ตอนที่ 183 ไม่แน่ว่าเป็นดังคาด
ตอนบ่ายที่ลานฝึก ฮ่องเต้ว่านลี่ยังไม่เสด็จมา เฉินซือเป่าและพวกยังไม่มา หวังทงเอากล่องไม้บรรจุปืนไฟสั้นวางไว้ในตำแหน่งที่ใกล้ตัวที่สุด
ทุกช่วงเวลาพัก ก็จะเอาแท่งจุดไฟมาคอยเปลี่ยนไส้อยู่เรื่อยๆ บ่ายวันนี้หวงหยางและอวี๋ต้าโหยวจะสอนไม่เหมือนทุกวัน สอนพิชัยสงคราม สาธิตการยกทัพและให้ระวังสิ่งต่างๆ แล้ว ก็ยังมักจะกล่าวประโยคว่า ฝากความหวังไว้กับทุกคน
นี่เป็นสิ่งที่ทั้งสองคิดอยู่ในใจตอนนี้ แต่บรรดาเด็กๆ ต่างฟังกันจนอึดอัด ดูแล้วน่าจะมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับพวกตนเกิดขึ้นแล้ว
ข่าวคราวในวงชนชั้นสูงฉับไวยิ่ง เซียงเฉิงป๋อย่อมไม่อยากให้บุตรชายต้องการเกี่ยวข้องไปด้วย ขันทีชราและขุนพลชราก็ย่อมคิดถึงการจากลา
หวังทงคิดถึงตรงนี้ ก็ไม่อาจสงบนิ่งต่อไปได้ แท้จริงแล้วได้ทำผิดอันใดหรือไม่ ทำไมอยู่ๆ ก็ปฏิบัติต่อตนเองเช่นนี้ หรือว่าการที่ตนขยันขันแข็งเพื่อเงินทองและวาสนามานั้นจะต้องมาสูญเปล่าเช่นนี้กัน?
ตอนบ่ายหวังทงไม่ได้เล่าเรื่องราวแปลกอันใด และก็ไม่มีการเล่าเรื่องคนดังในเมืองหลวงของพวกเฉินซือเป่า เด็กๆ พากันรวมตัวสนทนาข่าวสารที่ฝากมากับของฝากจากบ้านเกิด ใกล้จะปีใหม่แล้ว เด็กๆ ในลานฝึกก็ไม่ได้คิดถึงบ้านมากนัก กลับรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ฉลองปีใหม่นอกบ้าน
ลี่เทากับซุนซิงและบรรดาเด็กโตสิบกว่าคนทุกวันเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์กันว่า พอออกจากลานฝึกนี้ไป ตนเองจะได้รับตำแหน่งขุนนางใดกันบ้าง
หากไม่ใช่เพราะครูฝึกกำชับนักหนาว่าห้ามกราบไหว้นับถือกันเป็นพี่น้อง เด็กในลานฝึกทุกคนเกรงว่าคงเป็นพี่น้องบุญธรรมกันไปหมดแล้ว หวังทงย่อมได้เป็นพี่ใหญ่แน่นอน
รอจนเวลาอาหารค่ำ ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ทุกอย่างเหมือนปกติ หวังทงเดินถือกล่องไม้เดินกลับที่พักตนเงียบๆ เดิมคิดว่าในบ้านจะเงียบสงบไร้ผู้คน แต่กลับมีไฟสว่าง เดินเข้าไปก็เห็นหม่าซานเปียวรออยู่ในห้องโถง ยังมี หลี่เหวินหย่วน หลี่หู่โถวที่กลับไปบ้านมากำลังถือหอกยาวที่ยาวกว่าตัวมากฝึกอยู่
พอเห็นพวกเขา หวังทงก็อึ้งไป หลี่หู่โถววางหอกยาวลงกล่าวว่า
“พี่หวัง ศิษย์พี่ข้าสั่งอาหารชั้นดีจากหอรุ่งเรืองมาหลายอย่าง รอท่านกลับมากิน เร็วๆ หน่อย ปืนนี่หนักเอาการเปลืองแรงแขนมาก”
“นายท่านกลับมาแล้ว ท่านแม่ข้าจะมาด้วย ข้ากับพี่จางปลอบอยู่นาน แม่ข้าไล่ให้ข้ามานี่อีกแล้ว หากมิใช่ว่าโรงบ้านทางนั้นต้องมีต้องมีคนดูแล พี่จางกับพ่อบ้านถานก็ย่อมมาด้วย!”
