Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 17

ตอนที่ 17 หัวการค้า

หมูสามชั้นอย่างดี มันหมูกับเนื้อแดงตุ๋นจนได้ที่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ใส่เครื่องปรุงพะโล้ปริมาณพอเหมาะ กลิ่นหอมโชยแตะจมูก ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว บรรดาลูกค้าที่ท้องเริ่มร้องพอได้เห็นไหนเลยจะอดใจไว้ได้ พ่อครัวของร้านที่ยืนอยู่ข้างหลังหม้อนึ่งสองหม้อนั้นส่งเสียงเชิญชวนดังขึ้นว่า

“กับข้าวไม่มีเนื้อสัตว์ 10 อีแปะ เพิ่มน้ำซุปเนื้อหนึ่งกระบวยได้ กับข้าวมีเนื้อหนึ่งอย่าง 20 อีแปะ กับข้าวมีเนื้อสองอย่าง 30 อีแปะ ข้าวเปล่าชามละ 1 อีแปะ น้ำซุปและผักดองฟรี!”

เห็นคนที่เดินไปหยิบป้ายแล้วเดินไป พ่อครัวผู้นั้นก็ใช้กระบวยไม้ตักเต็มๆ หนึ่งกระบวย มีปริมาณมาก…

เมื่อลูกค้ามาเห็นดังนี้ ท้องไส้ที่กำลังหิวก็ปั่นป่วนขึ้น จึงปรี่เข้ามานั่งลงและจ่ายเงินกินข้าว ผู้ที่รอบคอบหน่อยก็จะยืนคิดคำนวณอยู่ตรงนั้น เนื้อชามหนึ่งอย่างน้อยราวสองตำลึง ตอนนี้เนื้อหมูก็ชั่งละ 50-60 อีแปะ แค่เนื้อนี่อย่างเดียวก็คุ้มมากแล้ว ทั้งยังปรุงอย่างประณีต ราคาต้นทุนนี้เท่าไรกัน ข้าวสารก็กระบวยละ 10 กว่าอีแปะ ข้าวสวยชามหนึ่ง 1 อีแปะก็สมราคา

จะว่าไปผู้ที่สามารถมาเดินเที่ยวจับจ่ายบนถนนสายนี้ หากไม่ใช่คหบดีมีเงินที่ไม่มีงานอะไรต้องทำ ก็จะเป็นบรรดาพ่อค้าต่างถิ่นที่มาจัดหาซื้อสินค้า ผู้ใดก็ล้วนมิขาดเงิน 10-20 อีแปะนี้ นั่งลงกินข้าวกันเถอะ!

กับข้าวประเภทผักธรรมดา 10 อีแปะก็มีสองอย่าง น้ำซุปกับผักดองนั่นก็ล้วนไม่ต้องจ่ายสตางค์ เดิมคิดว่าน้ำซุปไม่แน่ว่าก็คงเป็นแค่น้ำผสมซีอิ๊ว ใครเลยจะคิดว่าพอตักขึ้นมาซดกลับเป็นน้ำซุปกระดูกหมู ผักดองก็บรรจงหั่นฝอยและยังราดด้วยซอสเปรี้ยว ยิ่งชุมคอเป็นอย่างมาก

ที่สำคัญที่สุดก็คือเก้าอี้และโต๊ะที่เช็ดจนสะอาด ชามกับตะเกียบก็สะอาด จานชามไม้ที่ใช้แล้วก็เอาไปล้างข้างนอก ยังมีคนตามไปดู ถึงขั้นที่ว่าหลังจากเช็ดล้างเสร็จ ยังใช้น้ำร้อนลวกอีกครั้ง สะอาดจนไม่รู้จะสะอาดอย่างไรได้อีก

เช่นนั้นก็นั่งลงกินกันเถอะ อาหารผักธรรมดาผัดได้รสชาติดั้งเดิม ลูกชิ้นทอดนั่นก็กรอบนอกนุ่มใน กลิ่นเปรี้ยวหวานของน้ำขลุกขลิกก็พาให้อยากอาหาร หมูสามชั้นน้ำแดงพอเข้าปากก็ละลายทันที หอมกรุ่นเต็มคำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำซุปที่เคี่ยวจากกระดูกหมู ผักดองซอยฝอยราดด้วยซอสเปรี้ยวก็เปรี้ยวเค็มพอดี ข้าวสวยร้อนๆ ส่งกินหอม ซาวข้าวอย่างตั้งใจแต่ละเม็ดอวบอิ่ม

ใช้เงินไม่เยอะแต่ได้ลิ้มลองรสชาติอย่างกับภัตตาคาร ข้างนอกลมพัดมาเหน็บหนาว เข้ามาในหอเลิศรสดื่มซุปร้อนๆ กินอาหารอย่างสบายใจสักมื้อ พอท้องอิ่ม ร่างกายก็พลันรู้สึกอบอุ่นอิ่มเอม

ใกล้เที่ยง ถนนทักษิณหรือแม้กระทั่งคนเดินผ่านโดยรอบก็ถูกบรรดาชายแจกใบปลิวเหล่านั้นเชื้อเชิญมายังหอเลิศรสนี้ ลูกค้าเดินเข้ามาแล้วจะไม่นั่งลงกินข้าวนั้นมีน้อยมาก

นี่ไม่ใช่ช่วงเทศกาล ผู้ที่มาบนถนนสายนี้เลือกเดินเล่นจับจายซื้อของได้นั้นล้วนไม่ใช่บรรดาพวกยากจนที่ลำบากทำกิน แต่เป็นพวกที่สามารถเข้าไปนั่งกินในร้านอาหารและสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะอย่างที่ต้องการได้ เพราะหากจะกินอาหารข้างทางก็รู้สึกเสียหน้า กลับไปกินข้าวบ้านก็รู้สึกยุ่งยาก ดังนั้นหอเลิศรสนี้มีอาหารถูกรสชาติดีเช่นนี้ จึงตรงกับความต้องการของพวกเขาพอดี

“ผู้คนมากมายที่เดินไปมา ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ใบหน้าผู้คนไม่น้อยก็จะออกอาการลำบากใจต่างกล่าวว่าหาที่กินที่เหมาะไม่ได้ จะไปหอรุ่งเรือง พวกเขาก็กินไม่ไหว จะไปกินร้านข้างทาง พวกเขาก็ไม่อยากกิน ถ้ากลับไปกินบ้าน มันก็ทำให้พวกเขาก็รู้สึกยุ่งยาก พวกเราว่าที่นี่เหมาะที่สุด”

หวังทงอธิบายการกระทำที่แปลกประหลาดของตนกับจางซื่อเฉียง กล่าวถึงเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

จางซื่อเฉียงสวมใส่ชุดธรรมดาคอยสอดส่องภายในร้าน ตอนนี้เขาเลื่อมใสศรัทธาหวังทงอย่างที่สุด เพียงแค่วิ่งตะลอนไปมาบนถนนสองสามวันก็สามารถเปิดหอรสดีได้สำเร็จและยังมีลูกค้าแน่นเต็มร้าน แท้จริงแล้วเป็นความสามารถระดับไหนกันถึงสามารถจับอะไรเป็นเงินเป็นทองเช่นนี้ได้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในสองสามวันมานี้ก็สามารถสร้างร้านที่กว้างขวางอบอุ่นขึ้นได้ จะว่าไปก็ง่ายมาก ก่อนอื่นก็ขุดพื้นวางเสาไม้ลงไป จากนั้นก็ขึ้นโครงเรือน นอกจากประตูหน้าต่าง กำแพงและเพดานใช้แผ่นไม้ซ้อนกัน ข้างในอัดขี้เลื่อย หลักการไม่ยากนัก แต่การคิดออกมาได้นั้นช่างเป็นเรื่องน่าประหลาด

วิธีการกับความคิดเช่นนี้คนนอกมองแล้วเป็นเรื่องมหัศจรรย์ แต่สำหรับหวังทงแล้ว นี่เป็นเพียงการใช้ประโยชน์จากความสามารถเดิมในการวิเคราะห์สำรวจตลาดในตอนนั้นเท่านั้น จากนั้นก็ดำเนินการวิเคราะห์ตลาดตามความต้องการของผู้บริโภคอย่างละเอียด

คนที่ได้สัมผัสกับเรื่องราวมากมาย ในใจก็ยิ่งซับซ้อน เมื่อเทียบกับยุคข้อมูลข่าวสารยุ่งยากวุ่นวายในปัจจุบัน ยุคสมัยว่านลี่นี้ ประชาชนจิตใจซับซ้อนน้อยกว่ามาก

เมื่อเห็นร้านค้าสะอาดสะอ้าน อาหารจานด่วนรสดีราคาถูก แน่นอนลูกค้าย่อมแน่นเต็มร้าน คิดถึงอาหารจานด่วนในยุคปัจจุบันที่นำเข้าจากต่างประเทศแล้วได้รับเสียงตอบรับอย่างฮือฮา ก็พอคาดเดาได้

การที่สามารถสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วนั้นก็เป็นเพียงแค่การปรับเปลี่ยนการสร้างบ้านแบบง่ายๆ รู้หลักการคร่าวๆ ใช้วัสดุและแรงงานให้พอเพียง ก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

สิ่งที่หวังทงเป็นห่วงสิ่งเดียวก็คือพ่อครัวที่เชิญมาเหล่านั้นยังขาดประสบการณ์ ดังนั้นบรรดาคนงานหญิงให้นางหม่าช่วยสอดส่องดูแล ส่วนภายในร้านก็ให้จางซื่อเสียงคอยดูแล

ตนเองออกไปตระเวนบนถนนทักษิณดูว่าบรรดาชายแจกใบปลิวทำงานขาดตกบกพร่องสิ่งใดหรือไม่

หวังทงยุ่งวุ่นวายไม่หยุด บรรดาเถ้าแก่ลูกจ้างบนถนนทักษิณสองข้างทางที่ทำการค้าทำมานานหลายปี พอเห็นก็พากันอุทานขึ้นในใจ

เห็นเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจะทำร้านอาหาร ในใจก็รู้สึกขบขัน ถนนทักษิณเส้นนี้มิใช่ว่าไม่เคยเปิดร้านอาหาร แต่สุดท้ายก็ต้องปิดตัวลง ไม่สามารถแข่งขันกับหอรุ่งเรืองได้ เด็กน้อยที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกล่าววาจาหนักแน่นในงานเลี้ยงว่าจะไม่ขายอาหารราคาแพง ไม่ขายสุรา ไม่รับจัดเลี้ยง เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำการค้านี้แล้ว แล้วจะได้กำไรอย่างไร

ทุกคนรู้สึกหัวเราะขึ้นในใจ แต่วันนี้ตอนเปิดกิจการ บรรดาร้านค้าบนถนนทักษิณต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว แต่อย่างไรทุกคนก็ต้องไปใช้บริการเพื่อเป็นการให้เกียรติ

ใครจะไปคิดว่าองครักษ์เสื้อแพรที่ไม่รู้ธรรมเนียมผู้นี้เปิดกิจการใหญ่โต แต่แม้แต่บัตรเชิญก็ไม่มี ประทัดก็ไม่มี ช่างไม่รู้ธรรมเนียมการทำการค้าเอาเสียเลย

หากองครักษ์เสื้อแพรผู้นี้เป็นคนซื่อสัตย์มีคุณธรรม ทุกคนจึงมิได้นินทาลับหลังอันใด รอให้การค้าไปต่อไม่ไหว ทุกคนค่อยยื่นมือเข้าช่วยก็พอ

ใครก็คิดไม่ถึงว่า การเปิดกิจการที่พิสดารเช่นการออกใบปลิวอะไรก็ไม่รู้ การค้ากลับดังเป็นพลุแตก บรรดาเถ้าแก่ที่รู้สึกดีด้วยก็ส่งลูกจ้างมาซื้ออาหารและสอบถามราคา

อาหารใช่ว่าจะรสดีเหมือนกับที่พ่อครัวใหญ่ของรุ่งเรืองปรุง แต่อย่างน้อยที่สุดก็พอกินได้ คนกินเหล่านั้นดูไม่ออก แต่เถ้าแก่และพ่อบ้านดูแลการเงินล้วนคิดเป็น

ราคา 10 20 30 อีแปะ คำนวณค่าแรงกับค่าอาหารก็ดูเหมือนจะมีกำไร 2-5 อีแปะ จำนวนไม่มากนัก แต่มองดูบนถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่มุ่งไปทางนั้น ผู้คนจำนวนมาก กำไรก็จะมากตามไปด้วย โอ้ หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองจริงๆ เลย!

“ใต้เท้า กับข้าวที่ขายเหลือนี้ก็ใช้เงินซื้อมา อุ่นเสียหน่อยค่ำนี้ค่อยขายอีกก็ยังได้ ไยต้องยกให้คนเหล่านี้สบายไป”

พระอาทิตย์ค่อนลงไปทางทิศตะวันตก ช่วงเวลาอาหารกลางวันผ่านพ้นไปแล้ว หอเลิศรสที่เปิดกิจการวันแรกจึงได้มีเวลาพัก ไม่ว่าหญิงทำอาหารหรือชายที่ออกไปแจกใบปลิวข้างนอกก็ล้วนแต่นั่งพักกินข้าวอยู่ภายในร้าน

ที่กินกันนั้นคืออาหารที่ขายเหลือจากกลางวัน เปิดกิจการวันแรกอย่างน้อยก็ต้องเตรียมวัตถุดิบมากหน่อย ชายหญิงที่มาใช้แรงงานที่นี่ปกติกินข้าวเคยเห็นเนื้อเห็นหนังที่ไหน แต่ที่นี่มีทั้งเนื้อมีทั้งผัก ก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย

หวังทงกับจางซื่อเฉียงนั่งอยู่มุมหนึ่ง จางซื่อเฉียงมองแล้วก็เจ็บปวดใจ นับเงินไปกระซิบให้ความเห็นไป หวังทงนับเงินไปก็เงยหน้ากล่าวไปว่า

“ให้กินได้ก็ให้กินไป หรือจะให้กินไม่อิ่มแล้วมาขโมยกินเอากันล่ะ!?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version