บทที่ 601 เยี่ยฉวน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเจ้า!
ณ เวลานี้ หากเขาปรารถนา… กระบี่ของเขาคงสามารถผสานทั้งสวรรค์และโลกได้
กระนั้นเขายังคงไม่รู้ว่าเขาเป็นเซียนกระบี่หรือไม่!
หลังจากที่เงียบงันไปชั่วขณะ เยี่ยฉวนตัดสินใจถามเยว่ฉี
ขณะนั้นเสียงของผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นสองอยู่ๆ ก็ดังขึ้นในหัวของเขา “ระวังเจ้าคนที่อยู่บนชั้นสี่ด้วย!”
ชั้นสี่หรือ?
เยี่ยฉวนชะงักงันและกล่าว “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นสองเอ่ยตอบ “มันสั่งให้อาหลิงดึงกระบี่ออกมา!”
ดึงกระบี่ออกมา!
ได้ยินเช่นนี้ใบหน้าเยี่ยฉวนก็มืดมนลง
ดึงกระบี่ออกมา!
มันต้องเป็นกระบี่ที่อยู่บนสุดของหอคอยเป็นแน่!
หากกระบี่เหล่านั้นถูกดึงออกมา ใครจะรู้ได้เล่าว่าอะไรจะเกิดขึ้น!
เยี่ยฉวนเร่งรีบเรียกอาหลิงให้มาพบเขาและกล่าวอย่างจริงจัง “ผู้ที่อยู่บนชั้นสี่ มันสั่งให้เจ้าดึงกระบี่หรือ?
อาหลิงกัดผลจิตวิญญาณคำหนึ่งแล้วผงกศีรษะน้อยๆ “ใช่ มันกล่าวว่ากระบี่นั้นน่าสนุก”
เยี่ยฉวนกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
อาหลิงจ้องมองเยี่ยฉวนและกะพริบตา “ข้า……”
พูดถึงสิ่งนี้เธอก็กลอกตา
บัดนั้นเยี่ยฉวนเอ่ย “อย่าได้โป้ปด!”
อาหลิงลังเลใจในชั่วอึดใจจากนั้นก็ยิ้ม “ข้า……ข้าต้องการที่จะดึงมันออกมาและเล่นสนุก จากนั้นจะนำมันกลับไปที่เดิม……ได้หรือไม่?”
เยี่ยฉวนอับจนคำพูด “เจ้าบอกกับข้าหรือ?”
อาหลิงพลันปรบมือของนางและดวงตาของนางก็เปล่งประกาย “เจ้ายินยอมหรือ?”
เยี่ยฉวนดูสับสนยุ่งเหยิง เขายินยอมหรือ?
ตอนนั้นเองอาหลิงบินออกไปทันทีและไต่ขึ้นไปที่ยอดหอคอย
เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าลึกและจากนั้นกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “กระบี่นั่น เจ้าดึงมันออกมาไม่ได้!”
เขาไม่รู้ว่าอาหลิงนำมันออกมาได้หรือไม่ แต่หากนางสามารถทำได้เล่า? หากนางดึงมันออกมา บางสิ่งจำต้องผิดพลาดเป็นแน่!
ได้ยินคำของเยี่ยฉวน อาหลิงกะพริบตาถี่แล้วกล่าวด้วยความใคร่รู้ “เหตุใดข้าถึงไม่สามารถทำได้?”
เยี่ยฉวนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “หากเจ้าดึงมันออกมา บางสิ่งที่เลวร้ายจะบังเกิด!”
“เช่นนั้น……”
อาหลิงผงกศีรษะน้อยๆ ราวกับว่านางไม่ได้เข้าใจอย่างสมบูรณ์นัก แลเห็นที่อาหลิงผงกศีรษะ เยี่ยฉวนพลันรู้สึกคลายกังวลเสมือนได้ปลดเปลื้องภาระ ก่อนที่นางกล่าวอีกครั้ง “ข้าดึงมันออกมาวันนี้ไม่ได้ ข้าสามารถดึงมันออกมาในวันพรุ่งได้หรือไม่?”
เยี่ยฉวนอับจนคำพูดยามที่เขาได้ยินสิ่งนี้!
เหตุใดเจ้าตัวน้อยนี่ถึงเอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับการดึงกระบี่ออกมากัน?
