ตอนที่ 211 กำไรก้อนโต ไม่เลี้ยงดูต่อ
“เจ้าเป็นคนในพื้นที่ หากในเมืองมีบ้านหลังใหญ่ก็มาบอกข้า เอาเงินไปซื้อก็ใช้ได้ ย้ายเข้ามาอยู่ก็แค่เอาสะดวก ทางเจ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องย้าย”
ได้ยินหวังทงกล่าวอย่างใจกว้างเช่นนี้ หังต้าเฉียวก็ซาบซึ้งจนเกือบจะคุกเข่าลง รับปากไม่หยุดว่า
“บ้านหลังใหญ่ในเมืองเทียนจินนี่ว่างไม่น้อย ใต้เท้าอยากจะหาก็ง่ายมาก คืนนี้ก็หาให้ใต้เท้าได้”
แต่ความสนใจของหวังทงไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ จึงยิ้มถามไปว่า
“ก็ไม่รู้ว่าสินค้าอะไรถึงต้องมากองไว้ที่พวกเรานี่ ไปดูด้วยกันเถอะ!”
คำขอนี้ไม่ได้ทำให้นายกองร้อยหังสงสัยอันใด เอ่ยว่า
“ล้วนเป็นของหยาบช้า ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ใต้เท้าตามข้าน้อยมาขอรับ!”
เดินไปไม่ไกลก็เห็นเรือนด้านหลัง พื้นที่ตรงนี้มีกองหิมะกองหนามาก ด้านบนมองไม่เห็นรอยเท้า พอเข้าใกล้เรือนพวกนั้นยังเห็นรอยน้ำแข็งที่เกิดจากหยดน้ำ
มองอยู่นานก็ไม่มีรอยเท้าบนพื้นหิมะ หังต้าเฉียวดึงกระดาษปิดประตูที่ไร้อักษรออก ผลักเข้าไป ในห้องมีกลิ่นที่ใช่ว่าจะทานทน
สินค้ากองสูงมาก ด้านบนยังมีผ้าคลุมปิดไว้ นายกองร้อยหังเปิดผ้าออก ก็ปรากฏลำไม้ไผ่ขนาดเล็กใหญ่มัดรวมกัน หวังทงรู้สึกงง ในใจคิดว่าเป็นสินค้าสำคัญอันใดกัน
หวังทงเดาว่าหรือหังต้าเฉียวจะปิดบังอะไรไว้ สีหน้าที่มีรอยยิ้มมองไปยังห้องสิบกว่าห้อง ไม่ต้องให้นายกองร้อยหังนำทาง เขาเดินไปห้องที่ต้องการเอง
ล้วนเป็นไม้ไผ่ ทุกห้องล้วนกองเต็มแน่น ไม้ไผ่พวกนี้มีประโยชน์อันใด มีค่าอันใด ถึงต้องเช่าที่องครักษ์เสื้อแพรมาเก็บ เงินค่าเช่าโกดังแม้ว่าจะถูกแต่ก็เป็นเงินเป็นทอง ก็เป็นต้นทุน เช่นนี้ดูแล้วก็ไม่ใช่ไม้ไผ่ที่พิเศษอันใด ควรค่าหรือ?
หังต้าเฉียวกับหัวหน้าอีกสองสามคนแม้ว่าเครื่องแต่งกายจะเก่า แต่ก็ไม่ต้องออกไปใช้แรงงานหาเงิน ทุกวันเอาแต่เล่นพนันร่ำสุรา ตามความเข้าใจของหวังทง พลทหารองครักษ์เสื้อแพรที่เทียนจินมีน้อยมากที่ส่งเงินให้พวกเขาเหล่านี้ นายกองร้อยสองสามคนยังสามารถมีชีวิตที่สบายๆ เช่นนี้ได้ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะมีรายได้จากช่องทางอื่น
รายได้นี้คิดว่าน่าจะมาจากการเก็บค่าเช่าโกดังเป็นแน่ ลองคิดดูคร่าวๆ ตัวเลขแม้ว่าไม่มาก แต่ไม่อาจมองข้ามตัวเลขเล็กๆ พวกนี้ไปได้เช่นกัน
ตอนหวังทงอยู่เมืองหลวง ก็เคยได้แลกเปลี่ยนสนทนากับบรรดาร้านค้าบนถนนทักษิณมามาก รู้ว่ายุคสมัยนี้ทำการค้าไม่ง่ายนัก กำไรก็น้อยนิด ไม่อาจใช้จ่ายเงินมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการทำการค้าใดก็ตาม
การค้าไม้ไผ่นี้เมื่อก่อนไม่เคยทำความเข้าใจ แต่การเช่าเรือนมากมายเช่นนี้มาเก็บ และไม่วางกองไว้กลางแจ้ง หรือว่ากำไรจะสูง ไม้ไผ่พวกนี้ทำกำไรได้เท่าไรกัน
“ค่าเช่าเท่าไร?”
หวังทงอยู่ๆ ก็ถามออกมา หังต้าเฉียวอึ้งไป แต่ก็รีบก้าวขึ้นหน้ามาสองก้าวก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าหวังทง พร้อมกับโขกศีรษะอีกสองสามที หน้าตาเหมือนจะร้องไห้กล่าวว่า
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว และค่าเช่าข้าน้อยก็ใช้ไปเกือบหมดแล้ว นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น ใต้เท้า หรือว่าพวกข้าน้อยจะเอาเงินเบี้ยหวัดเมื่อวานมาคืนท่านก่อน…”
หวังทงหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ก็ไม่ออก หัวเราะก็ไม่ออก เอ่ยขึ้นว่า
“เอาเงินแค่นี้ไปทำอะไร ข้าแค่จะถามเจ้าว่า เงินค่าเช่าทั้งหมดเท่าไร”
“…ทั้งหมด 60 ตำลึง จ่ายก่อน 40 อีก 20 รอจะขนส่งลงคลองส่งน้ำก่อนค่อยจ่ายตอนขน…”
หวังทงโบกมือให้หังต้าเฉียวลุกขึ้น เดินฮึดฮัดไปยังกองสินค้าเบื้องหน้า เลิกผ้าออกมองดูลำไม้ไผ่ ราว 20 ลำจะถูกมัดเป็นกอง กองกันขึ้นไปเป็นกองๆ
“เก็บไว้ที่นี่ ตั้ง 60 ตำลึง การค้านี้จะทำกำไรให้พวกเขาได้เท่าไรกัน!?”
หังต้าเฉียวรู้สึกงง แต่ก็มองออกว่าหวังทงไม่ต้องการเอาเรื่องเขา ก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาก ใจก็สงบลง เดิมเขาเป็นพวกนิสัยไร้มารยาท พอได้ยินหวังทงพึมพัมกับตัวเอง ก็อดเขยิบเข้ามาใกล้ไม่ได้ กล่าวว่า
“ใต้เท้า เงิน 60 ตำลึงนี้พวกเขาทำกำไรได้มากกว่านี้อีก?”
“ก็ไม้ไผ่ไม่กี่ลำ เขาจะกำไรเท่าไรกัน?”
“ใต้เท้าท่านไม่รู้ซะแล้ว ไม้ไผ่แต่ละลำนี้พวกเขาซื้อมาจากทางใต้แค่ลำละ 1-2 อีแปะ ใต้เท้าคงไม่รู้ว่าการค้าตอนนี้ ไม้ไผ่ลำหนึ่งในเมืองเทียนจินนี่ขายได้ถึง 30 อีแปะ หากไปถึงเมืองหลวงก็ได้กันถึง 50-60 อีแปะเลยทีเดียว ว่ากันว่าหากขายไปถึงเขตเหลียวตงหรือพวกชาวนอกด่าน 100-200 อีแปะก็ขายได้”
หังต้าเฉียวบ่นไปมาหลายประโยค หวังทงไม่กล่าวอันใด ไม้ไผ่ลำหนึ่งขนจากใต้มาเหนือ กลับมีราคาเพิ่มหลายเท่าตัว ความแตกต่างทางการค้าในยุคสมัยต่างกันมีมากเหลือเกิน
พอได้สติคืนมา หวังทงก็ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“กำไรดีเช่นนี้ ทำไมเจ้าไปค้าขายไม้ไผ่พวกนี้ ขนมาจากทางใต้เองเลยเล่า ไยต้องมากินเงินเล็กๆ น้อยๆ นี่”
“ต้องมีช่องทางการขนส่งสินค้า มิเช่นนั้นระหว่างทางมีด่านภาษีมากเกินไป ยังมีเงินจ่ายค่าผ่านทางใต้โต๊ะอีก แม้ว่าขนย้ายมาได้ก็ไม่ได้กำไรเท่าไร”
หวังทงยิ้มแต่ไม่รับคำ การขนส่งสินค้าเกี่ยวข้องกับการขนเสบียงมายังตอนเหนือ มีสิทธิพิเศษในการงดเว้นภาษี สินค้าพวกนี้คิดว่าน่าจะผ่านมากทางการขนส่งในลักษณะนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องจ่ายภาษี กำไรก็ยิ่งงาม
เขาไม่กล่าวอันใด หังต้าเฉียวกลับพูดไม่หยุดว่า
“ไม้ไผ่พวกนี้วางกองไว้ข้างนอก ลำแตกเสียหายไม่ว่า คนเดินผ่านไปมามีใครบ้างจะไปแอบหยิบไปลำสองลำ เดือนสิบสองขึ้นเดือนหนึ่ง ทุกบ้านก็จะต้องตั้งร้านจุดประทัด ใครไม่อยากได้ไม้ไผ่ใหม่ๆ กันบ้าง ดังนั้นฝากพวกเราไว้ที่นี่จึงวางใจได้ หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรสามารถกำราบคนพวกนี้ได้”
หวังทงเหลือบมองหังต้าเฉียวแวบหนึ่ง ไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ เป็นถึงองครักษ์เสื้อแพรที่ตกต่ำมาถึงขึ้นเฝ้าโกดังให้คนอื่นได้ ยังคิดว่ามีหน้ามีตาอีกหรือ
เดิมเขาคิดว่าเรือนด้านหลังเหล่านี้คงมีของมีค่าอันใด คิดไม่ถึงว่าเป็นเพียงลำไม้ไผ่ ความสนใจก็ลดลงทันที ให้หังต้าเฉียวปิดประตูเดินกลับไปด้วยกัน
“องครักษ์เสื้อแพรเราตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หลังจากใต้เท้ามา ก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกพวกเรา ถึงตอนนั้นไม่ว่าเครื่องลายครามจากเจียงซี ผ้าไหมผ้าต่วนจากเขตแดนใต้ก็จะมาเก็บไว้ที่นี่ได้”
หวังทงอดหยุดฝีเท้าหันหน้ามาถอนหายใจใส่ไม่ได้ กล่าวว่า
“เหล่าหัง เจ้าอย่างน้อยเป็นถึงนายกองร้อย ทำไมไม่ได้เรื่องเช่นนี้…”
กล่าวจบก็เดินเข้าห้องโถงกลางไปทันที ปล่อยให้หังต้าเฉียวยืนส่ายหน้างงอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดกันแน่
ห้องโถงกลางที่เคยเป็นที่เล่นพนันขององครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนี้ วันนี้ได้ทำความสะอาดเรียบร้อย เปิดหน้าต่างและประตูให้ลมถ่ายเท นางหม่ายังสั่งการให้บรรดาผู้หญิงช่วยกันเช็ดถูภายในห้องให้สะอาดสะอ้าน
พอเห็นหวังทงเข้ามา ก็รีบตะโกนสั่งให้ปิดประตู มีคนยกเตาไฟที่มีถ่านแดงเข้ามา ชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด นางตะโกนออกไปทางนอกประตู ให้คนงานชายถอยห่างไป
หวังทงนั่งลง เฉียวต้าหัวหน้าช่างตีเหล็กก็เข้ามา สีหน้าท่าทางตื่นเต้นหวาดกลัว มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง
ความนัยนี้หวังทงย่อมเข้าใจ ไม่คิดจะให้มีคนอื่นอยู่ด้วย พวกถานเจียงน่าจะไปข้างนอกหรือไม่ก็อยู่ที่โรงเตี๊ยม คนอื่นๆ หวังทงก็สั่งให้ถอยออกไป
“นายท่าน ข้าน้อยขอร้องไว้ก่อนนะขอรับ หากข้าน้อยกล่าวอะไรผิดกฏหมายบ้านเมืองไป ใต้เท้าอย่าได้จับข้าส่งทางการนะขอรับ มิเช่นนั้นข้าน้อยจะไม่พูด”
“พูดมา เราคนกันเอง จะไปจับส่งทางการไหนกัน รีบพูดมา!”
“ได้ฟังใต้เท้ากล่าวเช่นนี้ ข้าก็จะพูดละ ที่เทียนจินนี่ดีกว่าที่เมืองหลวงมาก ช่างตีเหล็กเราไม่ว่าจะหาถ่านหินหรือเหล็กก็หาง่ายกว่าที่เมืองหลวง ราคาก็ถูก และมีข้อดีอีกอย่าง พวกช่างเหล็กฝีมือมีมาก ฝีมือก็ไม่เลว”
ได้ยินถึงตรงนี้ก็หยุด หวังทงก็พยักหน้าตาม ยิ้มกล่าวว่า
“นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรือ ขาดเงินก็ไปเบิกที่จางซื่อเฉียง ที่ต้องใช้ก็ใช้จ่ายไป…”
หังต้าเฉียวถูมือไปมา กลับมาวาจาที่ยังกล่าวไม่จบ ท่าทางลำบากใจ กล่าวว่า
“ช่างฝีมือพวกนั้นมีสถานะล่อแหลม ล้วนเป็นช่างจากโรงปืนไฟทางตะวันออกของเมือง นี่ก็…นี่ก็เป็นพวกทำงานให้ทางการ พวกเราเอามาใช้งานก็จะเป็นความผิด แม้ว่าพวกมหาขันทีนั่นวันๆ จะไม่สนใจ แต่หากเอาเรื่องขึ้นมา ก็จะยุ่งยาก…”
ที่แท้เรื่องที่ลำบากใจพวกนี้ ช่างโรงเหล็กในที่ทำการผลิตปืนไฟของทางการล้วนมีสถานะเป็นกึ่งทาส เลี้ยงดูครอบครัวก็ยากลำบาก และก็ไม่มีค่าตอบแทน ต่างก็ไม่อยากลงแรงทำงาน มักจะแอบหนีออกไปหางานส่วนตัวทำกัน ขันทีที่ควบคุมดูแลส่วนใหญ่ก็ปิดตาข้างหนึ่ง พวกเขาก็ได้ประโยชน์เล็กน้อย แต่ไม่สนใจก็ส่วนไม่สนใจ หากเอาเรื่องขึ้นมาก็ย่อมต้องมีโทษสถานหนักกันเลยทีเดียว
หวังทงกลับไม่กลัว พวกขุนนางอาจจะกลัว แต่เขากลับไม่กลัวขันทีพวกนี้ เฉียวต้าพูดมาก็น่าสนใจอยู่บ้าง จึงเอ่ยไปว่า
“ควรจ้างงานผู้ใดก็จ้างไป เกิดเรื่องอะไรก็เอ่ยชื่อข้าไป เรื่องนี้เจ้าไปดำเนินการได้ไม่ต้องกลัว ทำผลงานได้ดีก็จะมีรางวัล เกิดอะไรขึ้นข้าจะรับไว้เอง!”
ได้ยินวาจาหวังทงเช่นนนี้ เฉียวต้าก็วางใจ รีบรับคำ
ทางนี้เพิ่งออกไป จางซื่อเฉียงก็เปิดผ้าม่านเดินเข้ามารานงานว่า
“เมื่อครู่ทำตามใต้เท้าสั่ง ไปตรวจพลตามรายชื่อในสมุดกับถานปิงมารอบหนึ่ง ปรากฏว่าเมื่อวาน 246 คนมาครบไม่ว่า แต่กลับมีมาเพิ่มอีก 32 คน”
“ทำไมจึงมากขึ้น?”
“ข้าน้อยก็แปลกใจ พอถามไปคนเมื่อวานบอกว่าพวกนี้เป็นพลทหารองครักษ์เสื้อแพรในเทียนจินนี่แหละ เพราะว่าไม่มีเงินเลี้ยงดูครอบครัวก็เลยทิ้งงานไปหาเงินทางอื่นแทน หรือไม่ก็กลับบ้านไปทำไร่ทำนา และก็เพราะได้ข่าวจากพวกเมื่อวาน ดังนั้นวันนี้ก็เลยมาด้วย เมื่อครู่ยังมาดึงดันจะเอาข้าวสาร เนื้อหมูและข้าวของอื่นๆ กันข้าน้อยด้วย”
นับดูแล้ว ห้าปีก่อนนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรยังมีลูกน้อง 820 นาย หรือพอได้ยินว่าจ่ายเงินก็วิ่งกลับมาทำงานกันต่อ หวังทงพึมพัมครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า
“ข้าวของทุกอย่างลดครึ่งหนึ่ง แต่บอกกันไว้ก่อนว่า พวกเขาไม่ใช่พลทหารองครักษ์เสื้อแพรแล้ว หากคิดจะทำงานหาเงินก็ได้ แต่เป็นได้แค่คนงานรับใช้ข้าเท่านั้น ปฏิบัติงานองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้ ยอมอยู่ก็อยู่ต่อ ไม่ยอมก็ให้ไป”
จางซื่อเฉียงรับคำสั่ง แต่ก็ยังถามด้วยความสงสัยว่า
“ใต้เท้า พวกเราทำเช่นนี้จะมีถูกคนปากมากกันไปหรือไม่ อย่างไรก็…”
“ล้วนเป็นพวกเดียวกันสินะ งานในหน้าที่พวกเขาทิ้งไปแล้ว ยังจะเป็นพวกเดียวกันได้อย่างไร จะว่าไป พลทหารที่เทียนจินนี่ทุกคนก็ไร้สามารถ 200 กว่านายพวกนั้นไม่อาจไล่ไปได้ เลี้ยงพวกเขาก็คือหน้าที่ราชสำนัก เป็นงานที่ข้ารับผิดชอบ คนอื่นๆ ที่เหลือ ข้าก็ไม่อยากเลี้ยงดูของเสียพวกนั้นไว้ ให้ไปทำงานหาเงินเถอะ!”