หลี่เหวินหย่วนก็เดินเข้ามา ถลึงตาใส่หลี่หู่โถว หลี่หู่โถวทำท่าเหมือนหนูกลัวแมวทันที แต่ก็หยิบปืนขึ้นมาเล็งอีก หลี่เหวินหย่นสีหน้าเรียบเฉย ประสานมือขึ้นกล่าวว่า
“ใต้เท้า พวกเราติดตามท่านร่วมสุขมาด้วยกัน ย่อมต้องร่วมทุกข์ ใต้เท้าทำเช่นนี้ เกรงว่าเป็นการทำให้ทุกคนรู้สึกปวดใจ”
หม่าซานเปียวกล่าวเสียงแหบพร่าว่า
“อาจารย์ข้าพูดถูก กินดื่มมาด้วยกัน พอเจออุปสรรคก็ไม่อาจร่วมฟันฝ่า ใต้เท้าเข้าไปนั่งด้านในให้อุ่นก่อน ข้าไปหอรุ่งเรืองเร่งอาหารมาก่อน”
หวังทงพยักหน้า หลี่เหวินหย่วนส่ายหน้ามองตามหลังหม่าซานเปียวออกไป กล่าวอย่างเก้ๆ กังๆ ว่า
“ซานเปียวเรียกข้าว่าอาจารย์ หู่โถวเรียกข้าว่าท่านพ่อ ข้าน้อยยังเรียกท่านว่าใต้เท้า หู่โถวกลับเรียกท่านว่าพี่ สถานะช่างวุ่นวายแท้ หู่โถว ตอนแทงห้ามใช้แรงทั้งหมด!”
กล่าวจบก็เข้าไปชี้แนะการฝึกให้หู่โถว หวังทงก้มหน้าเดินเข้าห้องไป ในห้องจุดเตาไฟให้ความอุ่นไว้ บนเตายังมีกาน้ำต้มอยู่ แสงโคมไฟสว่างไสว หวังทงอยู่ๆ ก็รู้สึกว่าขอบตาชื้น จึงใช้มือกดไว้ไม่ปล่อย หยุดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ปล่อยมือลง
ในยามตกยากจึงได้รู้น้ำใจ หรือว่าเป็นเช่นนี้เอง เพิ่งจะนั่งลงก็เปิดกล่องไม้ออกเริ่มจัดการปืนไฟอีกครั้ง ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก ได้ยินเสียงหม่าซานเปียวตะโกนดังมา
“อาจารย์ หู่โถว รีบเข้ามาในห้องกินกันได้แล้ว รออีกก็เย็นหมดแล้ว!”
หลี่หู่โถวส่งเสียงตะโกนรับคำ รีบก้าวเข้ามา หม่าซานเปียวยกกล่องอาหารกล่องใหญ่เข้ามา วางลงในห้อง กลับไม่รีบเปิดออกมาจัดวาง แต่ควักจดหมายออกมาฉบับหนึ่ง
“ใต้เท้า เมื่อครู่ระหว่างทาง เดินชนคนผู้หนึ่งในความมืด คนผู้นั้นกล่าวคำขอโทษไม่หยุด พูดไปก็ยัดจดหมายใส่ข้ามาฉบับหนึ่ง วางบนกล่องข้าวแล้วก็รีบไป รอจนข้านึกได้ว่าจดหมายเป็นของเขา ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว เรื่องนี้แปลกมาก จึงได้เอามาให้นายท่านดูก่อน”
ช่วงเวลาไม่ปกติมีเรื่องประหลาดเช่นนี้ หวังทงก็รับจดหมายมา บนซองย่อมไม่เห็นอักษร พอเปิดออกดู ในนั้นเขียนว่า
“คลื่นลมใหญ่ น้องต้องรอบคอบ คนแซ่ต่งที่เฝ้าประตูเมืองอันติ้งละโมบเงินทอง หากต้องการออกนอกเมือง 10 ตำลึงก็เพียงพอ รักษาตัว”
ไม่ลงชื่อ แต่ตัวอักษรนี้หวังทงคุ้นลายมือยิ่ง จำได้ว่าตอนคุยเล่นกัน หลี่ว์วั่นไฉเคยกล่าวว่า ทางการสามารถตัดสินโทษจากลายมือ แต่หากฝึกกันคล่อง ใช้มือซ้ายเขียนก็ได้ ลายมือนี้ต่างไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง ทางการย่อมไม่อาจเอาผิดได้จากจดหมายนี้