ท้ายที่สุดเยี่ยฉวนก็พ่ายแพ้อย่างหมดท่า!
เขาทิ้งเจ้าตัวน้อยไว้ผู้เดียวและเอ่ยขอผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นสองให้ใส่ใจนางให้มากยิ่งขึ้น!
เขาไม่ได้ถูกสำนักผู้ตรวจการเขตแดนสังหาร หากแต่เขากราดเกรี้ยวจวนเจียนจะสิ้นใจด้วยเพราะเจ้าตัวน้อยนี่
หลังจากออกจากหอคอยแห่งเรือนจำ เยี่ยฉวนมาที่คฤหาสน์อวิ๋นเจี้ยน
ด้านในนั้น เยว่ฉีกำลังเล่าเรียนเพลงกระบี่ นางทำหน้าถมึงทึงเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังตรึกตรองบางสิ่ง
เยี่ยฉวนกำลังจะกล่าวขณะที่อยู่ๆ เยว่ฉีก็เอ่ยขึ้น “เจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวหรือ?”
เยี่ยฉวนพยักหน้า
“เช่นนั้นก็บอกข้ามา!”
“ข้าฉงนใจว่าข้าอาจจะกลายเป็นเซียนกระบี่แล้ว!”
“หืม?”
เยว่ฉีวางคัมภีร์ในมือของนางลงและหันไปมองเยี่ยฉวน “เซียนกระบี่?”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ข้าเพียงสงสัย… ไม่อาจแน่ใจ!”
เยว่ฉีเดินไปหาเยี่ยฉวน และจากนั้นจ้องเยี่ยฉวนตั้งแต่หัวจรดเท้า เยี่ยฉวนกระตุ้นปณิธานกระบี่ ชั่วขณะหนึ่งทั่วทั้งห้องเต็มเปี่ยมไปด้วยปณิธานกระบี่คุณธรรมและมารของเขา
ด้วยเห็นภาพนี้ เยว่ฉีตกตะลึง
เยี่ยฉวนเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “ข้าเป็นเซี่ยนกระบี่หรือไม่?”
เยว่ฉีจ้องมองเยี่ยฉวนและส่ายศีรษะ “ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เจ้าเพียงเป็นเซียนกระบี่กึ่งหนึ่ง!”
“กึ่งหนึ่ง!”
เยี่ยฉวน “……”
บัดนั้นเยว่ฉีอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา “ขั้นควบยุทธ์สะท้านภพระดับแท้จริงหรือ?”
มีร่องรอยของความไม่ยอมรับในแววตาของนาง
เยี่ยฉวนฉีกยิ้ม “ผลจากกระบี่ทั้งห้า!”
เยว่ฉีจับตาดูไปที่เยี่ยฉวนและกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้ายังประเมินเจ้าต่ำไป!”
ระหว่างที่นางพูด นางคว้าแขนของเยี่ยฉวนและออกไปจากคฤหาสน์อวิ๋นเจี้ยนทันที
ด้วยการนำของเยว่ฉี เยี่ยฉวนได้ไปที่หลังเขาอวิ่นเจี้ยน ที่ที่เยี่ยฉวนเคยมาก่อนหน้านี้ มีป่าไผ่และทุ่งดอกไม้ ซึ่งเยว่ฉีเป็นคนปลูกทั้งหมด
ในป่าไผ่ เยว่ฉีจ้องมองเยี่ยฉวน “ปลดปล่อยปณิธานกระบี่ของเจ้า!”
เยี่ยฉวนพยักหน้าและจากนั้นก็ปลดปล่อยปณิธานกระบี่ของตน ชั่วเวลาหนึ่ง ทั่วทั้งป่าเอ่อล้นไปด้วยปณิธานกระบี่!
หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน เยว่ฉีเอ่ยเบาๆ “เจ้าตระหนักรู้หรือไม่ว่าเจ้าอยู่ในขั้นใดในตอนนี้?”
