ตอนที่ 210 ยโสแล้วจึ่งเคารพ หาเรื่องลบหลู่ตนเองโดยแท้
ดำรงตำแหน่งขุนนางใหญ่ในพื้นที่ได้ ใครบ้างไม่รู้จักขุนนางในเมืองหลวง เบื้องหลังผู้ใดก็ล้วนมีที่พึ่งใหญ่เล็กแตกต่างกัน
หากผู้ที่สามารถทำให้ขันทีที่มาถ่ายทอดราชโองการจากเมืองหลวงต้องมีน้ำเสียงอ่อนน้อมถึงขั้นนี้ได้ รู้จักผู้ใดกันแน่ เบื้องหลังคือผู้ใด ทำให้คนคิดแล้วก็หวาดกลัวยิ่ง
ขันทีที่มาถ่ายทอดราชโองการส่วนใหญ่ก็มักเป็นคนสนิทของมหาขันทีใหญ่ ก็คืออนาคตเข้าทดแทนตำแหน่งมหาขันที ออกจากเมืองหลวงมาเป็นตัวแทนฮ่องเต้และราชสำนัก ทุกคนก็ล้วนไม่หยิ่งยโส ไหนเลยจะสนใจบรรดาคนในพื้นที่เช่นนี้
ขันทีว่านเต้าทำหน้าที่ดูแลเสบียงทัพก่อนออกจากเมืองหลวงมาก็นับว่าเป็นบุคคลที่พอมีสถานะในสำนักอาชาหลวง เข้าไปหาเรื่องสนทนาด้วยตนเองยังถูกหมางเมินใส่ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ออกมาปฏิบัติงานนอกเมืองแม้ว่าน้ำร้อนน้ำชาจะมากอยู่ แต่หากว่ากันถึงคนที่พูดอะไรมีน้ำหนักอยู่บ้างก็คงเป็นพวกที่มาจากเมืองหลวงพวกนี้แล้ว
พวกนี้ยังพอคุยกันได้ ปัญหาสำคัญคือ ใต้เท้าฟานต๋าแห่งกองตรวจการเพิ่งจะชักสีหน้าสร้างความลำบากให้กับพวกหวังทง แล้วต่อไปจะทำเช่นไร
ไม่รู้ว่าสายลมเล็ดรอดเข้ามาจากทางใด พัดกระทบใบหน้าของฟานต๋า ทำเอาหนาวเหน็บ ใต้เท้าฟานจึงได้รู้สึกตัวว่าเหงื่อไหลเต็มใบหน้า รีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดไปหลายที รู้สึกว่าด้านหลังมีคนดึงเขา นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังจะเล่นอะไรกันอีก ฟานต๋าหันไปมองพร้อมคำรามเบาๆ ด้วยความโมโห
กลับพบว่าคนที่ดึงเขาไว้ก็คือขุนพลคุมกำลังพลที่ถูกส่งมาจากเมืองเหอเจียน นายทหารผู้นี้แอบชี้มือบุ้ยใบ้ออกไปด้านนอก ฟานต๋ามองตามไป พบว่าไม่รู้ตอนไหนที่ประตูเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ลมหนาวกำลังพัดกระหน่ำเข้ามาไม่หยุด แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
แต่เป็นรองหัวหน้ากรมทหารที่ตามขบวนราชโองการมากำลังสนทนาอยู่กับบ่าวรับใช้ที่อายุราว 40 ต้นๆ ผู้หนึ่ง บ่าวรับใช้ผู้นั้นเห็นกันอยู่ว่ามาด้วยกันกับหวังทง
หกกรมกอง มีหัวหน้ากรมดูแลจัดการการงานในกรมเป็นหลักและมีรองหัวหน้ากรมเป็นผู้ช่วย รองหัวหน้ากรมก็มีตำแหน่งขุนนางระดับห้าแล้ว มีอำนาจมาก ระดับนี้ในเมืองหลวงก็ไม่นับว่าเป็นขุนนางเล็กแล้ว ออกจากเมืองหลวงมาก็มีบารมีไม่ด้อยไปกว่าผู้ว่ามณฑล แต่ขุนนางจากเมืองหลวงผู้นี้กลับเป็นเพื่อนสนทนากับบ่าวรับใช้ของหวังทง
เห็นท่าทีสองฝ่ายแล้ว ท่าทางของรองหัวหน้ากรมผู้นั้นจะต่ำต้อยกว่าเล็กน้อย ขันที ขุนนางบุ๋นและขุนพลในห้องมองตามที่นายกองเสริมกำลังพลชี้ไป
มองไปทางผู้แทนถ่ายทอดราชโองการที่คุยอยู่กับหวังทงด้วยท่าทีระมัดระวัง มองไปทางรองหัวหน้ากรมทหารสนทนากับบ่าวของหวังทงด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ ทุกคนก็รู้สึกได้ว่าสมองไม่พอใช้แล้ว ถึงกับหน้ามืดจะเป็นลม นี่มันเรื่องอะไรกัน
“นี่ก็คือนายกองพันแซ่หวังผู้นั้นหรือนี่ เปิดตัวยิ่งใหญ่มาก!”
“เดี๋ยวกลับไปต้องส่งสารไปถามที่เมืองหลวงหน่อย อย่าได้มีองค์มหาเทพมาถึงแล้วกลับถูกต้อนรับแบบผีน้อยเลย”
ได้ยินคนข้างหลังที่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดกำลังวิจารณ์กันอยู่ นายกองฟานต๋าก็รู้สึกหน้ามืด กว่าจะได้สติคืนมาได้ ไม่พูดถึงเหงื่อที่ผุดขึ้นมากมายบนใบหน้า ทั้งตัวยังเต็มไปด้วยเหงื่อที่ซึมทะลุเสื้อผ้าออกมา เหนียวอึดอัดยากจะทนรับไหวจริงๆ
สีหน้าแลดูไม่ได้ยิ่งนัก ไม่สนว่าเบื้องหลังหวังทงผู้นี้จะเป็นผู้ใด ตนเองได้ล่วงเกินไปแล้ว มองซ้ายมองขวาสองสามทีก็พบกว่าขันทีว่านเต้าได้เขยิบออกห่างไปหลายก้าว มีเจตนาจะเว้นระยะห่างให้ชัดเจน
ตอนที่ไช่หนานถ่ายทอดราชโองการเสร็จกำลังสนทนาอยู่นั้น ข่าวกรองจากหลายสายนอกเมืองก็มาถึง ในเขตเมืองจี้โจว การเคลื่อนย้ายกำลังมาสังหารกองกำลังตนเอง นับเป็นภารกิจใหญ่ยิ่ง ทางราชสำนักเคลื่อนย้ายกำลังเสร็จ กองกำลังรอบๆ ยังมีพวกที่ถูกเคลื่อนย้ายมาย่อมรายงานกันเป็นทอดๆ ให้นายของตนรู้โดยเร็วที่สุด
พวกที่ปรึกษาทางการทหารพวกนี้ที่มารับราชโองการมีสีหน้ากระอักกระอ่วนยิ่ง พื้นที่ตนเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ตนเองรู้เป็นคนสุดท้าย ได้รับรายงานจากเบื้องล่าง ว่าเคลื่อนกำลังไปล้อมโจร ในกองกำลังที่ถูกเคลื่อนย้ายไป ตั้งแต่ระดับขุนพลขึ้นไปก็เปลี่ยนตัวเป็นขุนนางสายทหารที่ส่งมาจากเมืองหลวง รับหน้าที่สั่งการ
ได้เห็นกองกำลังสามพันกำลังล้อมตนอยู่ พวกทหารที่ปลอมตัวเป็นโจรก็รีบยอมแพ้ หากคนด้านนอกมิได้ต้องการให้พวกเขายอมแพ้ ธนูขึ้นสายยิงถล่มไปรอบหนึ่ง ส่งทหารเข้าไปตามสังหาร ล้างบางไปสองรอบ จึงได้เริ่มค้นหาคนที่ยังไม่ตาย โยนใส่กรงขัง เตรียมนำไปสอบสวนที่เมืองหลวง
ขุนพลที่ปรึกษากองทัพคิดถึงตนเองที่แค่ถูกริบเบี้ยหวัด ดูจากการลงมือสังหารอย่างโหดเหี้ยมระดับนี้ ก็รู้สึกกลัวจนหนาวสั่น คิดไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรต่อไปอีก
พอได้ทักทายกับหวังทงไปได้สองสามประโยค ไช่หนานก็มองความในใจของหวังทงออกว่าไม่ค่อยดีนัก เขาเองเป็นคนฉลาดฉับไว มองเห็นบรรดาขุนนางในเทียนจินแสดงท่าทีแบ่งแยกกับหวังทง แม้แต่ตอนนี้ บรรดาขุนนางที่เทียนจินก็ต่างยืนมองอยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดก้าวเข้ามา
ไช่หนานจดจำภาพเหล่านี้เอาไว้ในใจ ไม่กล่าวอันใด พวกเขามาเร็วไปก็เร็ว ไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนัก เห็นฟ้าใกล้ค่ำแล้วก็รีบคำรับขออำลา
ผู้ถ่ายทอดราชโองการคำนับอำลาหวังทง แต่บรรดาขุนนางที่เทียนจินกลับไม่กล้าทำตัวเสมอเท่า หากน้อมส่งกันอย่างสุภาพ ทำตามมารยาทอันควรกันเท่านั้น
พวกผู้แทนถ่ายทอดราชโองการขึ้นม้าจากไปไกลแล้ว บรรยากาศในที่ทำการกองตรวจการก็แปลกยิ่ง หวังทงยืนอยุ่มุมหนึ่งในโถงกับถานเจียง กำลังจะขออำลาจากไป
“ใกล้ปีใหม่แล้ว เบี้ยหวัดของเมืองจี้โจวแต่ละแห่งก็เตรียมพร้อมแล้ว ทุกท่านหากมีความยากลำบากอันใดก็บอกกล่าวแก่ข้าได้เลย”
เรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ก็แค่เอ่ยรับปากขึ้นมาเท่านั้น นายกองตรวจการฟานต๋าก้าวขึ้นมาด้านหน้าสองก้าว ยิ้มกล่าวว่า
“กองกำลังชายแดนย่อมต้องให้ความสำคัญกับกองกำลังรบตอนเหนือก่อน เลี่ยงไม่ได้ที่จะดูแลพี่น้องส่วนหลังบกพร่องไปบ้าง เบี้ยหวัดของสามกองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจินก็ล่าช้ามานานแล้ว จะลำบากอย่างไรก็ไม่อาจให้คนของเราต้องลำบาก พรุ่งนี้ข้าจะจ่ายเบี้ยหวัดให้หกเดือนเลย เพื่อตอบแทนพี่น้องทุกคนที่มีใจเพื่อตอบแทนประเทศชาติ”
ท่าทีเมื่อครู่อย่างน้อยก็มีว่านเต้าที่เห็นได้ชัด ในใจก็คิดว่าใต้เท้าฟานผู้นี้เกรงว่าจะเร็วไปหน่อยไหม แต่ไม่ว่าผู้ใดเห็นผู้แทนถ่ายทอดราชโองการแสดงท่าทีเช่นนั้นกับหวังทง ก็ย่อมต้องรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เร็วที่สุด
“ใต้เท้าฟาน กองตรวจการทั้งหมดติดค้างเบี้ยหวัดกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินนานถึง 28 เดือน ครั้งนี้จะให้แค่ 6 เดือน ที่เหลือจะว่าอย่างไร?”
สีหน้าหวังทงไม่มีความรู้สึกขอบคุณแม้แต่น้อย เอ่ยปากถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ สีหน้าฟานต๋าดำคล้ำลงอีกส่วนหนึ่ง แต่ก็ฝืนฉีกยิ้มเอ่ยว่า
“กองตรวจการปิดบัญชีแล้ว จะโยกย้ายเบี้ยหวัดก็ต้องผ่านนายกองคุมกำลังพร้อมตราประทับจากกรมอากรและกรมทหาร ใต้เท้าหวังไม่ต้องใจร้อนไป รอปีใหม่เปิดทำการแล้ว ส่วนที่ขาดก็จะนำส่งไปให้ท่านให้ครบ”
“ใต้เท้าฟาน น้ำใจยิ่งใหญ่เช่นนี้ต้องให้ข้าน้อยคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณหรือไม่?”
หวังทงขึ้นเสียงสูงปรี๊ด สีหน้าฟานต๋าดำคล้ำไปทั้งใบหน้าแล้ว แต่กลับยังคงมีรอยยิ้ม ยิ้มกล่าวว่า
“เราทุกคนล้วนเป็นขุนนางเหมือนกัน วันหน้ายังต้องอยู่ร่วมกันอีกนาน ไยต้องเกรงใจเช่นนี้ มิต้อง มิต้อง”
ประโยคถามตอกกลับมานี้เท่ากับว่ากำลังตบใบหน้าฟานต๋าท่ามกลางหมู่ชน เป็นความโมโหอย่างที่สุด กล่าวจบ หวังทงก็ประสานมือคำนับ หากไม่กล่าวอำลา นำถานเจียงก้าวเท้ายาวๆ ออกไปทันที
คนในห้องมองหน้าไปมา ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันดี เงียบไปครู่หนึ่ง ขันทีผู้นั้นก็ยิ้มแห้งๆ กล่าวขึ้นว่า
“นายกองพันหวังอายุยังน้อยกล้าหาญเช่นนี้ ปฏิบัติภารกิจก็ไม่เหมือนคนทั่วไป วันหน้าต้องเป็นเสาหลักแห่งราชวงศ์หมิงเราเป็นแน่ น่าชื่นชมจริงๆ”
ขุนพลคุมกำลังพลที่เมืองลเหอเจียนส่งมาประจำที่นี่ก็พยักหน้าเห็นด้วย กล่าวสรรเสริญตามมาทันทีว่า
“ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังทรงอยู่ในวัยเยาว์หากทรงพระปรีชายิ่ง ยังมีใต้เท้าหวังที่อายุน้อยคอยช่วยราชกิจ นับเป็นวาสนาของราชวงศ์หมิงเราโดยแท้!!”
เจ้าคำหนึ่งข้าคำหนึ่ง ล้วนสรรเสริญทุกคำ และก็ไม่สนใจว่าหวังทงจะได้ยินหรือไม่ หวังเพียงมีวาจาคำครึ่งคำไปถึงหูหวังทงก็พอ
สีหน้าฟานต๋าย่ำแย่จนไม่อาจย่ำแย่ไปกว่านี้ได้อีก แต่ยังต้องวางตัวเป็นผู้ใหญ่ประนีประนอม กล่าวรับคำเออออไปด้วย
*********
“ถานเจียง เจ้ารู้จักรองหัวหน้ากรมทหารผู้นั้นหรือ?”
“ไม่อาจปิดบังใต้เท้า ใต้เท้าผู้นี้คือลูกศิษย์ของใต้เท้าถานที่เจ้อเจียงในตอนนั้น ค่อยๆ ส่งเสริมให้ก้าวขึ้นมา ตอนนั้นข้าน้อยก็เคยไปมาหาสู่อยู่หลายครั้ง จึงได้คุ้นเคยกัน”
ระหว่างทางกลับทุกคนเบิกบานกว่าการเดินทางกลับเมื่อครู่มาก เห็นขุนนางที่หาเรื่องหัวชนฝาเสียงอ่อยเอาอกเอาใจเช่นนี้ ก็รู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก
หวังทงคุยสัพเพเหระกับถานเจียงไปอีกสองสามประโยค ม้าก็ใกล้ถึงที่พักแล้ว หน้าประตูที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินกำลังวุ่นวายกันอยู่ พลทหารองครักษ์เสื้อแพรกำลังปัดกวาดกันอย่างขมักเขม้นเหงื่อไหลไคลย้อย
ภายใต้การสั่งการของนางหม่า ขนขยะทั้งหมดในลานไปกองไว้กระบุงก่อนจะแบกกันออกไป พวกหวังทงเองก็มีรถคันใหญ่ ก็พอจะลากขยะไปทิ้งได้
เห็นหวังทงกลับมา นายกองร้อยหังที่ตัวเต็มไปด้วยคราบฝุ่นก็รีบเข้ามารับ ทั้งคำนับทั้งทักทาย หวังทงปิดปากปิดจมูกเดินเข้าไปในลานบ้าน
แม้ว่ายังเก่าทรุดโทรม แต่สนามขยะแบบเมื่อวานไม่เห็นอีกแล้ว สะอาดสอ้านขึ้นมาก หวังทงพอใจมาก เดินไปมองไปพลางหยักหน้า หังต้าเฉียวเดินตามเข้ามาในลานบ้าน ไม่ได้กวาดต่อ หากกลับเดินตามดูด้วย
“พรุ่งนี้เบี้ยหวัดก็น่าจะส่งมาถึง หกเดือนจ่ายทีเดียว เจ้ากลับไปบอกพี่น้องเจ้าด้วย ทุกคนจะได้ดีใจ”
นายกองร้อยหังรีบก้มตัวลงคารวะ เอ่ยว่า
“ใต้เท้ามาแล้ว ช่างเป็นพระอาทิตย์บนท้องฟ้าจริงๆ พี่น้องเราจะต้องตั้งป้ายบูชาอายุยืนให้ใต้เท้าท่าน…”
แม้ว่าจะสมาคมกันมาไม่นาน แต่หวังทงก็รู้สึกได้ว่านายกองร้อยหังมีอะไรผิดปกติ หันหน้าไปจ้องมองเขาถามว่า
“เหล่าหัง ทำงานให้ข้า จะมัวอ้ำๆ อึ้งๆ ก็จะอยู่กันไม่นาน เจ้าคิดอะไรก็พูดมา”
หังต้าเฉียวหน้าแดง อึกอักอยู่นานก่อนจะกล่าวว่า
“ได้ยินคนที่ใต้เท้าพามาด้วยว่าจะเข้าไปอยู่ที่เรือนด้านหลังเหล่านั้น วันนี้จะทำความสะอาดก็ถูกข้าน้อยรั้งไว้ ขอเมตตาจากใต้เท้าได้หรือไม่ ช้าอีกสองสามวัน เงินทองที่ต้องไปอยู่โรงเตี๊ยมข้าจะรับผิดชอบเอง”
วาจานี้พูดเอาหวังทงรู้สึกสนใจขึ้นมา หันหน้ามาจ้องมองหังต้าเฉียวถามว่า
“เงินทองเรื่องเล็ก เรือนพวกนี้ทำไมถึงไม่ว่าง”
“ข้าน้อยปล่อยให้เช่าไปโดยพลการ กำลังใช้เป็นโกดังเก็บของ หากจะทำให้ว่างคงทำไม่ได้ในวันสองวัน และก็หาที่วางของทดแทนไม่ทันด้วย”
เรื่องพวกนี้หวังทงได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เขาสนใจมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเก็บอะไรเอาไว้