ตอนที่ 184 อวบอ้วนน้อยไปหน่อย ตำแหน่งสูงอีกหน่อย
“นายกองพันองครักษ์เสื้อแพร” “สามกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจิน” ประเด็นหลักของราชโองการอยู่ที่สองประโยคนี้
สามกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจิน ที่นี่นั้นแม้แต่ผู้ที่ไม่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์แม้แต่น้อยก็ย่อมรู้ว่าที่นี่มีช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ไม่น้อย นายกองพันองครักษ์เสื้อแพร ตำแหน่งนี้หวังทงก็คุ้นเคยยิ่ง
การแต่งตั้งองครักษ์เสื้อแพรออกไปนอกเมืองหลวง หากแต่งตั้งไปยังแถบมณฑลในผืนแผ่นดิน นับว่าเป็นงานอันดับหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรแม้ว่าบารมีเกรียงไกร แต่ในเมืองหลวงนั้นก็มีผู้ไม่อาจล่วงเกินได้มากมาย จึงต้องทำตัวเป็นพวกจอมปลอม นายกองร้อย นายกองพันก็ต้องเก็บส่วยเล็กๆ น้อยๆ นำส่งมอบขึ้นไปในแต่ละระดับ
พวกที่มีเบื้องหลังมั่นคงหน่อย เกรงว่าคงไม่ต้องนำส่งส่วย ทุกคนรวยกันได้ก็คงเพราะรับราชโองการกวาดล้างตระกูลต้องโทษ ตอนกำลังวุ่นวาย ก็ฉวยโอกาสแอบยัดเข้าพกเข้าห่อ
แต่พวกที่ออกไปปฏิบัติงานนอกเมืองนั้นย่อมแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เก้าพื้นที่โดยรอบและทางตะวันตกเฉียงใต้ล้วนมีศึกประปรายย่อมเป็นงานยากลำบาก แต่หากได้ไปประจำการในที่ๆ สงบสุขสักหน่อย เงินทองก็คงไหลมาเทมา บารมียิ่งใหญ่เกรียงไกรเป็นแน่
ในเมืองหลวงอาจไม่นับว่าใหญ่โตอะไร แต่พอส่งออกไปนอกเมืองหลวงก็ต่างออกไปทันที แม้ว่าตำแหน่งเล็กๆ แต่ก็นับว่ามาจากเมืองหลวง ทุกคนก็คิดกันว่าเป็นตัวแทนมาจากเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนของขุนนางใหญ่คนใด ไม่แน่ว่าเป็นตัวแทนแห่งองค์ฮ่องเต้ ไม่ว่าผู้ใดก็จะยำเกรงอยู่สามส่วน ขุนนางเจ้าหน้าที่เล็กๆ ยังได้เสวยสุขเช่นนี้ นับประสาอะไรกับการเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่ได้ชื่อว่าทหารใกล้ชิดองค์ฮ่องเต้
ในหมู่องครักษ์เสื้อแพรที่ได้ขึ้นเป็นนายกองร้อยต่างก็คิดหาทางออกไปรับตำแหน่งนอกเมืองกัน สามารถไปเป็นนายกองร้อยกองพันนอกเมืองได้ ห้าปีก็จะหาเงินทองที่ทั้งชีวิตก็ใช้ไม่หมด หากได้ไปที่อุดมสมบูรณ์ เงินทองไว้ใช้จ่ายหลายชาติกไม่มีหมดก็ล้วนหามาได้
สามกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจินอยู่ในเขตเมืองท่าขนถ่ายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดประจำหน้าด่านของเมืองหลวง มีการขนถ่ายสินค้าทั้งทางแม่น้ำและทางทะเล ยังเป็นจุดรวมเสบียงการรบของเมืองจี้โจว ช่วงนี้เสบียงที่ลำเลียงมาจากเมืองเหลียวยังการขนถ่ายที่นี่