เยี่ยฉวนส่ายศีรษะ
เยว่ฉีเอ่ยเสียงแผ่ว “ขั้นที่หนึ่งคือเข้าใจปณิธานกระบี่ ขั้นที่สองเข้าใจแก่นของปณิธานกระบี่ ขั้นที่สามคือผสานปณิธานกระบี่กับสวรรค์และโลก นั่นหมายความว่าปณิธานกระบี่ของเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดที่กายเนื้อของเจ้า แต่สามารถประสานรวมกับสวรรค์และโลก กล่าวอีกทางคือ ก่อนหน้าร่างกายของเจ้าเป็นสิ่งที่จำกัดปณิธานกระบี่ของเจ้า แต่บัดนี้ปณิธานกระบี่ของเขาข้ามผ่านความจำกัดนี้และมีความเป็นไปได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด!”
เยี่ยฉวนกล่าวเสียงต่ำ “ข้าหาใช่เซียนกระบี่หรือ?”
เยว่ฉีส่ายศีรษะ “เพียงกึ่งหนึ่ง!”
“เหตุใดกันเล่า?” เยี่ยฉวนถาม
เยว่ฉีตอบเสียงเบา “การจะเป็นเซียนกระบี่ การผสานปณิธานกระบี่กับสวรรค์และโลกเป็นเพียงขั้นแรก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือขั้นที่สอง นั่นคือแก่นแท้ของกระบี่!”
“แก่นแท้ของกระบี่หรือ?” เยี่ยฉวนค่อนข้างฉงนงุนงง
เยว่ฉีอธิบาย “ตอนนี้เจ้ามีกระบี่ใจกระจ่าง นั่นหมายความว่าจิตใจแห่งเต๋าของกระบี่นั้นบริสุทธิ์และสะอาดผุดผ่อง กระนั้นการจะเป็นเซียนกระบี่ กระบี่ใจกระจ่างนั้นจำเป็นเช่นเดียวกับหัวใจกระบี่วิภาส!
หัวใจกระบี่วิภาส!
เยี่ยฉวนขมวดคิ้วน้อยๆ “สภาวะจิตหรือ?”
เยว่ฉีพยักหน้า “ใช่ สภาวะจิต ซึ่งยากอย่างยิ่งยวดที่จะไปถึง มากไปกว่านั้น สภาวะจิตของแต่ละคนนั้นต่างกัน เช่นนั้นหัวใจกระบี่วิภาส จึงอาจต่างกัน แน่ชัดว่ามีหลายวิถีทางที่จะทำให้บังเกิดผลเช่นเดียวกัน”
เยี่ยฉวนถาม “หัวใจกระบี่วิภาสนั้นยากที่จะบรรลุอย่างนั้นหรือ?”
เยว่ฉีพยักหน้ารับ “เป็นแน่เทียว! เหล่าพี่น้องผู้ที่ปกปักรักษาสุสานกระบี่หยุดยั้งอยู่ ณ จุดนี้มามากกว่าสิบๆ ปี!”
มากกว่าสิบๆ ปี!
สีหน้าของเยี่ยฉวนดูเศร้าสลดลงในบัดดล
ในเวลานี้เยว่ฉีพลันยิ้มและกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องท้อใจไป มันเป็นพรสวรรค์ซึ่งสวรรค์ประทานให้ ที่เจ้าได้กลายเป็นกึ่งเซียนกระบี่ด้วยอายุเท่านี้ เจ้าควรตระหนักว่าก่อนหน้านี้แม้แต่ขั้นพลังของศิษย์พี่ใหญ่ยังเคยถดถอย เขาเป็นรองเจ้าอยู่ระดับหนึ่ง”
เยี่ยฉวนพูดพลางยิ้ม “หากตอนนี้ข้าเป็นเซียนกระบี่ ข้าคงสามารถช่วยเหลือสำนักได้มาก!”
เยว่ฉีตบไหล่เยี่ยฉวนเบาๆ อย่างอ่อนโยน “ข้าปีติยินดียิ่งนักที่รู้ว่าเจ้าคิดเช่นนี้ หากแต่เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลไปนักเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในสำนักของพวกข้า ทุกอย่างจะได้รับการจัดการโดยชนรุ่นเก่า สิ่งที่เจ้าควรทำตอนนี้คือฝึกฝน เข้าใจหรือไม่?”
เยี่ยฉวนสองจิตสองใจ จากนั้นก็กล่าวออกมา “พวกเรามีโอกาสเท่าไร?”
