเข้าบดขยี้ศิษย์ฉางมู่
เสียงคนที่ยินด้านข้าง โม่หยวนพูดขึ้นว่า “ขุนศึกเต๋าพวกนี้การต่อสู้ใช้ได้ทีเดียว!”
ลู่จิ้วเก๋อหัวเราะเบาๆ “เสียเงินเสียทองไปกับพวกเขาตั้งมากมายก่ายกอง……”
เมื่อถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าคนพูดพลันนึกได้อะไรบางอย่าง นางจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางเรือเหาะลำหนึ่ง ที่นั่นเองชายชราผู้หนึ่งกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ
คนผู้นี้คือผู้อาวุโสแห่งสถานศึกษาฉางมู่ ทั้งเขายังเป็นผู้นำบัญชาการต่อสู้ในครั้งนี้
ชายชราจับตาดูการต่อสู้ด้านล่าง มือสองข้างกำหมัดแน่น กรามขบกันจนเป็นสันนูน ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดฝันว่าฉางหลานจะมีกองกำลังม้าศึกเพลิงโลกันตร์!
แน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่ใช่พลม้าพลิงโลกันตร์จากดินแดนต้าอวิ๋น ชัดเจนว่าภายหลังจากที่สถานศึกษาฉางหลานได้อุปกรณ์อาวุธสำหรับทหารมาในเวลานั้น จึงมีการก่อตั้งกองกำลังม้าดังกล่าวขึ้นทันที
อีกทั้งสมรรถนะในการต่อสู้ของกองม้าเหล่านี้ยังน่ากลัวยิ่งนัก!
หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ เห็นทีศิษย์ฉางมู่ด้านล่างคงตายหมดเป็นแน่!
ภายหลังจากนิ่งคิดชายชราพลันยกมือขวาขึ้นโบกครั้งหนึ่งและทำท่าขยับเคลื่อนไหว ทว่าทันใดนั้นเองชายชราอีกคนสวมผ้าคลุมดำปรากฏกายอย่างเงียบเชียบทางด้านหลัง
จ้าวหอชั้นห้าแห่งสำนักอัปสรเมรัย!
จ้าวหอชั้นห้าจ้องมองชายชราที่อยู่เบื้องหน้าทว่ามิได้เอ่ยปากพูด เพียงเขม้นมองนิ่งเฉยอยู่โดยไม่พูดจาว่ากระไร ทว่าพลังชี่เปล่งวาบยึดตรึงร่างของชายชราคนนั้นไว้
ชายชราจ้องหน้าจ้าวหอชั้นห้านัยน์ตาแทบประทุออกนอกเบ้า “คิดดีแล้วหรือที่สำนักอัปสรเมรัยถือหางฝ่ายตรงข้ามสถานศึกษาฉางมู่?”
อีกฝ่ายยกมือขึ้นโบกเชิงห้ามปราม “ไม่ต้องพูดมาก ถ้ากล้าขยับแม้แต่ก้าวเดียว วันนี้เจ้าจะกลายเป็นผีเฝ้าอยู่ที่นี่แหละ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของชายชราบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความโกรธขึ้ง
ฉับพลันนั้นศิษย์ฉางมู่ที่กำลังต่อสู้อยู่ด้านล่างถูกสังหมดสิ้นไม่มีเหลือ!
ส่วนมือสังหารแห่งดินแดนอันธการได้หลบหนีไปหมดแล้ว ด้วยรู้ดีว่าสู้ไม่ได้เพราะศักยภาพในการต่อสู้ของคนทั้งเจ็บสิบคน……น่ากลัวเกินกว่าที่พวกมันจะกล้ารับมือ!
ขณะนั้นเองขุนศึกเต๋าคนหนึ่งดึงหมวกที่สวมออก จึงเปิดเผยให้เห็นใบหน้านวลเนียนของอิสตรีที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมวกใบนั้น
เจี้ยนชูชู!
นางทอดตามองตามร่างไร้วิญญาณที่กลาดเกลื่อนอยู่ในบริเวณ แววตาตื่นเต้นไม่อาจปกปิด “ช่วยกันเก็บกวาดเร็ว!”
ว่าแล้วคนก็ใช้กระบี่ร่มชี้ไปทางเรือเหาะสามลำ! “ยึดเรือเหาะพวกนั้นไปด้วย ตอนนี้มันเป็นของเราแล้ว……”
ทุกคนเผลอหันไปสบตากัน “……”
ณ เขตแดนต้าอวิ๋น!
ในวันนั้นเยี่ยฉวนเดินทางเข้าสู่เมืองอีกเมืองหนึ่ง ขณะที่กำลังจะผ่านประตูเมืองนั้นกลับถูกชายคนหนึ่งออกมายืนขวางหน้า
ชายรุ่นหนุ่มอายุราวยี่สิบขวบเศษ ในมือกระชับทวนยาว
ดวงตาที่มองตรงมาที่เยี่ยฉวนแววตาสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น ด้วยคนอดทนรอคอยการมาของเยี่ยฉวนราวหนึ่งชั่วยามแล้ว เขาจะได้รางวัลหนึ่งล้านเหรียญทองเสียที!
หนึ่งชั่วยามกับการรอคอยและเงินหนึ่งล้าน!
ข้อต่อรองที่ได้ประโยชน์มหาศาลอะไรเช่นนี้!
เขากำลังจะเอ่ยปากพูดฉับพลันนั้นเองเยี่ยฉวนได้หายไปจากสถานที่รวดเร็ว สีหน้าของชายหนุ่มเผือดวูบพร้อมผลักทวนยาวในมือกระแทกออกไป ทว่าในตอนนั้นกระบี่ปริศนาพุ่งมาถึงจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของคนเสียแล้ว
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกยืนตัวแข็งทื่อ!
มือกำด้ามกระบี่พลางผลักออกไปข้างหน้าเพียงเบาๆ “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
สายตาของชายหนุ่มจ้องแน่วเยี่ยฉวนตรงหน้าเป็นเวลาเนิ่นนาน ในที่สุด มือที่กำด้ามทวนค่อยคลายออกช้าๆ พลันเสียงพูดพึมพำแผ่วเบาผ่านออกมาจากริมฝีปาก “ขะ……ข้าแค่เดินทางผ่านมาเท่านั้น……”
