Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 180

ตอนที่ 180 โอรสสวรรค์ทรงกริ้วใหญ่ มหาอำมาตย์กราบทูลไม่อ้อมค้อม

“เหตุใดต้องอดกลั้น?”

พอเปิดออก หวังทงก็ย่อมจำอักษรตัวนี้ได้ แต่ก็อดถามไม่ได้

โจวอี้ที่นั่งอยู่ก็ส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ท่านพ่อบุญธรรมบอกว่าเขียนอักษรนี้มอบให้เจ้าย่อมมีเหตุผล”

“เมื่อคืนมีคนมาส่งข่าวข้า บอกว่าขุนนางบุ๋นและราชบัณทิตในราชสำนักจะร่วมกันยื่นฎีกาข้า หรือว่าเป็นเรื่องนี้ที่ให้อดกลั้น หรือว่าข้าต้องกลัวพวกบัณทิตพวกนี้ด้วย?”

หวังทงเริ่มไม่นิ่ง โจวอี้ได้ยินก็อึ้งไป ดูเหมือนว่าเพิ่งรู้สาเหตุ นิ่งไปพักหนึ่งจึงได้เอ่ยว่า

“ขุนนางราชบัณทิตนอกจากพวกสมองพังพิการเท่านั้น คนอื่นๆ ไหนเลยจะกล้าออกหน้ากล่าวเพื่อรักษาความเป็นธรรมกัน พวกเขาก็เป็นมีดดาบของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก การร่วมลงชื่อนี้เบื้องหลังต้องมีขุนนางระดับหนึ่งหรือสองหรือมากกว่านั้นสั่งการ น้องหวัง เจ้าไปล่วงเกินผู้ใดกัน?”

หวังทงผุดลุกจากเก้าอี้ เดินไปมาหลายก้าว คำรามเสียงเบาๆ ว่า

“ข้าล่วงเกินผู้ใด ข้าเองก็ไม่รู้ ป้ายสงบสุขข้าก็ล่วงเกินทุกคนที่เปิดหอคณิกาและบ่อนพนันในเมืองหลวง แต่พวกเขาจะทำอะไรได้ พวกเขาไม่รู้หรือว่าเป็นจางกงกง ไม่รู้ว่าใครปกป้องอยู่เบื้องหลังข้ากันหรือ ใครกันแน่ ข้าไปล่วงเกินผู้ใดกันแน่!!?”

โจวอี้ได้ยินก็สะดุ้ง ฝืนยิ้มกล่าวว่า

“เรื่องในใต้หล้า ท่านพ่อบุญธรรมข้าปกป้องเจ้าไม่ได้จึงขอให้เจ้าอดกลั้น คนที่ท่านพ่อบุญธรรมล่วงเกินไม่ได้มีไม่มีคน”

วาจากล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็นิ่งค้างไป จากนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม สีหน้าไร้อารมร์ราวกับซากศพ ไม่รู้ทำไม พอได้เห็นหวังทงที่แต่ไรมาสงบนิ่งมีท่าทางเช่นนี้ กลับทำให้โจวอี้ยิ่งรู้สึกสนิทมากขึ้น

ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง โจวอี้ก็กล่าวเสียงเบาๆ ว่า

“นี่เป็นเราพี่น้องพูดกัน เบื้องหน้ามีภัยมาถึงตัว แต่ท่านพ่อบุญธรรมเขียนคำนี้มาให้ ย่อมชัดเจนว่าไม่มีภัยถึงชีวิตขั้นนั้น หากมีโทษใหญ่หลวงขั้นนั้น ท่านพ่อบุญธรรมย่อมไม่สนใจเจ้าอีกต่อไป”

วาจานี้แล้งน้ำใจยิ่ง แต่ก็เป็นสัจธรรม หวังทงสูดลมหายใจลึก ก่อนจะยืดตัวตรง หันมาถามว่า

“พี่โจว ตอนนี้ข้าควรทำเช่นไร”

โจวอี้ฝืนยิ้มกล่าวว่า

“ยังทำอะไรได้ ก็แค่สับเปลี่ยนที่ตั้งเงินทองและคนเท่านั้น รอ!”

*******

“ฝ่าบาท วันนี้ฎีกาที่มาจากสำนักตรวจสอบและหัวหน้าหน่วยต่างๆ กรมฎีกาทูลเกล้ามา ล้วนร้องเรียนองครักษ์เสื้อแพรหวังทงอาศัยอำนาจทำเรื่องผิดกฏหมายอย่างไม่เกรงกลัวในเมืองหลวง ขูดเลือดขูดเนื้อชาวประชา ประชาราษฏร์ล้วนโกรธแค้นอย่างมาก”

“ศาลซุ่นเทียนเป็นหน่วยราชการดูแลประชาในเมืองหลวง ขุนนางศาลกลับถูกนายกองร้อยเล็กๆ ลงมือต่อหน้าประชา ช่างไร้ธรรมเนียม”

“ตั้งแต่หวังทงได้รับแต่งตั้งเป็นองครักษ์เสื้อแพรมา ก็โหดร้ายทารุณ ไร้ซึ่งกฎหมายในสายตา ลงมือกับขุนนางกลางท้องถนน ทำลายจารีตดีงาม”

“ละโมบเงินทองและฝักใผ่นารี ขูดรีดเงินทองไปทั่วทุกแห่ง ตนเองเป็นถึงข้าราชสำนัก กลับเปิดร้านค้าทำการค้าขาย และเรียกเก็บเงินทองจากหอคณิกา ทำลายชื่อเสียงราชสำนัก”

หลูเสี้ยวตงรองเจ้ากรมตรวจสอบฝ่ายขวาแห่งสำนักตรวจสอบอ่านฎีกาเสียงดังกังวาน ณ หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อที่ประชุมคณะเสนาบดีใหญ่ ราชบัณทิตในคณะเสนาบดีใหญ่ ขุนนางหกกรมเก้ากองทุกคนต่างนั่งประชุมกันอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งอยู่บนพระที่ประทับด้วยสีพระพักตร์เย็นเยียบราวก้อนน้ำแข็ง ฟังผู้อ่านฎีกาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พวกขุนนางพวกนี้หากต้องการโจมตีผู้ใด เช่นนั้นไม่ว่าความผิดใดก็จะถูกยกมากล่าวโจมตีสิ้น

เรื่องที่ฮ่องเต้ว่านลี่ไปที่ลานฝึกหู่เวยเรื่องนี้ ก็มีเพียงขุนนางที่พอจะมีคุณสมบัติพอในห้องเท่านั้นที่จะรู้ได้ จากการพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว บรรดาขุนนางเหล่านี้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ในฎีกา

หลูเสี้ยวตงรองเจ้ากรมตรวจสอบฝ่ายขวาอ่านฎีกาทีละฉบับ รองเจ้ากรมตรวจสอบฝ่ายซ้ายหลิวซู่ปินกลับคุกเข่าลงกราบทูลรายงานอย่างหนักแน่นว่า

“ฝ่าบาทเป็นประมุขแห่งแผ่นดิน ควรจะศึกษาคัมภีร์ปราชญ์โบราณ เรียนรู้หลักการจารีต เพื่อจะได้ปกครองแผ่นดิน ดูแลปวงประชา แต่ฝ่าบาทหลายเดือนมานี้กลับทรงหลงใหลกับการฝึกยุทธ์ ใกล้ชิดคนชั่ว กระหม่อมขอถวายฎีกาด้วยชีวิตของกระหม่อม ขอฝ่าบาทกลับสู่เส้นทางใกล้ชิดปราชญ์เมธี ใกล้ชิดขุนนางผู้มีหลักคุณธรรม ห่างไกลขุนนางชั่วฉ้อฉล”

กราบทูลด้วยน้ำเสียงทรงพลังจบก็โขกศีรษะลงกับพื้น ทุกคนในห้องแม้ว่ามีท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง แต่ยามนี้สายตาทุกคนก็จับจ้องไปที่พระพักตร์ของฮ่องเต้ว่านลี่

ฮ่องเต้ว่านลี่ปีก่อนหน้านี้ยังพระพักตร์กลมป้อม ตอนนี้กลับเริ่มพอมีมุมอยู่บ้าง จางจวีเจิ้ง เซินสือหังและคนอื่นๆ ต่างก็เคยพบเห็นฮ่องเต้เจียจิ้ง ฮ่องเต้ว่านลี่ในตอนนี้เริ่มเหมือนกับเสด็จปู่ของพระองค์อยู่บ้างแล้ว

ว่านลี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกลับมีรอยแย้มสรวลปรากฏขึ้น ตรัสถามอย่างนุ่มนวลว่า

“ขุนนางหลิว กรมฎีกาตอนนี้ใช่ฟานก่วงเต๋อหรือไม่?”

ทุกคนอึ้งไป ในใจคิดว่าฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเช่นนี้ทำไม หลิวซู่ปินเงยหน้าทูลตอบว่า

“กราบทูลฝ่าบาท เจ้ากรมฎีกาตอนนี้ก็คือฟานก่วงเต๋อพะยะค่ะ”

“ฟานก่วงเต๋อทำงานได้ไม่เลว เราจะต้องปูนบำเหน็จอย่างหนัก เมื่อก่อนฏีกาที่นำส่งมา นอกจากเป็นฎีกาเร่งด่วนแล้ว ก็ล้วนต้องข้ามวันจึงค่อยนำทูลเกล้า วันนี้ฎีกาพวกนี้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็นำทูลเกล้ามาแล้ว ตั้งใจปฏิบัติงานเช่นนี้ เราจะต้องปูนบำเหน็จให้หนัก”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบ หลิวซู่ปินอึ้งไป ฟังออกว่าพระดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่แม้แต่นุ่มนวลแต่ก็มีนัยทิ่มแทง ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งอย่างสง่างาม ตรัสถามพร้อมรอยแย้มสรวลว่า

“ขุนนางที่รักทุกท่าน เราเติบโตขึ้นมาก ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นมาก ยามอ่านตำราก็รู้สึกว่ามีสมาธิอย่างมาก เรื่องที่มีประโยชน์ต่อเราเช่นนี้ ขุนนางหลิวว่าเป็นเรื่องเลวร้าย หรือสุขภาพอ่อนแอขี้โรคของเราจะเป็นสิ่งที่ท่านต้องการ?”

พระดำรัสนี้หนักหนาอย่างนิ่ง หลิวซู่ปินรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า

“ที่กระหม่อมทูลนั้นเพียงเพราะอยากให้ฝ่าบาทอ่านตำราปราชญ์โบราณให้มาก จะได้ทรงกระจ่างในหลักการคุณธรรม ขอฝ่าบาททรงพิจารณา ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วยพะยะค่ะ!”

ราชบัณทิตในคณะเสนาบดีใหญ่ และเซินสือหังที่เพิ่งรับมาตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองรีบพากันลุกขึ้นยืน กราบทูลอย่างนอบน้อมว่า

“พระพลานามัยฝ่าบาทแข็งแรง พระชมม์มายุยืนนาน ในฐานะข้าในพระองค์เห็นแล้วก็ยินดีอย่างหาที่เปรียบมิได้ ความหมายของรองเจ้ากรมหลิวก็เช่นกัน แต่หวังทงวางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองหลวง ขูดรีดเงินทองสกปรกจากหอคณิกาและบ่อนพนัน ว่ากันว่ายังส่งเข้ามาในวัง หากเรื่องนี้แพร่ออกไปข้างนอก มิใช่จะเสื่อมเสียถึงพระเกียรติแห่งราชวงศ์หรือพะยะค่ะ”