เยว่ฉีส่ายศีรษะ “ข้าหารู้ไม่ กระนั้นแม้ความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์ พวกข้าก็จำต้องสู้! พวกข้าไร้ทางเลือก”
เยี่ยฉวนพยักหน้ารับ “เช่นนี้เองหรือ!”
เยว่ฉีกล่าว “หากเจ้าไม่มีธุระยุ่งนัก เจ้าสามารถไปที่ส่วนลึกของสุสานกระบี่ ที่ที่ท่านผู้ก่อตั้งเคยบำเพ็ญตน ปณิธานกระบี่ของเขายังคงดำรงอยู่ที่นั่น ซึ่งน่าจะสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเจ้า!”
เยี่ยฉวนยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านอาจารย์ผู้พิทักษ์สุสานกระบี่ไม่อนุญาตให้ข้าเข้าไปขอรับ!”
“ทำไม?” เยว่ฉีค่อนข้างฉงนงงงวย
เยี่ยฉวนยิ้มแหยและเอ่ย “ข้าไปที่นั่นมาครั้งหนึ่งแล้วและกลืนกินกระบี่บางเล่มไป……”
เยว่ฉีขมวดคิ้ว “เพียงแค่กระบี่บางเล่ม! เจ้าเป็นคนของพวกข้า! เจ้าจะไม่สำคัญกว่ากระบี่เหล่านั้นได้งั้นหรือ? ตามข้ามา!”
หลังจากนั้น เยว่ฉีพาเยี่ยฉวนไปที่สุสานกระบี่
เมื่อเห็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี หนังตาของชายชราก็กระตุก เขาเร่งฝีเท้าเดินไปหาเยว่ฉีพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีเวลาปลีกตัวมาที่นี่วันนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เยว่ฉีจ้องเขม็งที่ชายชราและกล่าว “ศิษย์พี่หลินชิ่วเหตุใดศิษย์ของข้าถึงมาเยือนสุสานกระบี่ไม่ได้หรือ? หรือท่านมีปัญหาอะไรกับข้า?”
ชายชราหลินชิ่วยิ้มอย่างขุ่นเคืองใจ “หาไม่! เจ้าก็ตระหนักถึงกฎของที่นี่ ศิษย์จะต้องได้รับการยินยอมจากอาจารย์เสียก่อนที่จะเข้าไปได้”
เยว่ฉีขมวดคิ้ว “ท่านกำลังพยายามจะขัดขวางข้าโดยการเอ่ยถึงศิษย์พี่รองเช่นนั้นหรือ?”
รอยยิ้มของหลินชิ่วยิ่งดูขัดเคืองมากขึ้นและมากขึ้น “ศิษย์น้องหญิง พวกเราทั้งสองต่างอยู่ในสำนักเดียวกัน หากเจ้าใช้คำพูดเช่นนี้ ข้า……”
เยว่ฉีกำลังจะพูดต่อ ทว่าเยี่ยฉวนพูดแทรกขึ้นมาก่อนในทันใด “ท่านอาจารย์หลินชิ่ว นี่เป็นความผิดข้าเองที่ข้ากลืนกินกระบี่โดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากท่านเมื่อคราวก่อน ตอนนี้ข้าขออภัยต่อท่าน!”
หลินชิ่วจ้องมองไปที่เยี่ยฉวนและเอ่ย “เป็นสิ่งที่ข้าไม่ได้คาดการณ์ไว้นักที่เจ้าสามารถขอขมาได้”
เขาพูดพร้อมหยุดไปเล็กน้อย “แม้ความแข็งแกร่งของเจ้าจะพัฒนาในตอนนั้น อย่างไรเสียสิ่งนี้เป็นของสำนัก เขากลืนกินพวกมันไปโดยที่ไม่แจ้งพวกข้า นั่นเป็นสิ่งที่ไร้จรรยายิ่งนัก”
เยี่ยฉวนเร่งรีบตอบไป “ใช่ขอรับ ข้าตระหนักแล้วว่าข้าผิด! ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก!”
หลินชิ่วกำลังจะกล่าวบางอย่างเมื่ออยู่ๆ มีเสียงหนึ่งปรากฏในห้วงความคิด “ให้เข้าเขาไป! ในภายภาคหน้าเขาจะสามารถเข้ามาได้ไม่ว่าเมื่อใดที่เขาปรารถนา! มอบการฝึกฝนอย่างเต็มกำลังให้แก่เขา!”
เสียงของเฉินเป่ยฮั่น!
ได้ยินเช่นนี้ ท่าทางหลินชิ่วก็ดูจะคลายกังวลลงเล็กน้อย!
มอบการฝึกฝนอย่างเต็มกำลังให้แก่เขา!
เขารู้ดีที่สุดว่ามันหมายความเช่นไร!
หลินชิ่วจับตามองเยี่ยฉวนและกล่าว “เจ้าเข้าไปได้!”
เยี่ยฉวนคำนับ “ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง!”
หลังจากกล่าวจบเขาหันไปหาเยว่ฉี “ท่านอาจารย์ ข้าเข้าไปล่ะ!”
เยว่ฉีพยักหน้า “เข้าไปในส่วนลึกที่สุด”
เยี่ยฉวนพยักหน้ารับและเดินเข้าไปในสุสานกระบี่”
เยว่ฉีจ้องมองเยี่ยฉวน “เขาได้อยู่ในขั้นควบยุทธ์สะท้านภพระดับแท้จริงแล้ว ท่านเข้าใจหรือไม่?” มีร่องรอยของความภาคภูมิใจในน้ำเสียงของนาง
ขั้นควบยุทธ์สะท้านภพระดับแท้จริง!
หลินชิ่วชะงักงัน
กระนั้นเยว่ฉีก็หันกลับและจากไป
ขั้นควบยุทธ์สะท้านภพระดับแท้จริง!
หลังจากชะงักงันไปเป็นเวลานาน หลินชิ่วส่ายศีรษะก่อนจะยิ้มน้อยๆ “เป็นชายผู้ที่มีพรสวรรค์ที่น่ากลัวเสียจริง……”
ผู้เยาว์วัยในขั้นควบยุทธ์สะท้านภพระดับแท้จริง ในชนรุ่นใหม่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตอนกลาง เว้นแต่เหล่าผู้ที่มาจากตระกูลอันสูงศักดิ์ในโลกสวรรค์และชุมนุมพลังเร้นลับ ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงเขาได้
ในสุสานกระบี่ เยี่ยฉวนกำลังเดินเข้าไปในส่วนลึก สุสานกระบี่กว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่เขาคาดยิ่งนัก หลังจากเดินมาได้สักครึ่ง
ชั่วยาม เยี่ยฉวนหยุดเท้าลง ที่นี่เป็นจุดสิ้นสุด!
และที่นี่เขารับรู้ได้ถึงปณิธานกระบี่อันเบาบางที่มองไม่เห็น!
ในขณะเดียวกัน กระบี่หลิงซิ่วพลันสั่นเทิ้มอยู่ในร่างกายตัวเอง ราวกับว่ามันมีกระแสไฟฟ้า
เยี่ยฉวนกล่าวเบาๆ “ที่นี่คงเป็นสถานที่ที่เซียนกระบี่ของโลกชิงฉางท่านนั้นเคยบำเพ็ญตน!”
ระหว่างที่พูดก็เตรียมท่านั่งขัดสมาธิ
เยี่ยฉวนค่อยๆ เริ่มการเข้าฌาน
ขณะนั้น เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงปณิธานกระบี่อันเบาบางที่มองไม่เห็นรอบตัว มันให้ความรู้สึกที่ไม่ปกติ แต่เขาไม่สามารถอธิบายได้
ตระหนักรู้!
สิ่งที่เขาควรกระทำตอนนี้คือการตระหนักรู้!
ระหว่างที่เยี่ยฉวนกำลังเข้าฌานในสุสานกระบี่ ชายชราสองคนไปที่ภูเขาของสำนักผู้ตรวจการเขตแดน
คนชราทั้งสองสวมใส่เสื้อคลุมสีทองหม่น ด้านหลังพวกเขามีคนทั้งหมดสิบสองคน ซึ่งล้วนแต่สวมใส่เสื้อคลุมสีทอง
ด้านในโถง ผู้ทรงเกียรติลู่ลืมตาขึ้นในฉับพลันและกล่าวเสียงเบา “เยี่ยฉวน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเจ้า!”