ตอนนั้นสบจังหวะดี หลี่ว์วั่นไฉยังใช้มือซ้ายแสดงให้ดูหลายตัว ตอนนี้คิดไปมาแล้ว หลี่ว์วั่นไฉคงจะเตรียมการเพื่อวันเช่นนี้ เพราะอักษรในจดหมายเขียนได้เหมือนกับวันนั้นมาก
ทหารเฝ้าประตูเมืองล้วนเป็นพลทหารจากศาลอาญาใหญ่ พลทหารพวกนี้ปกติก็อาศัยขูดรีดเงินทองจากพ่อค้าแม่ขายที่เข้าออกเมืองเล็กๆ น้อยๆ หลี่ว์วั่นไฉเอ่ยถึงคนแซ่ต่งมาโดยเฉพาะ คิดแล้วคงเป็นทางพิเศษ
หลายคนที่ศาลซุ่นเทียนที่เคยไปมาหาสู่กับหวังทง เมื่อก่อนก็เตร่มากันวันละครั้ง ไม่มีอะไรจะคุยก็จะสรรหามาคุยให้ได้ แต่วันนี้กลับไม่มาเยือนเลย แต่ส่งจดหมายเช่นนี้มา หวังทงก็ไม่อาจว่าพวกเขาแล้งน้ำใจได้แล้ว อย่างไรหลี่ว์วั่นไฉก็เป็นถึงเจ้าหน้าที่สืบคดีแห่งศาลซุ่นเทียน เป็นขุนนางบุ๋น มาเกี่ยวข้องด้วยเรื่องนี้ ไม่ว่าหวังทงจะเป็นอย่างไร วันหน้าเขาคงไม่อาจอยู่ในวงราชการต่อไปได้อีก หวังซื่อกับหลี่กุ้ยก็เป็นคนในเมืองหลวง มีครอบครัวการงานที่นี่ ก็ไม่กล้ามาเกี่ยวข้องด้วย
พูดกันตามตรง คนทางนั้นสามารถส่งจดหมายนี่มา ก็นับว่าเสี่ยงภัยใหญ่หลวงแล้ว สหายผู้นี้มิได้คบเสียเปล่าแล้ว
แต่สถานการณ์เช่นนี้ คนแซ่ต่งที่ประตูอันติ้งจะเชื่อถือได้หรือไม่ก็ยากจะกล่าว อย่างไรก็ต้องให้คนไปสืบมาก่อน หากไปถึงที่นั้น รีบร้อนไปกัน ตกในกับดัก ก็จะไม่คุ้มค่ากัน
หลายคนเดินกันเข้ามาในห้อง จดหมายในมือหวังทงก็ไม่มีผู้ใดกล้ามายุ่ง แต่ก็ล้วนสนใจข้อความในจดหมาย หวังทงอ่านจดก็ขยี้เป็นก้อนโยนเข้าเตาไฟไป ยิ้มกล่าวว่า
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ข้าหิวแล้ว ทุกคนรีบมากินกันเถอะ!”
จดหมายและซองถูกเผามอดไหม้ ทุกคนรู้ว่าไม่ควรถาม รอจนกินเสร็จ หม่าซานเปียวเอากล่องข้าวไปส่งคืน หวังทงก็กล่าวกับหลี่เหวินหย่วนว่า
“พรุ่งนี้รบกวนพี่หลี่ไปประตูอันติ้งสอบถามหน่อยว่ามีพลทหารแซ่ต่งเป็นคนอย่างไร ต้องระมัดระวังให้ดี อย่าได้เป็นที่สังเกตไป”
หลี่เหวินหย่วนพยักหน้ารับ หลี่เหวินหย่วนทำงานนิ่ง และยังน่าจะปลอดภัยเพราะมีหลี่หู่โถวอยู่ ก็ย่อมใช้เขาไปจัดการเรื่องนี้
*******
การเตรียมการมากมายของหวังทงยังไม่เสร็จสิ้น หลี่เหวินหย่วนยังไม่ทันได้ไปสอบถามที่ประตูอันติ้ง วันรุ่งขึ้น บ้านหวังทงก็มีเสียงทุบประตูดังมา
หวังทงที่นอนไม่ค่อยหลับเท่าไร รีบสอดมือลงไปใต้หมอน คว้าเอาปืนไฟที่บรรจุกระสุนพร้อมออกมา หยิบแท่งจดไฟมาจุดไฟจากเตาเตรียมพร้อม ได้ยินเสียงด้านนอกดังมาก หม่าซานเปียวลุกไปเปิดประตูตะโกนเสียงดังมาก
“เป็นไช่กงกงเองหรือนี่ วันนี้ทำไมมาเช้าจัง!”
“พี่ซานเปียว รีบไปปลุกใต้เท้าหน่อย มีราชโองการมา!”
“ราชโองการราชโองการ! นายท่าน!! นายท่าน!!”
ในสมองของหม่าซานเปียวไม่ทันได้ตอบสนอง พอได้สติก็ตะโกนเสียงสั่น ตะโกนดังมาจากด้านนอกเสียเลย
ได้ยินน้ำเสียงจากด้านนอก ราชโองการน่าจะไม่ใช่ลงโทษ มิเช่นนั้นไช่หนานคงไม่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้ หวังทงเงียบไป ชักมีดสั้นออกมาตัดขั้วไฟ หวังทงไม่ทันได้เปลี่ยนชุดนอน หยิบปืนและทางจุดไฟใส่กลับตามเดิม จากนั้นก็จุดเทียนเล่มหนึ่ง
พอออกจากห้องมา ก็เห็นโจวอี้สวมชุดดำยาวประคองฎีกาในมือ ยืนตัวตรงอยู่ในห้องโถง ด้านหลังมีองครักษ์เสื้อแพรอีกสองนาย ขันทีน้อยไช่หนานและอีกคนที่อายุน้อยกว่ายืนอยู่ข้างๆ
องครักษ์เสื้อแพรมาจับกุมตนหรือ? หวังทงปฏิเสธความคิดนี้ทันที เพราะองครักษ์เสื้อแพรสองนายนั้นรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดมัจฉาเวหาใหม่เอี่ยม แม้แต่ดาบปักวสันต์ก็ขัดเงาวับ การแต่งกายเช่นนี้ องครักษ์เสื้อแพรเพียงหนึ่งเดียว คือ ‘ขุนพลใหญ่’ ที่ออกปฏิบัติงาน เห็นท่าทางองอาจเกรียงไกรเช่นนี้ แต่กลับมิได้มีหน้าที่รับผิดชอบทางการอันใด
ขุนพลใหญ่ส่วนใหญ่ก็ตามพวกขันทีไปประกาศราชโองการในเมืองหลวง นี่คงไม่ใช่การมาจับกุม หวังทงไดสติก็ส่งสายตาไปที่ไช่หนาน มองไปทางนั้นก็ได้แต่อึ้ง ไม่ทันได้เอ่ยอะไร หลี่หู่โถวก็ขยี้ตาแทรกตัวออกมาตะโกนดังว่า
“เสี่ยวเลี่ยง เจ้ามาได้อย่างไร อยู่ในวังสบายดีหรือไม่!”
ขันทีน้อยเป็นเจ้าจินเลี่ยงนี่เอง สวมชุดสีเขียวคราม ก้มหน้ายืนอยู่ข้างไช่หนาน แต่พอได้เห็นหวังทงและหลี่หู่โถว สีหน้าก็มีแววตื่นเต้นยินดี
“นายกองร้อยหวัง รับราชโองการ เจ้า”
องครักษ์เสื้อแพรสองคนด้านหลังเห็นสถานการณ์วุ่นวาย ที่นี่มีพิธีรับราชโองการ หวังทงเป็นแค่นายกองร้อยเล็ก ก็รู้สึกตำหนิอยู่บ้าง โจวอี้หันไปโบกมือ กล่าวนุ่มนวลว่า
“นายกองร้อยหวัง รับราชโองการเถอะ!!”
พาเจ้าจินเลี่ยงมาด้วย ไช่หนานกับโจวอี้ก็มีท่าทางนิ่มนวล ทำให้หวังทงงง เหมือนว่าเบื้องหน้านี้มีอะไรไม่ถูกต้องนัก
หวังทงยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น โจวอี้ก็เตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“นายกองร้อยหวัง”
หวังทงจึงได้สติ ขยับขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว แล้วก็อึ้งไปด้วยไม่รู้ว่ารับราชโองการอย่างไร เห็นสีหน้าหวังทง โจวอี้ก็เข้าใจ หันทางสององครักษ์กล่าวว่า
“ขุนพลทั้งสอง ช่วยหวังทงจัดการสถานที่รับราชโองการให้หน่อย เขาไม่คุ้นเคย”
องครักษ์เสื้อแพรสองนายก็งงเช่นกัน นี่มันธรรมเนียมอะไร ไปบ้านใครประกาศราชโองการเรียกรับสินน้ำใจน้อยก็นับว่าให้เกียรติอีกฝ่ายแล้ว ทำไม่นายกองร้อยนี่แม้แต่จัดพิธีรับราชโองการยังต้องจัดให้ด้วย”
ในใจรู้สึกตำหนิก็ตำหนิไป แต่โจวอี้ผู้นี้ล่วงเกินไม่ได้ จึงได้แต่ทำตาม
*****
ทุกอย่างตระเตรียมเสร็จ หวังทงกับทุกคนก็คุกเข่าลงหน้าโต๊ะ โจวอี้เปิดราชโองการ
“ด้วยพระบารมีแห่งฟ้า ฮ่องเต้มีราชโองการแต่งตั้งนายกองร้อยหวังทงแห่งองครักษ์เสื้อแพรเป็นนายกองพันสำนักองครักษ์เสื้อแพรแห่งสามกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจิน”