Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 209

ตอนที่ 209 ผู้แทนถ่ายทอดราชโองการหรือผู้แทนมารับคำสั่ง

มีราชโองการมา?

สถานที่ราชการที่เดิมเอะอะโหวกเหวกก็พลันเงียบลง การถ่ายทอดและรับราชโองการเป็นพิธีการใหญ่ ปกติราชโองการอยู่ระหว่างทาง ก็จะมีม้าเร็วมาแจ้งข่าวก่อนหน้าหลายวัน จะได้เตรียมการล่วงหน้าให้เรียบร้อย

บำเหน็จรางวัลก็ย่อมได้รับการดูแลจากทุกฝ่าย การลงทัณฑ์ก็ย่อมมีข่าวเล็ดรอดออกมา ไหนเลยจะมีมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ฟานต๋าที่เดิมยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าโถงกลาง กำลังเล่นละครแมวจับหนูอยู่ ได้ยินก็รู้สึกงง

นายกองตรวจการผู้นี้ย่อมหันไปมองหวังทงด้วยสีหน้าคำถาม แต่หวังทงที่มีสีหน้าบึ้งตึงไหนเลยจะตอบ แต่ความจริงนั้นหวังทงเองก็งงเช่นกัน ไม่รู้ว่าราชโองการนี้เกี่ยวข้องกับตนเองหรือไม่

ความเงียบในที่ทำการเริ่มเปลี่ยนเป็นความโกลาหลอีกครั้ง ฟานต๋ากระแอมไอ ตำหนิขึ้นว่า

“ยังไม่รีบไปเตรียมการอีก”

หวังทงเก็บดาบเข้าฝัก ตวัดสายตาเยียบเย็นมองฟานต๋า ก่อนจะหันกายจะจากไป สถานการณ์กำลังชุลมุนเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดสนใจเขา ทุกคนวันหน้าค่อยว่ากัน ไม่ว่าหวังทงหรือฟานต๋าต่างก็คิดเช่นนี้

พอออกประตูขึ้นจากม้าไป วิ่งไปได้สองช่วงถนน ทุกคนก็เงียบไม่กล่าวอันใด หวังทงถอนหายใจยาว เอ่ยขึ้นว่า

“แค่นี้ก่อน พรุ่งนี้มาใหม่ ให้พี่น้องเราแต่งกายมาเต็มยศ ดูซิว่ากองตรวจการนั้นจะมีทหารเอกแม่ทัพชีเท่าไรกัน”

บรรดาผู้ติดตามต่างเงียบ เดิมคิดว่าเป็นงานประเภทมาถึงก็เจรจาจิบน้ำชากัน กล่าววาจาซ่อนนัยกัน คิดไม่ถึงว่าหนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊จะดุเดือดใส่กันกลางที่ทำการเช่นนี้ได้ กำลังจะชักดาบมาวัดฝีมือกันแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน เห็นได้ชัดว่าเจ้าฟานต๋านั่นเกลียดองครักษ์เสื้อแพรเป็นการส่วนตัว

ปฏิบัตงานราชการเหมือนกัน ฟานต๋าเหมือนเป็นตำแหน่งกุมอำนาจหลักไปโดยปริยาย นับว่าเป็นตำแหน่งหัว วันหน้ายังไม่รู้ว่าจะมีเรื่องยุ่งยากอีกมากมายเท่าไร

ไม่มีใครตอบอะไร สุดท้ายเป็นถานเจียงที่ถอนหายใจยาว เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า

“นี่ก็ใช่ว่าไม่ใช่วิธีจัดการ หากเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ใต้เท้าก็ไม่ต้องกังวลอันใด”

ขณะพูดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบตามมาอย่างเร่งรีบ พวกหวังทงรวมห้าคนก็ชักดาบออกมาทันที ทำเอาคนรอบๆ พากันหวาดกลัวหลบกันไปหมด

หันกลับไปมอง พลทหารกองตรวจการที่ถูกซัดจมูกเขียวผู้หนึ่งขี่ม้าไล่ตามมา มาแค่คนเดียว พอเข้ามาใกล้ก็ยกมือขึ้นตะโกนว่า

“ใต้เท้าหวังโปรดรีบกลับไปที่กองตรวจการ รับราชโองการพร้อมกัน รีบไปเร็ว!”

เพิ่งถูกจัดการไป ย่อมชักสีหน้าใส่พวกหวังทง กล่าวจบก็ทำหน้าเย็นชาชักหัวม้ากลับไปอย่างไม่สนใจอะไร หวังทงสบตากับทุกคนแวบหนึ่ง ส่ายหน้า ขี่ม้าตามกลับไป

ครั้งนี้พอไปถึงกองตรวจการ กลับไม่มีคนขวางไว้ ด้านนอกมีม้าอยู่ 30 กว่าตัว มีคนวิ่งเข้าวิ่งออกตลอดเวลา หวังทงยังมองไปที่เพิงน้ำชาและเห็นผู้ติดตามของขันทีว่านเต้า อีกฟากถนนยังมีอีกหลายกองกำลังรีบร้อนวิ่งมา

แม้ว่าอากาศหนาวยากจะทานทน แต่ห้องโถงกลางก็ยังเปิดประตูกว้าง มุมห้องจุดกำยานไว้ ฟานต๋ายืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าโถงสั่งการหน้าดำคร่ำเครียด

พอเห็นหวังทงเดินเข้ามา ฟานต๋าก็หันหน้าหนีทำเป็นไม่เห็น เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา ก้มกายคำนับเอ่ยว่า

“ใต้เท้าหวัง ผู้แทนจากเมืองหลวงมาถึงแล้ว ขอท่านเตรียมตัวก่อน ยังมีใต้เท้าอีกหลายท่ายยังมาไม่ถึง อีกสักครู่ค่อยเข้าไปรับราชโองการข้างในพร้อมกัน”

หวังทงพยักหน้า หลบมุมยืนรอ คนในห้องโถงก็ยุ่งกันเก็บกวาดเตรียมการ จัดสถานที่รับราชโองการ ไม่มีผู้ใดสนใจเขา

เห็นขันทีว่านเต้าเดินเข้าไปถามฟานต๋า กระซิบกระซาบกันแล้วก็ส่ายหน้า ดูท่าแล้วก็คงไม่รู้ว่าเป็นราชโองการอะไร

ไม่นานก็มีขุนนางวัยกลางคนแต่งเครื่องแบบระดับห้ารีบร้อนเดินเข้ามา เดินไปคำนับฟานต๋ากับว่านเต้าก่อน จากนั้นก็มองมาทางหวังทง จากนั้นก็หันไปปรึกษากันต่อ

“นี่คงเป็นขุนพลคุมกำลังพลที่ถูกส่งจากเมืองเหอเจียน สถานที่ร้องทุกข์ของราษฎรในเขตสามกองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจิน เรื่องราษฎร์ล้วนเป็นเขาดูแล”

ไม่นานก็มีขุนพลหลายนายเดินเข้ามา แม้ว่าฟานต๋าจะบอกว่าขุนนางบุ๋นสูงศักดิ์กว่าขุนนางบู๊ แต่ขุนพลสองสามนายที่มานี้ก็ดูปรองดองกันดี ทุกคนก็ทักทายกันตามมารยาท

ถานเจียงเห็นการแต่งกายของพวกเขาก็พอจะมองสถานะออก รีบอธิบายหวังทงไม่หยุด

“ผู้นั้นน่าจะเป็นที่ปรึกษากองทัพประจำเทียนจิน สองสามท่านที่เหลือก็น่าจะเป็นผู้การกองกำลังพิทักษ์ชาติในพื้นที่ ไม่รู้ว่าเรื่องอันใด จึงได้ตามขุนนางท้องที่ในเทียนจินมากันหมด…”

ขณะพูดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก ฟานต๋าไม่สนใจมารยาทอะไรต่อ หากปรี่ออกไปตะโกนดังว่า

“นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังเสียงดังโหวกเหวกกันอยู่ได้ ไม่ต้องการหัวแล้วหรือ?”

พอเขาตะโกนออกไป ด้านนอกก็เงียบลงเล็กน้อย หากมีเสียงตะโกนดังตามมาว่า

“ใต้เท้าทุกท่าน มีเรื่องใหญ่เร่งด่วน เรื่องเร่งด่วน ขอให้ข้าน้อยได้รายงาน…”

ฟานต๋าขมวดคิ้วมองไปในห้องโถงกลาง ออกคำสั่งให้คนรับใช้ออกไปนำคนเข้ามา บรรดาขุนนางและขุนพลประจำเทียนจิน แต่ต้นจนจบก็ไม่มีสักคนที่จะทักทายหวังทง อย่างมากก็แค่เหลือบตามองเท่านั้น

คนที่รายงานส่งเสียงดังมาจากด้านนอกแทบจะพุ่งเข้ามา พอกำลังจะรายงาน ฟานต๋าก็ออกคำสั่งไปประโยคหนึ่ง ผู้นั้นก็รีบกดเสียงให้ต่ำลงก่อนจะรายงาน หวังทงว่าอยากรู้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

พอรายงานจบ ก็เห็นบรรดาขุนนางทางนั้นพากันสะดุ้งเฮือก สีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที มองตรงเข้ามาในห้องโถงพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

ไม่นาน องครักษ์เสื้อแพรผู้หนึ่งก็เดินออกมาในห้องโถง กล่าวเสียงดังกังวานว่า

“ใต้เท้าทุกท่านมากันพร้อมแล้ว เข้ามารับราชโองการได้!”

ทุกคนทยอยกันเข้ามา เรียงตามระดับ หวังทงกับผู้ตรวจการสองคนคุกเข่าอยู่หลังสุด แต่ละคนเตรียมตัวพร้อมอยู่ในตำแหน่งของตน มีคนผู้หนึ่งตะโกนขึ้น

ขันทีผู้หนึ่งก็ประคองราชโองการเดินมาถึงที่จุดกำยาน หวังทงก็เคยรับราชโองการ ตอนนั้นมีแค่ขุนพลสองนายมาด้วยเท่านั้น แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

นายทหารสวมเกราะและพกดาบประจำกายก็เดินเข้ามาเรียงแถวสองข้างหน้าตาเคร่งขรึม เห็นการแต่งกายเช่นนี้แล้วก็รู้ว่ามาจากสี่กองกำลังประจำพระองค์สังกัดสำนักอาชาหลวง ด้านขวาของขันทีผู้นั้นยังมีหัวหน้ากองกรมทหารมาด้วย

ด้านนอกสว่างจ้า เทียบกับในห้องแล้วทำให้ในห้องมืดกว่ามาก หวังทงยามนี้จึงได้ปรับสายตาเข้ากับแสงได้ ขันทีผู้นั้นกลับเป็นคนกันเอง นั่นไช่หนานไม่ใช่หรือ

ไช่หนานหันหน้ามายิ้มผงกศีรษะให้หวังทงเล็กน้อย กระแอมไอก่อนจะเปิดราชโองการเริ่มอ่านว่า

“ด้วยพระบารมีแห่งองค์ฮ่องเต้…”

ได้ยินเรื่องราวที่หวังทงถูกตามล่าสังหารระหว่างทางแล้ว สืบสวนพบหัวหน้าผู้กระทำความผิดแล้ว จึงให้เคลื่อนกองกำลังมาปราบโจร ที่ยังมีชีวิตให้คุมตัวกลับเมืองหลวง ราชโองการนี้เป็นการตำหนิขุนนางน้อยใหญ่ในเทียนจินที่ไม่อาจป้องกันเหตุร้ายได้ ปล่อยให้โจรพวกนี้ก่อการขึ้นได้

ที่ปรึกษากองทัพประจำเทียนจินถูกลงโทษริบเบี้ยหวัดครึ่งปี ที่เหลือจะต้องถูกสอบและให้สืบสวนอย่างละเอียด อย่าได้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก

ทุกคนย่อมตำหนิตัวเองว่าสมควรตาย จากนั้นก็สรรเสริญฮ่องเต้ คนที่บอกว่าเรื่องด่วนเมื่อครู่ก็คงเป็นเรื่องนี้ ที่ห้องโถงนี้ไม่อบอุ่นนัก หวังทงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ก็เห็นแผ่นหลังของหลายคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา นี่ย่อมไม่ใช่ว่ารู้สึกร้อน

พื้นที่ในความดูแลเกิดเรื่องเช่นนี้ กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เมืองหลวงส่งคนมาเคลื่อนกำลัง ขุนนางในเมืองเทียนจินก็ไม่รู้ พอทุกอย่างจัดการเสร็จ ราชสำนักมีราชโองการไต่สวนมา กลับลงโทษเบาเช่นนี้ ในนี้ย่อมมีอะไรแอบซ่อนอยู่ หากถูกปลดและเนรเทศไป ทุกคนก็รู้สึกว่าสมควรเป็นเช่นนั้น เรื่องใหญ่เช่นนี้ กลับจัดการอย่างไม่ระคายเคืองอันใด นี่มันเพราะอะไร

ถ่ายทอดราชโองการจบ ไช่หนานก็ยิ้มกล่าวว่า

“ก่อนมาที่นี่ ฝ่าบาทและใต้เท้าทุกท่านกำชับมาว่า เรื่องนี้มีคนชั่วก่อขึ้น ยากที่จะป้องกัน จัดการก็ต้องจัดการกันไป ทุกท่านอย่าได้รู้สึกหวาดกลัวไป พื้นที่รับผิดชอบของตัวเองก็จับตาดูให้แน่นหนา อย่าได้เกิดเรื่องอีกก็พอ”

เบื้องบนเมตตาเช่นนี้ ทุกคนอย่างไรก็ต้องโขกศีรษะสรรเสริญว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา” พอถ่ายทอดราชโองการจบ ฟานต๋าแห่งกองตรวจการที่มีตำแหน่งใหญ่สุดในที่นี้ก็ลุกขึ้นมารับราชโองการ

กล่าววาจากันตามมารยาท แต่มีบางอย่างไม่อาจสอบถามเปิดเผยได้ ลูกน้องฟานต๋าเตรียมก้อนเงินไว้พร้อมแล้ว ฟานต๋ารับราชโองการมา เผยรอยยิ้มกำลังจะเอ่ยถาม

เขายังไม่ทันได้กล่าวอันใด ไช่หนานก็ยัดราชโองการใส่มือ หันหลังก้าวจากไปทันที เหงื่อเย็นบนแผ่นหลังฟานต๋ายังไม่ทันได้แห้ง ในใจยังคิดว่าน่าจะมีอะไรสำคัญอีก

กำลังจะตามไป ก็เห็นขันทีรูปร่างผอมผิวคล้ำผู้นั้นรีบเดินไปเบื้องหน้านายกองพันองครักษ์เสื้อแพร พยุงเขาขึ้นมาด้วยท่าทีนอบน้อมยิ่ง

ตามธรรมเนียมการรับราชโองการ หากผู้รับราชโองการมีสิ่งใดต้องการจะพูด เช่น “ฝ่าบาททรงพระเมตตา กระหม่อมทุกคนขอสละชีพจงรักภักดี” ทุกคนยังต้องคุกเข่าลงกล่าวซ้ำพร้อมกัน หากยามนี้ย่อมไม่มีขั้นตอนนี้ แต่พวกขุนนางด้านหลังนั้นไม่รู้ ต่างพากันคุกเข่ารออยู่ตรงนั้น

ปรากฏว่าขันทีที่เมื่อครู่เชิดหน้าไม่ยอมพูดกับผู้ใด กลับยิ้มกว้างเดินหาหวังทง ควรรู้ว่าเมื่อครู่ที่ขันทีจากวังหลวงเช่นว่านเต้าเข้าไปกล่าววาจาตามมารยาท ยังถูกหมางเมิน

“ใต้เท้าหวัง ที่เทียนจินไม่เหมือนเมืองหลวง ชนบทยากแค้น ท่านอยู่ที่นี่ชินหรือยัง?”

ไช่หนานยิ้มพลางยกมือไปปัดฝุ่นที่หัวเข่าให้หวังทง งานที่ได้ปฏิบัติมาแต่ละงาน ไช่หนานรู้ว่าตนเองก็เหมือนเรือลอยขึ้นตามน้ำ เมื่อก่อนงานมีหน้ามีตาอย่างการถ่ายทอดราชโองการคงไม่ตกมาถึงมือตนเป็นแน่ แต่ได้รับโอกาสใหญ่ยิ่งมาก ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าผลประโยชน์นี้ได้มาจากผู้ใด ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าศูนย์กลางในเมืองหลวงนั้นให้การดูแลและให้ความสำคัญกับผู้ใด

ด้วยสถานะผู้แทนถ่ายทอดราชโองการ ย่อมใหญ่กว่าขุนนางท้องถิ่นที่เทียนจิน แต่กลับไม่กล้าวางตัวใหญ่โตกับหวังทง ไช่หนานยามนี้กลับนอบน้อมกว่าตอนที่อยู่เมืองหลวงเสียอีก

เหมือนไม่ได้สนใจการมีอยู่ของฟานต๋า ว่านเต้าและคนอื่นๆ ว่ากำลังจะตาถลนออกมา ไช่หนานโน้มกายและทิ้งมือข้างกายต่อหน้าหวังทง นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรผู้นั้นดูเหมือนไม่รู้สึกว่าผู้แทนถ่ายทอดราชโองการปัดฝุ่นให้ตนเองนั้นจะมีอะไร กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“มาที่นี่เป็นครั้งแรก มีหลายอย่างไม่ชิน ปฏิบัติงานเรียบร้อยก็ชินเอง ปฏิบัติงานไม่เรียบร้อยก็ไม่ชิน!”

“ใต้เท้ายังคงชอบล้อเล่นเหมือนเดิม ข้าน้อยไม่อาจอยู่นาน ฝ่าบาท จางกงกง โจวกงกงทางนั้นฝากมาว่า หากท่านมีวาจาอันใด ก็ให้ข้าน้อยนำกลับไป…”

ในห้องหนาวมาก แต่หน้าผากฟานต๋ากลับมีเหงื่อผุดออกมาไม่หยุด เขายังคงตกใจไม่ได้สติ เอาแต่มองผู้แทนถ่ายทอดราชโองการที่นอบน้อมกับหวังทงที่มีท่าทีสงบนิ่ง ขันทีว่านเต้าทางนั้นก็จ้องมาทางนี้เช่นกัน จ้องอ้าปากค้างเลยทีเดียว ตอนนี้ยังหุบไม่ลง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version