“ข่าวสกปรกเช่นนี้ ไม่ทราบว่าขุนนางเซินกับขุนนางเจ้ากรมตรวจสอบทราบมาได้อย่างไร เมื่อวานยังมีรายงานจากสำนักบูรพาว่า มีขุนนางในเมืองหลวงหลายคนไปเยือนหอคณิกา ดื่มสุราเที่ยวหญิงนางโลม หรือว่าคนพวกนี้ก็สกปรกด้วย ทุกคนเป็นขุนนางของเรา หรือว่าเสื่อมเกียรติถึงเราด้วยเช่นกันใช่หรือไม่”

รอยแย้มสรวลบนพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เลือนหายไปสิ้น ตรัสตอบด้วยสุรเสียงเย็นเยียบดังเดิม เรื่องที่เซินสือหังยกมากล่าวอ้างนั้นก็เป็นความนัยที่รองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายกล่าวถึง

ราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่และขุนนางใหญ่หกกรมเก้ากองในราชสำนัก ต่างไม่เคยได้เห็นฮ่องเต้ว่านลี่ในรูปแบบนี้ จางจวีเจิ้งที่นั่งอยู่ข้างฮ่องเต้ว่านลี่ก็เอาแต่วางสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีส่งสายตาหรือท่าทีใด หากเขาไม่ขยับ ทุกคนก็ห้ามหยุดเคลื่อนไหว

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอเสี่ยงชีวิตกราบทูล ฝ่าบาทยังทรงจำเจียงปินและเฉียนหนิงในรัชสมัยฮ่องเต้อู่จงได้หรือไม่ สองคนชั่วนั้นใช้ความไว้วางพระราชหฤทัยทำร้ายขุนนางภักดี ทำเรื่องเลวร้ายยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะถูกประหารไปในที่สุด แต่ยังคงทำให้ราชสำนักปั่นป่วน นำมาซึ่งภัยร้ายต่อแผ่นดิน หวังทงผู้นี้แม้ว่าจะไม่มีความชั่วใหญ่ แต่จิตใจเป็นใหญ่ได้ปรากฏหางออกมาแล้ว ฝ่าบาทจักต้องทรงป้องกันภัยร้าน จะได้ไม่ก่อตัวเป็นภัยใหญ่ในภายหลังพะยะค่ะ!”

เซินสือหังคุกเข่าอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกเก้กัง ราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่ จางซื่อเหวยเสนาบดีกรมทหารกลับลุกขึ้นยืน กราบทูลเสียงดังก้อง ฮ่องเต้ว่านลี่ยกถ้วยชาขึ้น ทรงจิบไปคำหนึ่งก็ตรัสขึ้นด้วยสุรเสียงเย็นเยียบว่า

“ขุนนางจางเอาเราไปเปรียบกับฮ่องเต้อู่จงหรือ!?”

รัชสมัยอู่จงแห่งราชวงศ์หมิงก็คือฮ่องเต้เจิ้งเต๋อ ถูกเสียงตำหนิว่าเป็นฮ่องเต้ที่เลอะเลือนยิ่ง เจิ้งเต๋อสวรรคต เจียจิ้งขึ้นครองราชย์ ยังมีรับสั่ง ‘ครองราชย์จากบรรพชนมิใช่จากสายโลหิต’ ก็เพื่อจะแสดงพระองค์ว่าทรงครองอำนาจต่อตามราชประเพณีราชวงศ์หมิง มิใช่รับสืบทอดจากฮ่องเต้เจิ้งเต๋อ คำวิพากษ์วิจารณ์รัชสมัยอู่จงนี้ย่อมนึกรู้ได้เอง ฮ่องเต้ว่านลี่โต้ตอบกลับเช่นนี้ จางซื่อเหวยได้แต่คุกเข่าลงขอพระราชทานอภัยโทษ หากไม่เช่นนั้น เกรงว่า คงได้ถูกครอบโทษ “ล่วงเกินเบื้องสูง” ให้เป็นแน่

“ฝ่าบาท ขอทรงใกล้ชิดขุนนางมีคุณธรรม ห่างไกลคนชั่ว”

“เสนาหลี่ ท่านมีบ้านเล็กกี่บ้าน ท่านมีญาติสนิทมิตรสหายเท่าไร เราเคยสอบถามท่านบ้างไหม เราจำได้ว่าไม่เคยถาม เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงมายุ่มย่ามในเรื่องส่วนตัวของเรา?”

เสนาบดีกรมปกครองหลี่โย่วจือเพิ่งลุกขึ้นยืนก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่ย้อนกลับไปเช่นนั้น ตอนนี้ในที่ประชุม บรรดาขุนนางใช้แผนการอ้างถึงหลักการ แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ทรงเข้าพระทัยในสิ่งที่พวกเขาพยายามกล่าวอ้าง กลับย้อนโต้กลับมาประโยคต่อประโยคเช่นนี้

ด้านขวาของฮ่องเต้ว่านลี่เป็นที่นั่งของบรรดามหาขันทีสำนักส่วนพระองค์ ตั้งแต่เฝิงเป่า จางเฉิงไปจนบรรดาขันทีในห้องทรงงาน ต่างมากันก้มหน้าก้มตา สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก

ที่ยังพอมีสิทธิ์จะกล่าวต่อก็มีเพียงรองอำมาตย์หลี่ว์เถียวหยางแล้ว แต่เขาเป็นผู้ไม่เคยออกหน้าใดๆ ในการประชุม ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไหวใดทั้งสิ้น

จางจวีเจิ้งยิ้มบางส่ายหน้า เขาคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่ทรงตัดสินพระทัยปกป้องหวังทงเช่นนี้ ผู้ใกล้ชิดฮ่องเต้ผู้นี้ อายุใกล้เคียงกัน หากให้เติบโตต่อไป อนาคตย่อมยิ่งใหญ่ยากจัดการ ไม่อาจปล่อยไปได้ คิดถึงตรงนี้ จางจวีเจิ้งก็ยืนขึ้น ถวายคำนับอย่างเคร่งเครียดก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ฝ่าบาทเป็นถึงโอรสสวรรค์ แผ่นดินไร้เรื่องส่วนตัว สิ่งที่ฝ่าบาทรงทำทุกสิ่งย่อมเป็นเรื่องใหญ่แห่งแผ่นดิน บรรดาขุนนางตรวจสอบร่วมถวายฎีกา หวังทงผู้นี้ชั่วร้ายยิ่ง ฟ้าพิโรธคนพิโรธ หากฝ่าบาททรงปกป้อง มิใช่ต้องถูกใต้หล้าตำหนิด่าทอหรือ หากเป็นเช่นนี้ แผ่นดินนี้ ชื่อเสียงบรรพชนราชวงศ์หมิงจะถูกทำลาย ฝ่าบาทจะทรงทำเช่นไร?”

มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งลุกขึ้นตักเตือน ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจโต้ตอบกลับอย่างเอาแต่พระทัยของพระองค์ได้อีก จึงได้แต่ทรงทำหน้าบึ้งตึง ประทับยืนขึ้นด้วยพระอารมณ์ขึ้นถึงขีดสุด สุรเสียงดังขึ้นว่า

“จะให้เราทำเช่นไร ทำเช่นไร ตั้งแต่ครองราชย์มา เราเคยตัดสินใจอะไรเองบ้าง โอรสสวรรค์นี้ยังมีความหมายอันใด พวกเจ้าเป็นก็แล้วกัน”

ทรงตะโกนออกมาเช่นนี้ บรรดาขุนนางในหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อไม่ว่าขุนนางหรืออาลักษณ์ด้านนอก ไม่ว่ามหาขันทีสำนักส่วนพระองค์หรือขันทีที่รอรับใช้อยู่ด้านนอกได้ยินก็พากันคุกเข่าลง

จางจวีเจิ้งจำต้องคุกเข่าตาม วาจานุ่มนวลไกล่เกลี่ย

“หากฝ่าบาทไม่ทรงรับฎีกา กระหม่อมคงต้องทูลต่อไทเฮา ขอให้ไทเฮาทรงพิจารณา”

ได้ยินเช่นนี้ ความกริ้วของฮ่องเต้ว่านลี่ก็หายไปสิ้น ประทับนั่งลงตามเดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version