เส้นทางคมนาคมสำคัญและการเป็นจุดศูนย์รวมของสินค้าจำนวนมากทำให้สามกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจินเป็นที่ๆ เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองเจริญอันดับสองในเขตตอนเหนือ เป็นรองแค่ป้อมอันติ้งของเมืองอันติ้งเท่านั้น
งานนี้เป็นงานชั้นดีมีเนื้อหนังอวบอ้วน แม้แต่หม่าซานเปียวก็ยังรู้ว่าเป็นงานดี เขาอดหันไปมองหลี่เหวินหย่วนไม่ได้ คิดจะหาคิดตอบเอาจากอาจารย์ของตน
ตอนรับราชโองการจะมาทำตัวสบายๆ ได้อย่างไร หลี่เหวินหย่วนถลึงตาใส่ไปทีหนึ่ง แต่หลี่เหวินหย่วนเองก็แปลกใจอยู่มากเช่นกัน หวังทงเตรียมตัวมาหลายวันนี้ เห็นชัดว่ามีภัยใหญ่มาถึงตัว นี่นับว่าเป็นภัยใหญ่หรือ
เนื้อหาในราชโองการกับที่หวังทงคิดไว้ต่างกันโดยสิ้นเชิง ดูท่าแล้วฮ่องเต้ว่านลี่ทรงออกหน้ารับไว้แล้ว แต่พอในใจรู้สึกผ่อนคลายลง ก็กลับไม่รู้สึกยินดีอะไรนัก
คิดจะมีเงินทองวาสนาใหญ่ คิดจะมีเส้นทางอนาคตที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ก็ต้องอยู่ข้างกายฮ่องเต้ว่านลี่ จะได้คอยอยู่ในสายพระเนตรฮ่องเต้ หากเป็นเช่นนี้ได้ แม้ว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพรไร้อันดับก็ได้ ตอนนี้ก้าวกระโดดขึ้นไปเป็นนายกองพันประจำนอกเมืองหลวง กลับอาจทำให้ต้องหยุดเส้นทางเพียงแค่นี้
ในชาติก่อนนั้นก็เป็นเช่นนี้ ง่ายที่สุดที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง ง่ายที่สุดที่จะได้ทำงานสำคัญ ก็ต้องโผล่หน้าให้เจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาได้เห็นบ่อยๆ ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ
จะว่าไปสถานะเช่นหวังทงนี้ ก็แค่บุตรชายโทนของนายกองธงเล็กที่ยากจนผู้หนึ่งเท่านั้น ตอนอายุ 15 ได้เป็นถึงนายกองพันกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจินระดับนี้ได้ ก็เป็นที่กล่าวขานถึงอย่างน่าตกใจของทุกคนแล้ว จะเรียกว่าก้าวเดียวถึงฟ้าก็ไม่เกินเลย
แต่สำหรับหวังทงแล้ว ในเมื่อสามารถสนิทสนมใกล้ชิดเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของฮ่องเต้ว่านลี่ได้ จึงได้เป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร ไม่นับว่าน่าดีใจอันใด
โดยเฉพาะจากวันนี้ก็อาจต้องหยุดอยู่ที่ตำแหน่งนี้แล้ว ในใจหวังทงทั้งโล่งใจที่พ้นภัยมาได้ แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนตกจากเหวที่ยากจะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ ดังนั้นพอฟังราชโองการจบ ก็นิ่งอึ้งหมอบอยู่อย่างนั้น
“ใต้เท้าหวัง รับราชโองการ ขอบพระทัยฮ่องเต้ที่ทรงเมตตาด้วย!”
