Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 140

ตอนที่ 140 ทรงมีพระบัญชา ขุนนางไม่รับพระบัญชา

ด้วยสถานะหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ของเฝิงเป่า ไม่จำเป็นต้องคอยรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้แล้ว แต่ในยามที่โอกาสอำนวย ก็ยังคอยมารับส่งทั้งก่อนและหลังออกว่าราชการ

แน่นอน เป็นเฝิงเป่าที่ชื่นชมความเข้มงวดของตัวเอง และยังจำกัดพฤติกรรมของฮ่องเต้อีกหลายอย่าง ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นเขาเมื่อใดก็จะรู้สึกถูกบังคับ ไม่อยากให้มา นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

มาถึงห้องบรรทมของว่านลี่แต่เช้า ตอนเฝิงเป่าเดินเข้าไปก็เห็นนางกำนัลหลายคนกำลังปรนนิบัติเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้ฮ่องเต้ จางเฉิงก็ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ

แม้ว่าไม่ใช่พวกละเอียดอ่อนสังเกตการณ์ฉับไวอย่างเฝิงเป่าและจางเฉิง คนอื่นๆ ก็มองอกว่าฮ่องเต้ว่านลี่กระตือรือร้นมาก เฝิงเป่าถวายคำนับแล้วก็ไปยืนก่อนหน้าจางเฉิง

เขาก้มลงกวาดตามองการแต่งกายของฮ่องเต้ว่านลี่ กลับห้อยสิ่งที่ไปถูกต้องนัก คิ้วขมวดมุ่นถามขึ้นทันทีว่า

“หยกมังกรธารที่ทรงห้อยประจำชิ้นนั้นล่ะ ทำไมทรงห้อยหยกวงงานหยาบน่าเกลียดเช่นนี้”

พอเฝิงเป่าถาม นางกำนัลสองคนที่กำลังปรนนิบัติเปลี่ยนฉลองพระองค์ก็ตัวสั่น หันหน้าไปมองว่านลี่ ฮ่องเต้น้อยหัวเราะแหะๆ ช่วยพวกนางแก้ไขสถานการณ์

“เป็นเราที่อยากจะห้อยเอง เฝิงต้าปั้นดูสิ นี่เป็นของกำนัลที่หวังทงมอบให้เราจากการไปปราบรังโจร บอกว่าค้นมาได้จากตัวหัวหน้าโจร”

ขณะตรัสยังแก้เชือกออก เอามาโชว์ให้เฝิงเป่าดูอีกด้วย เฝิงเป่าหันไปสบตากับจางเฉิง จางเฉิงได้แค่ยิ้มฝืดส่ายหน้า เฝิงเป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“ฝ่าบาท ชุดฉลองพระองค์ล้วนมีธรรมเนียมปฏิบัติ หยกวงน่าเกลียดได้มาจากโจรไม่ว่า ดีไม่ดีจะเปรอะเปื้อนสิ่งไม่ดีมาด้วย ฝ่าบาททรงเปลี่ยนเถอะ!”

“ข้าเป็นถึงโอรสสวรรค์ มีของอะไรไม่ดีจะมาเข้าใกล้ข้าได้…ต้าปั้น พรุ่งนี้ข้าก็จะไม่พกแล้ว ดีไหม”

ฮ่องเต้ว่านลี่เพิ่งกล่าววาจาประโยคแรกจบลงด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แต่พอเห็นสีหน้าเข้มงวดของเฝิงเป่า ก็รีบเปลี่ยนน้ำเสียง เฝิงเป่าได้ยินดังนั้น ก็ส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ถวายบังคมยืนรอต่อ

จางเฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบมองแวบหนึ่งก็ก้มหน้าลงทันที ไม่กล่าวอันใดสักคำ

*****

ณ สำนักเสนาบดีใหญ่ อำมาตย์จางจวีเจิ้งย่อมเป็นศูนย์กลาง แต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้า อย่างน้อยก็ยังมีขุนนางหลายรัชสมัยที่พอจะเป็นตัวของตัวเองอย่างเช่น เสนาบดีหวังกั๋วกวงแห่งกรมขุนนาง เสนาบดีว่านซื่อเหอแห่งกรมธรรมการและเสนาบดีถานกวนแห่งกรมกลาโหม แต่พอหวังกั๋วกวงถูกปลด ถานกวนจากไป เสนาบดีกรมขุนนางเปลี่ยนเป็นจางฮั่น เสนาบดีกรมกลาโหมเปลี่ยนเป็นจางซื่อเหวย ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสำนักก็เกือบจะเป็นลูกศิษย์และผู้ใต้บังคับของจางจวีเจิ้งแทบทั้งหมด

เสนาบดีกรมธรรมการอย่างว่านซื่อเหอคนเดียวจะไปเรียกลมเรียกฝนอันใดได้ จึงได้แต่หัวหดอยู่ในซอกเพื่อรักษาตัวรอด วาจาใดก็ไม่กล่าวให้มากความ เอาแต่สงบปากสงบคำ

บรรยากาศในสำนักเสนาบดีใหญ่วันนี้คึกคักยิ่ง สีหน้าของราชบัณฑิตในสำนักหลายท่าน เสนาบดี 6 กรม และผู้ตรวจการจากสำนักตรวจการต่างก็ปีติยินดี

ทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องว่า ปีนี้ท้องพระคลังย่อมไม่ว่างเปล่า คลังหลวงอย่างน้อยต้องมีกำไร 2 ล้านตำลึง ช่วงปลายรัชสมัยเจียจิ้งนั้นท้องพระคลังว่างเปล่าทุกปี พอถึงปลายรัชสมัยหลงชิ่งก็ค่อยๆ ดีขึ้น มาบัดนี้กลับมีกำไรมากมายเพียงนี้ นี่เพราะอะไร ล้วนเป็นความดีความชอบใหญ่หลวงของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง ที่ผลักดันนโนบายตรวจสอบที่ดิน ค้นหาที่นาที่ซุกซ่อนไว้จำนวนมากออกมาได้ เพิ่มภาษีให้ราชสำนักมากมาย รอถึงวันเปลี่ยนระบบภาษี เช่นนั้นคลังหลวงคงยิ่งต้องมีกำไรเพิ่มอีกแน่

สำหรับคำชมและวาจาประจบของพวกเดียวกัน จางจวีเจิ้งก็ได้แต่ยิ้มเล็กน้อยพยักหน้ารับเท่านั้น ตอนนี้ทุกอย่างในใต้หล้าล้วนดำเนินการไปตามที่จางจวีเจิ้งคิดการไว้ ใต้หล้ายกย่องให้เป็นปราชญ์เมธี เช่นนี้จะไม่รู้สึกได้ใจก็คงยาก

แต่ภายใต้รอยยิ้มของจางจวีเจิ้งก็มีความกังวลอยู่บ้าง เมื่อวานได้รับรายงานด่วนมาจากมณฑลหูกว่าง อาการป่วยของนายผู้เฒ่าตระกูลจางทรุดหนักลงอีกแล้ว

“ฝ่าบาทเสด็จ!!! ~~~

เสียงตะเบ็งรายงานของขันทีด้านนอกดังขึ้น สำนักเสนาบดีที่กำลังคึกคักเมื่อครู่พลันสงบเงียบลง ทุกคนจัดแต่งชุดและหมวก ลุกขึ้นยืนเรียงลำดับเตรียมรับเสด็จ

ฮ่องเต้ว่านลี่เดินเข้าอย่างกระฉับกระเฉง ปกติตอนเดินมาถึงก็จะมีพิธีรีตองครู่หนึ่ง ขันทีประจำห้องทรงงานจากสำนักส่วนพระองค์ก็จะเดินเข้ามา ด้านขวาของฮ่องเต้มีโต๊ะสองสามตัว พวกขันทีจากสำนักส่วนพระองค์ก็จะยืนกันอยู่ตรงนั้น บนโต๊ะจัดอุปกรณ์เครื่องเขียนไว้ ฎีกาที่ผ่านตาสำนักเสนาบดีใหญ่หากต้องจัดการในตอนนี้เลย ก็สามารถลงชาดอนุมัติได้เลย

จางจวีเจิ้งกล่าวง่ายๆ สองสามประโยค จากนั้นก็เป็นรายงานของเสนาบดีกรมขุนนางจางฮั่น ตอนนี้ใต้หล้ากำลังดำเนินการตรวจสอบที่ดิน ไม่รู้ว่าเกี่ยวพันถึงขุนนางมากมายเพียงใด

ที่ดินหนึ่งหมู่ถูกซ่อนเร้น ภาษีที่ดินหนึ่งหมู่ของประเทศชาติก็หายไป ภาษีพวกนี้ก็ตกอยู่ในกระเป๋าส่วนตัว ที่ดินหนึ่งหมู่แม้ว่าราคาไม่เท่าไร แต่หลายพันหลายหมื่นก็เป็นผลประโยชน์ก้อนใหญ่ไม่น้อย และที่ดินก็ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทุกที่ล้วนมีผลประโยชน์มาก

ขุนนางกับพวกคหบดีตระกูลใหญ่ในพื้นที่มากมายที่ฮุบที่ดินที่เดิมเป็นของชาติไว้ การตรวจสอบที่ดินครั้งนี้ก็สืบค้นออกมาได้มากมาย

ซ่อนเร้นที่ดินมีโทษหนัก บวกกับบกพร่องหน้าที่อีก ก็ไม่รู้ว่าต้องปลดขุนนางและยึดทรัพย์กันเท่าไร และก็มีผู้ที่จัดการเรื่องตรวจที่ดินได้ดีไม่น้อยล้วนได้สร้างความดีความชอบ ต้องปูนบำเหน็จ

ทุกคนรับคำสั่งปฏิบัติการ อย่างไรก็เป็นงานสำคัญของขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนัก หลายวันนี้ในการประชุมขุนนาง ทุกวันก็จะมีการจัดการปลดขุนนาง ระดับ 4 ลงไปก็ตัดสินโดยคณะเสนาบดีใหญ่และกรมขุนนาง แต่ระดับ 4 ขึ้นไปก็ต้องให้คณะเสนาบดีใหญ่และกรมขุนนางเสนอให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัย แต่จำนวนคนที่เกี่ยวข้องพัวพันนี้เกรงว่าจะมากเกินไปสักหน่อย ทุกวันมีรายชื่อใหม่ทูลเกล้าขึ้นมา ดังนั้นทุกวันจึงคุยกันแต่เรื่องนี้

ใครต้องได้รับการเสนอเลื่อน ใครที่ต้องถูกปลด รายชื่อจัดไว้เสร็จ ไทเฮา เฝิงเป่าและจางจวีเจิ้งทั้งสามล้วนเห็นชอบมาแล้ว รายงานส่งมาที่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็แค่ผ่านกระบวนการเท่านั้น

หลายวันก่อน เสนาบดีกรมขุนนางจางฮั่นอ่านถึงตรงกลาง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็จามออกมาอย่างไม่เก็บอาการ…

วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ขุนนางผู้ใหญ่หลายท่านที่ตั้งใจฟังรายงานของจางฮั่นก็สังเกตเห็นว่าฮ่องเต้ว่านลี่วันนี้ใส่ใจเป็นพิเศษ และยังฟังอย่างตั้งใจ

เรื่องไม่ปกติ และเป็นการแสดงออกของโอรสสวรรค์ ขุนนางผู้ใหญ่ก็รู้สึกหวั่นใจ ทุกคนยังจำเหตุการณ์ที่ฮ่องเต้ว่านลี่บีบหวังกั๋วกวงออกจากตำแหน่งได้ชัดเจน หรือวันนี้จะมีอะไรอีก?

“ที่ขุนนางจางกล่าวมา ในเมื่อสำนักเสนาบดีไม่มีปัญหาอะไร สำนักส่วนพระองค์ก็ลงชาดละกัน!”

รอจางฮั่นกล่าวจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็พยักพระพักตร์ตรัสขึ้น จางฮั่นรีบขอบพระทัย ส่งฎีกาในมือให้ขันทีน้อยข้างๆ ขันทีน้อยส่งต่อให้จางเฉิง

จางเฉิงมองไปทางเฝิงเป่า เห็นเฝิงเป่าพยักหน้า ก็หยิบพู่กันจุ่มชาดแดงอนุมัติลงไปว่า ‘อนุมติ’ ฮ่องเต้ว่านลี่พระราชทานอนุญาตให้จางฮั่นนั่งลง ก่อนจะตรัสขึ้นว่า

“เมื่อวานรายงานจากสำนักอาชาหลวงและสำนักบูรพาไปปราบรังโจรนอกมเองมาก โจรร้ายในวัดถูกจับกุมได้ทั้งหมด ขุนพลและทหารสำนักอาชาหลวงและสำนักบูรพาล้วนควรได้รับการชมเชย!”

ได้ยินคำวิพากษ์ของฮ่องเต้ว่านลี่ ขุนนางผู้ใหญ่ต่างไม่รู้สึกเช่นนั้น สำนักอาชาหลวงและหน่วยงานในราชสำนักฝ่ายในที่สั่งการโดยขันที สำนักบูรพายังเป็นงานในสังกัดสำนักส่วนพระองค์ พวกเขาทำได้ดี ได้รับคำชม บารมีก็ยิ่งพองโต มีผลดีอะไรกับทุกคน ก็แค่สุนัขดุร้ายเฝ้าประตูเท่านั้น

ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ฝืนใจเออออตาม จางจวีเจิ้งยิ้มกล่าวว่า

“ฝ่าบาททรงพระบารมี ขุนนางใต้ฝ่าพระบาทก็ย่อมจงรักภักดี สร้างความดีความชอบเช่นนี้ก็ควรได้รางวัล ขอให้สำนักส่วนพระองค์มอบรางวัลให้ตามธรรมเนียมด้วย!”

วาจานี้กล่าวได้อย่างกลางๆ ทุกคนต่างขานรับ ฮ่องเต้ว่านลี่เปิดประเด็นต่อว่า

“เห็นในรายงาน บอกว่าองครักษ์เสื้อแพร นายกองธงใหญ่หวังทงที่ออกปฏิบัติการด้วย เฉียบแหลมเก่งกล้า พอพบว่าหัวหน้าโจรจะหลบหนีไปทางช่องทางลับ ก็นำคนไล่ติดตามจับกุมอย่างกล้าหาญ สังหารหัวหน้าโจร สำนักอาชาหลวงและสำนักบูรพาล้วนเห็นว่าหวังทงมีความดีความชอบอันดับหนึ่งในปฏิบัติการนี้ ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร?”

ที่แท้ประเด็นอยู่ตรงนี้ จางจวีเจิ้งสบตากับเฝิงเป่าที่อยู่ด้านข้าง ขุนนางผู้ใหญ่คนอื่นๆ ต่างสบตากัน บุคคลที่สามารถมีที่ยืนในห้องประชุมสำนักเสนาบดีใหญ่นี้ได้ ก็ย่อมรู้ว่าหวังทงเป็นใคร

จางจวีเจิ้งและคนอื่นๆ ต่างรู้ดีแก่ใจ หวังทงเป็นขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้ และยังทรงเชื่อถือและชื่นชมเช่นนี้ วันหน้าจะต้องกางปีกโบยบิน ไม่ผิดจากนี้เป็นแน่ แต่หวังทงก็มีปัญหาที่ไม่ใช่บัณฑิตรู้หนังสือ และเริ่มตำแหน่งมาจากองครักษ์เสื้อแพร คนสายบู๊เช่นนี้ เกิดมาก็แทบจะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกขุนนางบุ๋นแล้ว

ตอนนี้หวังทงยังสามารถผลักดันให้ฮ่องเต้บีบเสนาบดีกรมขุนนางออกได้ หากวันหน้าเติบโตขึ้น จะไปถึงขั้นไหนกัน ช่างเป็นเรื่องที่ไม่กล้าคิดต่อเลยทีเดียว

องครักษ์เสื้อแพรเป็นหน่วยงานนอกราชสำนัก หลายด้านของเขาก็มีเรื่องมากมายที่สำนักเสนาบดีใหญ่จะวิพากษ์ ฮ่องเต้ตรัสขึ้นมา ผู้ที่จะตอบได้ก็คงมีแต่จางจวีเจิ้งแล้ว จางจวีเจิ้งตอบอย่างนิ่งเรียบว่า

“หวังทงปีนี้อายุ 14 อายุยังน้อย ประทานรางวัลให้มากไปยากที่จะไม่ให้เขาวางตนสับสน และก็แค่ความดีความชอบในการปราบรังโจรเท่านั้น เลื่อนตำแหน่งให้สูงเกินไป ขุนนางที่รักษาชายแดนปราบมองโกล ที่ปราบโจรสลัดทางใต้จะปูนบำเหน็จรางวัลให้อย่างไร กระหม่อมคิดว่า ให้ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วชมเชยไปสักสองสามประโยค แล้วให้เงินรางวัลเพิ่มสักหน่อยก็พอ”

ฮ่องเต้ว่านลี่เดิมยังมีท่าทีกระตือรือร้นรอฟังอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่ามหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งจะตอบกลับมาอย่างไม่อ่อนไม่แข็งเช่นนี้ ทำเอารอยแย้มสรวลบนพระพักตร์ค้างไปทันที

ผู้ตรวจการหลี่ว์กวงหมิงก็ก้าวออกมาคุกเข่ากราบทูลเสียงดังว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูล!”

สถานการณ์อึดอัด ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังคิดหาทางลง พอได้ยินก็ถอนหายใจเฮือก รีบตรัสว่า

“เชิญท่านว่ามา!”

“หลายวันก่อน ผู้ตรวจการจากสำนักตรวจการได้ยินเรื่องประหลาดมาว่า นอกเมืองมีโรงบ้านแห่งหนึ่งจับผู้ต้องสงสัยได้ผู้หนึ่ง กำลังเตรียมส่งให้ทางการ ก็มีพวกปิดหน้าปิดตาเข้ามาชิงตัวไป เก็บกวาดทรัพย์สินและทำร้ายเจ้าบ้าน อาการสาหัส และยังมีคนเห็นว่าคนปิดหน้าพวกนั้นไม่นานก็เปลี่ยนชุดเข้าเมืองมา กลับเป็นชุดองครักษ์เสื้อแพร และมีคนจำได้ว่า องครักษ์เสื้อแพรพวกนั้นมีหัวหน้าคือหวังทงผู้นี้…”

ยังพูดไม่ทันจบ ทุกคนในห้องก็เอ็ดอึงกันขึ้น จางจวีเจิ้งพยักหน้ารับคำกล่าวว่า

“ฝ่าบาท หวังทงอาศัยพระเมตตา พฤติกรรมเกินเลยไปอยู่บ้าง แต่ในเมื่อมีความดีความชอบ ก็ลบล้างกันไปก็แล้วกัน”

“ใต้เท้าจางกล่าวได้ถูกต้อง…”

“อายุน้อยมากอำนาจวาสนา ก็ย่อมขาดความยับยั้งอยู่บ้าง ให้หลิวโสวโหย่วกำราบไว้บ้างก็ดี…”

บรรดาราชบัณฑิตในสำนักเสนาบดีใหญ่และพวกเสนาบดีทั้งหลายต่างเห็นด้วย ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งมองซ้ายมองขวา อยู่ๆ ไม่รู้จะตรัสอะไรดี เห็นสีหน้าจริงจังไม่ยอมอ่อนข้อของบรรดาขุนนางแล้ว ก็เสียงอ่อยว่า

“สร้างความดีความชอบ ก็ไม่น่าจะเป็นเพราะฎีกาที่ไม่รู้ที่มาที่ไปทำให้ต้องถูกปัดตกไป ยังไงก็เลื่อนตำแหน่งให้ละกัน!”

“พระปรีชายิ่งแล้ว หวังทงตอนนี้เป็นนายกองธงใหญ่ กระหม่อมเห็นว่าเลื่อนเป็นนายกองร้อยก็น่าจะเหมาะสม”

จางจวีเจิ้งตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version