ขุนพลสองนายที่ยืนอยู่ข้างโจวอี้ทั้งอิจฉาทั้งริษยา เห็นหวังทงหมอบตัวอยู่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เดิมคิดว่าจะด่าเสียดสีสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าโจวกงกงที่อ่านราชโองการจะกล่าวขึ้นมาด้วยถ้อยคำสุภาพเช่นนั้น
ได้ยินคำของโจวอี้ หวังทงก็สะดุ้ง ได้สติในที่สุด นึกถึงตัวอักษรที่โจวอี้นำมามอบให้ทันที เรื่องถึงขั้นนี้ เป็นโชคมหาศาลท่ามกลางความโชคร้าย คงได้แต่ก้าวเดินไปพิจารณาไปแล้ว ไม่อาจวาดหวังให้มากอีก
“ขอบพระทัยที่ทรงเมตตา ฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
หวังทงรีบโขกศีรษะถวายคำนับขอบพระทัย ยกสองมือขึ้นรับราชโองการ พอลุกขึ้นยืน หม่าซานเปียวก็ควักเงินตำลึงออกมายัดให้องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองไป และยังลากพวกเขาออกไปดื่มน้ำชาที่ร้านน้ำชามงคลด้วยกัน
รอสองคนนั้นออกไป ขันทีน้อยไช่หนานก็รับเงินจากหวังทงแล้วก็รีบขอบคุณ รู้ตัวเองว่าควรออกไปดื่มชากับพวกหลี่เหวินหย่วน ที่เหลืออยู่ในห้องล้วนเป็นคนกันเอง
หลี่หู่โถวที่คุกเข่าอยู่คงนี้ที่รู้สึกอึดอัดมาก รีบกระโดดมาหน้าเจ้าจินเลี่ยง ลากมือไปถามอย่างรีบร้อนว่า
“เสี่ยวเลี่ยง เจ้าอยู่ในวังเป็นอย่างไรบ้าง มีใครรังแกเจ้าหรือไม่ แก้มซ้ายเจ้าเกิดอะไรขึ้น”
โจวอี้ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มตอบว่า
“ช่วงก่อนหน้ามีเจ้าเดรัจฉานน้อยไม่มีลูกกะตาผู้หนึ่งมาตบเสี่ยวเลี่ยง ถูกข้าลงโทษโบยไป 50 ไม้ย้ายไปหน่วยงานซักล้างแล้ว ไม่มีอะไร”
“ดีที่มีกงกงคอยดูแล เสี่ยวเลี่ยงอยู่ในวังสบายดี พี่หู่โถวอย่าได้เป็นห่วง”
เจ้าจินเลี่ยงตอบคำถามด้วยท่าทีเป็นผู้ใหญ่ต่างจากคนวัยเดียวกัน พอกล่าวจบ ก็เดินไปคุกเข่าลงเบื้องหน้าหวังทงโขกศีรษะสามที จากนั้นกล่าวน้ำเสียงเคารพนอบน้อมว่า
“ผู้มีพระคุณจะจากเมืองหลวงไป เสี่ยวเลี่ยงช่วยอะไรไม่ได้ ขอโขกคำนับท่าน ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย”
เห็นท่าทางเสี่ยวเลี่ยงเช่นนี้ ในใจหวังทงก็รู้สึกไม่สบายใจนัก ดึงเจ้าจินเลี่ยงขึ้นมา ยื่นมือไปลูบศีรษะ กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า
“เราครอบครัวเดียวกัน ไยต้องเหินห่างเช่นนี้?”
เจ้าจินเลี่ยงอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กน้อย พอหวังทงกล่าวเช่นนี้ น้ำตาก็ไหลลงอาบแก้มทันที ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี
ปล่อยให้เจ้าจินเลี่ยงไปคุยกับหลี่หู่โถวในห้องข้างๆ หวังทงกับโจวอี้เดินเข้าไปในห้องด้านใน พอนั่งลง ยังไม่ทันรอให้หวังทงถาม โจวอี้ก็ยิ้มกล่าวว่า
“ขอแสดงความยินดีกับการเลื่อนตำแหน่งของน้องหวังด้วย ที่สามกองกำลังพิทักษ์เทียนจินนั่น เงินทองมากมาย ขุนนางก็น้อย เป็นตำแหน่งงานนอกเมืองหลวงอันดับหนึ่งของสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่ไรมาได้ยินแต่ว่ารองและผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรยังยอมลดตำแหน่งไปดำรงตำแหน่งนี้กัน ไม่เคยได้ยินว่านายกองพันได้เลื่อนไปตำแหน่งนี้ นี่เป็นพระเมตตาของฝ่าบาทแล้ว!”
หวังทงถอนหายใจยาว ถามกลับไปว่า
“พี่โจว พี่และข้าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน พี่ว่าการเลื่อนตำแหน่งนี้เป็นเรื่องดีจริงหรือ?”
“พี่เริ่มแรกก็รู้สึกว่าไม่คุ้มค่า อย่างไรก็ใกล้ชิดฮ่องเต้มานาน ฮ่องเต้ก็ทรงโปรดเจ้า ได้ออกไปเป็นแค่นายกองพันเท่านั้น แต่เรื่องครานี้หรือว่าน้องหวังรู้สึกไม่ได้ว่า เจ้าอยู่เมืองหลวงต่อ ก็เป็นผู้ที่ฮ่องเต้ทรงไว้ใจอันดับหนึ่ง ท่านจางจะอยู่ในสถานะใด เฝิงกงกงอีกคนเล่า”
ตะปูในดวงตา หนามในเนื้อ ในสมองหวังทงมีสำนวนนี้ลอยมา ยังคิดไปว่าเตือนให้ทรงมีรับสั่งยับยั้งไป จะทำให้ได้รับการยอมรับในความสามารถ จะได้ก้าวผงาดไปอีกขั้น คิดไม่ถึงว่าจะนำภัยมาสู่ตนได้เช่นนี้
ต่อหน้าโจวอี้ หวังทงย่อมแสดงออกอย่างไม่ปิดบัง หวังทงยกมือตบหน้าผากตนเอง กล่าวอย่างเสียใจว่า
“ทำการลืมตัว ลืมตัวเสียแล้ว!”
เห็นท่าทางเช่นนี้ โจวอี้ก็รู้ว่าปมในใจหวังทงแก้ไปได้เล็กน้อยแล้ว จึงกล่าวตามมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เรื่องครานี้ แม้แต่ท่านพ่อบุญธรรมก็ไม่อาจเอ่ยปากให้ได้ เกรงว่าในวังนอกวังจะรวมกำลังกัน ใครจะไปต้านทานได้กัน แต่เรื่องนี้ทำให้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญและไว้วางใจในน้องหวังมาก ได้ยินคนสนิทกันเล่าว่า วันนี้ที่หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ ฮ่องเต้เกือบจะทรงปะทะกับราชบัณฑิตและขุนนางหกกรมเก้ากองทั้งหมด ไม่ยอมอ่อนให้แม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะท่านจางเอ่ยอ้างถึงไทเฮาจึงได้ผ่อนลงได้ พระเมตตาเช่นนี้ น้องหวังวันหน้าย่อมมีอนาคตสดใส!”
หวังทงยิ้มขื่น กล่าวว่า
“เรื่องสามหัวรวมเป็นพยัคฆ์ ข้าก็เคยได้ยินมา ไปเทียนจินครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้ใดจัดการข้าอย่างไร นานวันเข้า ทุกอย่างก็ไม่อาจคาดเดา”
“คิดเช่นนี้ก็เหมือนมองแง่ร้ายเกินไป ส่งน้องหวังไปเทียนจิน ไม่ใช่ว่าน้องหวังไม่อาจก้าวกลับเข้ามาในเมืองหลวงเสียเมื่อไร เจ้าไม่เขียนจดหมาย? ไม่ส่งของมา? ความสัมพันธ์ล้วนขึ้นกับคนหมั่นดูแลมิใช่หรือ?”
โจวอี้สั่งสอนหลายประโยคต่อเนื่อง หวังทงส่ายหน้า ลุกขึ้นประสานมือคำนับ หลุดหัวเราะออกมาว่า
“น้องคิดแง่ร้ายเกินไปจริง หากมิใช่พี่โจวสอนสั่ง เรื่องนี้ก็คงคิดไม่กระจ่างแจ้งเป็นแน่”
“หลบหน่อยก็ดี อำนาจบารมีท่านจางในตอนนี้ ห่างจากเขาไกลหน่อย จะได้มีเรื่องน้อยหน่อย เจ้าจินเลี่ยงเด็กนี่ฉลาดหัวไว มีข้าคอยดูแล เจ้าไม่ต้องกังวล วันนี้ตำแหน่งที่เจ้าได้ไป กิจการในเมืองหลวงของเจ้ายังคงมีอยู่ มีจางกงกงกับข้าคอยช่วยดูแล ก็ไม่ต้องกังวลอันใด วางใจไปเถอะ!”
หวังทงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็กล่าวว่าขอให้รอสักครู่ หันหลังวิ่งเข้าไปในห้องหยิบกล่องใบเล็กออกมาวางบนโต๊ะ ผลักไปให้โจวอี้ กล่าวอย่างนอบน้อมเกรงใจว่า
“ทองคำแท่ง 100 ตำลึง วันหน้าพี่โจวต้องใช้จ่ายเพื่อข้ายังอีกมาก โปรดรับไปก่อน วันหน้าไปถึงเทียนจิน ของกำนัลแสดงความกตัญญูยังมีอีก ถึงตอนนั้นย่อมไม่ลืมพี่โจว โปรดช่วยนำมอบให้จางกงกงด้วย บางทีอาจมีเครื่องบรรณาการถวายฝ่าบาทด้วย ก็รบกวนพี่โจวทูลเกล้าด้วย!”
โจวอี้แม้แต่มองก็ไม่ได้มอง พยักหน้ายิ้มรับ กล่าวเพียงว่า ‘วาจาดี’ ทั้งสองฝ่ายเพื่อปกป้องช่วยเหลือกันและกันจึงมาถึงวันนี้ได้ วันหน้าไม่อยู่เมืองหลวง ความสัมพันธ์พื้นฐานเช่นนี้ย่อมไม่แน่นหนา จะรักษาให้คงอยู่ต่อไป ก็ต้องใช้เงินทองก้อนมหาศาล ตั้งแต่รู้จักกันมา เบี้ยเล็กเบี้ยน้อยรายทางที่หวังทงให้โจวอี้ไปก็ตั้งเกือบ 40 กว่าตำลึงแล้ว ก่อนจากไปยังจ่ายหนักเช่นนี้
“สองวันนี้ฝ่าบาทคงไม่ได้มาที่ลานฝึก หวังทงเจ้าก็ทำใจให้สบาย จัดการที่ควรทิ้งไว้ที่ควรนำไปให้ดี พักผ่อนให้มาก รอฝ่าบาทเสด็จมาแล้วค่อยออกเดินทาง”
โจวอี้กล่าวต่ออีกสองสามคำก็ขอตัวกลับ ก่อนจากไปยังหันไปเรียกเสี่ยวไช่ให้มาอุ้มกล่องเล็กใบนั้นออกไป
*******
บ่ายวันนี้ วิชาในลานฝึกหู่เวยทั้งหมดก็หยุดลง เฉินซือเป่าและพวกก็กลับมาที่ลานฝึก เด็กๆ ยากจะมีเวลาว่างเช่นนี้ จึงพากันไปวิ่งเล่นที่สนามฝึก
ฆ่าเวลากันไปเช่นนี้ถึงครึ่งชั่วยาม ครูฝึกเจ้าใหญ่ก็นำช่างตัดเสื้อกลุ่มหนึ่งเข้ามา วัดตัวให้พวกเด็กๆ ก็เพราะต้องตัดชุดแล้ว
มีเด็กถามช่างตัดเสื้อ รอพวกครูฝึกเดินออกไป ก็สนทนากับทุกคนอย่างตื่นเต้นว่า
“ทุกคนๆ เมื่อครู่ข้าถามไป ทางนั้นบอกว่าจะตัดชุดทหารระดับหกให้พวกเรา”
“ข้าบอกแล้วว่านี่เป็นลานฝึกทัพ ไม่ผิดใช่ไหม!!”
บรรยากาศในลานฝึกอยู่ๆ ก็คึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมา