ตอนที่ 208 หรือว่าชนปังตอ
“ใต้เท้าท่านนี้ ท่านโปรดรอสักครู่ ขอให้ข้าน้อยเข้าไปรายงานสัก…”
พวกคนที่อยู่ประตูชั้นที่สองรีบกรูเข้ามาอุดประตูไว้ พวกเขาเห็นจุดจบของพวกด้านหน้าแล้ว ก็ไม่กล้ากล่าววาจาเสียมารยาท ได้แต่ขอร้องอย่างน่าสงสาร
แต่ก็ไม่ให้พวกหวังทงเข้าไป หวังทงไม่สนใจ ก้าวเท้ายาวเข้าไปทันที ดาบในมือก็เป็นเหมือนกระบองยาวที่ใช้ฝึกในลานฝึกหู่เวย พุ่งตรงไปหน้าอกของคนด้านหน้า
คนผู้นั้นก็ปฏิกิริยาฉับไว และก็เป็นเพราะหวังทงออมมือให้ แต่กลับเอื้อมมือมาจับไว้ ไว้หน้ากลับไม่เอา หวังทงจึงก้าวเท้ายาวเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง ดึงดาบกลับมา ใช้ตัวกระแทกเข้าใส่
คนงานที่ขวางทางผู้นั้นก็ถูกชนล้มลง คนทั้งคนก็หงายหลังไปด้านหลัง การกระแทกใส่รุนแรงเช่นนี้ ทำให้คนงานผู้นั้นต้องอ้าปากค้างรู้สึกจุกไปทันที
ดีที่ไปชนเอาพวกเดียวกันที่ยันอยู่ด้านหลังจึงได้หยุดเอาไว้ได้ พอหวังทงลงมือ สถานการณ์ก็ชุลมุนขึ้นทันที หม่าซานเปียวคว้าตัวพลทหารผู้หนึ่งที่ขวางอยู่ด้านหน้า ด้วยที่รูปร่างสูงแรงเยอะ ตะโกนขึ้นหนึ่งเสียง ก็เหวี่ยงคนผู้นั้นกระเด็นไปด้านข้าง หลายคนด้านหน้าก็กรูกันเข้ามารับมือด้วยความตกใจ
จางซื่อเฉียงก็แค่ผลักออก ซุนต้าไห่กลับออกหมัดต่อยไปทั่ว พลทหารประจำกองตรวจการพวกนี้ก็ใช่ว่าจะยอมให้ลงมือ จึงพากันตะโกนแล้วก็กรูกันเข้าใส่
ถานเจียงกลับมีสีหน้าสงบนิ่งยืนอยู่ด้านหลังหวังทง ดาบยาวที่เอวก็ออกจากฝัก หากหันสันดาบออก ใช้หลังดาบฟันใส่เท่านั้น
แม้ว่าใช้สันดาบ แต่ด้วยความเร็วราวกับสายลม สันดาบฟันลงบนกล้ามเนื้ออ่อนอย่างเช่นลำคอ หัวไหล่ ข้อพับขา แรง บังคับแรงได้ดี คนที่โดนไม่บาดเจ็บภายใน แต่ในเวลาอันสั้นนั้นก็ไม่อาจต่อสู้ต่อได้อีก
สองมือหวังทงถือดาบปักวสันต์ที่ยังอยู่ในฝัก เพียงแค่ป้องกันกระบองสั้นเท่านั้น ไม่นานพื้นที่ด้านหน้าก็ว่างลงเป็นวงกว้าง
“เจ้าพวกบัดซบ ข้ามาจากเมืองหลวง ยังกล้าขวางทางองครักษ์เสื้อแพรข้าได้ หากไม่ไสหัวไป ดาบของข้าคงได้ลิ้มรสโลหิต”
หวังทงยามนี้กล่าวอย่างดุเดือดก็ไม่แปลก ด้านหน้าและด้านหลังมีคนถูกตีล้มลงไปมากมาย พอมีเสียงตะโกนและจ้องใส่เช่นนี้ คนของกองตรวจการก็ไม่กล้าเข้ามาอีก หดหัวถอยหลังแหวกทางให้ทันที
ซุนต้าไห่กับหม่าซานเปียวและคนอื่นๆ เริ่มหอบหายใจแรง ชุดมัจฉาใหม่ๆ ที่สวมอยู่ก็เป็นรอยสกปรกและขาดวิ่นหลายแห่ง แต่สีหน้ายังคงฮึกเหิม นี่เป็นการลงมือในที่ทำการ
ที่ทำการกองตรวจการก็เหมือนกับที่ทำการอื่นๆ ผ่านประตูสองมาก็คือโถงว่าการ เป็นที่ทำการของนายกองตรวจการ พอก้าวข้ามประตูสองมาก็เห็นว่าในห้องมีแสงสว่าง
ก้าวข้ามประตูสองมา ประตูโถงกลางปิดแน่น ด้านนอกประตูมีทหารสี่นายเฝ้าอยู่ สี่นายนี้ต่างจากพวกประตูสอง ด้านนอกชุลมุนวุ่นวายกันเช่นนี้ มือของทหารพวกนี้จับแน่นอยู่ที่ด้ามดาบ มองดูอย่างไม่ยำเกรง
หวังทงไม่ลังเลอะไร ก้าวเท้ายาวเข้าไปที่กลางลานกล่าวเสียงดังว่า
“นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทง ขอพบใต้เท้าฟานต๋า กองตรวจการ”
“ใต้เท้าฟานกำลังมีแขก ไม่พบคนนอก”
ทหารเฝ้าหน้าประตูตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา คนเหล่านี้เทียบกับคนอื่นๆ ในกองตรวจการแล้วดูลุกลนน้อยกว่า มีความหนักแน่นสงบนิ่งกว่า
ในสมองหวังทงตอนนี้รู้สึกคุกรุ่นขึ้นเล็กน้อย ในใจคิดว่าไม่พบข้าใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกที่ขวางทางก็จัดให้หมอบเลย ดูว่าเจ้าจะพบข้าหรือไม่ บางครั้งปฏิบัติตามธรรมเนียมก็ไร้ผล ทำลายธรรมเนียมไม่แน่ว่าจะได้ผลที่น่าประหลาดได้
เขากำลังจะก้าวเข้าไปอีกก้าว ก็ถูกถานเจียงด้านหลังดึงไว้ กล่าวเบาๆ ว่า
“ใต้เท้า ระวัง!”
ปกติถานเจียงจะเรียกหวังทงว่า ‘นายท่าน’ หากเรียก ‘ใต้เท้า’ แปลว่าเป็นช่วงเวลาไม่ปกติ หวังทงอึ้งไปเล็กน้อยมองไปสองข้าง ที่ลานหน้าห้องโถงกลางนี้ นอกจากทหารเฝ้าประตูสี่นายแล้ว สองข้างทางยังมีหลายนายที่ถือทั้งดาบ หอกและทวนจ้องมองอยู่
คนเหล่านี้สวมเกราะแพรที่ค่อนข้างเก่า มองพวกหวังทงด้วยสีหน้าไม่ให้ความสนใจสักเท่าไร หวังทงกุมดาบไว้มั่น ทหารพวกนี้ไม่ใช่สุนัขรับใช้ที่อาศัยอำนาจนายรังแกผู้คนแบบพวกข้างนอก เห็นได้ชัดว่าเคยผ่านสนามรบฆ่าฟันมาก่อน ตนเองมีกันแค่ห้าคน และยังเป็นอาวุธสั้น ไม่ได้เปรียบอะไร
“ใต้เท้า ที่ทำการเราก็มีระเบียบปฏิบัติ ท่านบุกเข้ามาเกรงว่าไร้ความยำเกรงไปสักหน่อย ตอนนี้รออยู่ที่ประตูนี่ก่อน ให้ข้าน้อยเข้าไปรายงานก่อนดีหรือไม่?”
เดินไปถึงหน้าประตู รอไปรายงานก่อนเกรงว่าคงหายตัวไปแน่น พรุ่งนี้ที่ทำการก็จะปิดถึงวันที่ 15 เดือนหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องมาพบใครแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะลากยาวไปถึงเมื่อไร
หวังทงรู้สึกโกรธแค้น เสียงดังขึ้นว่า
“ข้ามีเรื่องสำคัญของพบ หรือเจ้าหน้าที่อย่างพวกเจ้าคิดจะขัดขวางให้ได้!”
คนด้านหน้าประตูสี่คนก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว บ่าขวาเอียงมาด้านหน้า เป็นท่าเตรียมจะชักดาบ ความหมายก็ชัดเจนแล้ว หากใต้เท้าหวังคิดจะบุกเข้ามา ก็คงต้องลงมือแล้ว
“ลุย” เสียงคำสั่งสั้นๆ ดังขึ้น เสียงเท้าสองข้างก็ดังขึ้นพร้อมกัน ซุนต้าไห่ จางซื่อเฉียง หม่าซานเปียวและถานเจียงสี่คนชักดาบออกมาทันที รับมือด้านละสองคน เพราะว่าสองด้านเป็นชุดดาบ ทวนและโล่ ทวนยาวแทงตรงๆ มา ลงมือกันขึ้นมาจริง ก็จะเอาโล่กำบังไว้ด้านหน้า ทวนยาวแทงมา ก็ตายสถานเดียว
หวังทงสูดลมหายใจลึก ทหารพวกนี้ไม่ปกติ เป็นทหารกองตรวจการไยต้องรุนแรงเช่นนี้ ชุดนายกองพันของเขาก็เห็นอยู่ ทหารพวกนี้กดดันเขาไม่ให้ขึ้นหน้าได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว คิดจะบุกต่อก็ไม่อาจทำได้แล้ว
ยามนี้ที่ห้องมีพ่อบ้านวิ่งอุดหูออกมา ปากก็พร่ำบ่นว่า
“พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าใต้เท้ามีแขก ยังเอะอะเสียงดังเช่นนี้ เดี๋ยวได้โดนโบยแน่…”
เขาก้มหน้าเดินมาตามระเบียง เดินมาได้สองสามก้าวก็เห็นหวังทงที่อยู่ในลานด้านหห้า พ่อบ้านกองตรวจการย่อมรู้จัดชุดตำแหน่งอะไรๆ อยู่บ้าง ก็อึ้งไป ออกคำสั่งกับพวกทหารเสียงเบาๆ ว่า
“อย่าได้ลงมือ ข้าไปเรียนใต้เท้า”
กล่าวจบก็รีบผลักประตูเดินเข้าไป หวังทงกัดฟันไม่กล่าวอันใด นี่มันต้องอดกลั้นถึงเพียงไหนกันนี่ บุกเข้าไปไม่ได้ ก็เหมือนว่าแพ้แล้ว อีกประเดี๋ยวตอนเจรจากันก็ย่อมเสียเปรียบ
“…เมืองจี้โจวสามารถมีกองกำลังเช่นนี้ได้เกรงว่ามีไม่มาก…”
ถานเจียงที่อยู่ด้านข้างกระซิบ ตอนนั้นเอง ประตูใหญ่โถงกลางก็มีชายรับใช้เปิดออก สองคนสวมชุดขุนนางสีแดงเดินออกมา
คนหนึ่งชุดแดงคอกลมสวมหมวกแพรดำ อีกคนสวมชุดแดงสวมหมวกมีปีก ชายวัยกลางคนที่สวมชุดแดงคอกลมสวมหมวกแพรดำย่อมเป็นฟานต๋าแห่งกองตรวจการ อีกคนที่สวมชุดแดงสวมหมวกมีปีกเป็นการแต่งกายแบบขันที ผู้ที่สามารถแต่งระดับนี้ได้และต้องให้นายกองตรวจการออกมาส่ง คิดว่าต้องเป็นว่านเต้า ขันทีผู้ดูแลเสบียงประจำสามกองกำลังพิทักษ์เทียนจินนี่เป็นแน่
ฟานต๋าอายุราวสี่สิบต้นๆ ไว้หนวดเครายาว ใบหน้าหมดจด มีเพียงขอบตาที่ดำคล้ำเล็กน้อย เช่นนี้มิใช่ตรากตรำนอนดึกก็ร่ำสุราเกินขนาด ชื่อว่านเต้าแปลว่าต้นข้าว ตัวผอมแห้งมาก ดูแล้วก็ยิ่งเหมือนต้นข้าวแห้งๆ
“อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ใต้เท้าฟานเชิญกลับเข้าไปเถอะ ไม่ต้องส่งแล้ว”
“ว่านกงกงเกรงใจไปไย…”
สองคนกำลังเอ่ยวาจามารยาท ก็เห็นสภาพหน้าลาน สีหน้าฟานต๋าดำคล้ำลงทันที ถามน้ำเสียงไม่พอใจว่า
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
พ่อบ้านที่เข้าไปเมื่อครู่ดูท่าแล้วคงไม่มีโอกาสได้แทรกรายงาน ยามนี้จึงได้รุดขึ้นหน้ามากระซิบรายงาน เขายังไม่รู้ว่าประตูหน้าและประตูสองเปิดฉากกันไปแล้ว พ่อบ้านผู้นี้กล่าวเพียงสองประโยค เจ้าหน้าที่ที่จมูกเขียวช้ำก็ปรี่เข้ามารายงาน
สีหน้าฟานต๋ายิ่งดำคล้ำขึ้น ส่งสายตาเยียบเย็นไปทางหวังทง ประสานมือคารวะว่านกงกงกล่าวว่า
“ขายหน้าว่านกงกงแล้ว นายกองพันมารับตำแหน่งใหม่ ใต้เท้าหวังไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงมาปิดทางอยู่กันที่ลานนี้ ไม่สะดวกส่งกงกงแล้ว วันนี้ขออภัยอย่างยิ่ง”
การรายงานเมื่อครู่คิดว่าขันทีผู้นี้น่าจะได้ยินอยู่บ้าง ส่ายหน้ายิ้มตอบตามมารยาทว่า
“พวกทำงานที่มาจากเมืองหลวงพวกนี้ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ วางก้ามไปทั่ว ใต้เท้าฟานก็ไม่ต้องโมโหไป สั่งสอนเล็กน้อยก็พอ”
กล่าวจบก็ประสานมือคำนับ จากนั้นมองตวัดตามองหวังทงแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปพร้อมผู้ติดตาม พอจากไปแล้ว สีหน้าฟานต๋าก็เย็นเยียบราวกับก้อนน้ำแข็ง และก็ไม่ยอมเข้าด้านใน ยืนอยู่บนขั้นบันไดถามว่า
“นายกองพันหวัง เจ้าเข้าใจธรรมเนียมหรือไม่ กองตรวจการข้าเป็นสถานที่ราชการสำคัญ ใช่ที่เจ้าจะมาก่อเรื่องหรือ?”
“ข้าน้อยมีเรื่องขอปรึกษา แต่เจ้าพวกบัดซบไร้ลูกกะตาพวกนั้นกลับขวางทางไว้ ข้าน้อยร้อนใจเรื่องงานจึงได้บุกเข้ามา”
“บังอาจ!! ต่อหน้าข้ายังกล่าววาจาเหลวไหล ข้าถามเจ้าเข้าใจธรรมเนียมหรือไม่ ขุนนางผู้ใหญ่ถาม เจ้าไม่รู้หรือว่าควรคุกเข่าลงตอบ?”
หวังทงสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง วาจากล่าวกันถึงขั้นนี้ ทุกอย่างชัดเจนแล้ว ตั้งแต่ต้นจบถึงตอนนี้ได้บอกเรื่องหนึ่งได้ชัดเจนแล้ว นั่นก็คือใต้เท้าฟานต๋าแห่งกองตรวจการนี้ไม่พอใจองครักษ์เสื้อแพร หวังทงไม่อยากจะสนใจประเด็นนี้ ได้แต่ถามเสียงเยียบเย็นว่า
“ใต้เท้าฟาน เบี้ยหวัดสามปีขององครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินติดค้างมาสองปีแล้ว ข้าน้อยมาก็เพื่อถามว่าจะแจกจ่ายให้เมื่อใด?”
ฟานต๋าขมวดคิ้ว น้ำเสียงเย็นเยียบกล่าวว่า
“พูดจากับขุนนางผู้ใหญ่ไร้มารยาทเช่นนี้ ทำไมไม่คุกเข่า!”
“ข้าเป็นขุนนางระดับห้า ใต้เท้าแค่ระดับสี่ พบหน้าก้มกายคำนับก็พอ ไยต้องคุกเข่า!!”
ความโกรธของหวังทงปะทุออกมาในที่สุด เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นเช่นกัน ได้ยินคำพูดของหวังทง ฟานต๋าก็อดแค่นเยาะขึ้นไม่ได้ กล่าวว่า
“เจ้าระดับห้าจะมีค่าอะไร บรรพชนราชวงศ์หมิงมีธรรมเนียม พวกบัณฑิตเรียนรู้ตำรา ตรากตรำร่ำเรียน ระดับแต่ละระดับจึงนับว่าเป็นระดับ พวกเจ้าก็แค่จับดาบถือมีดแกว่งไปมา จะมีระดับอันใดกัน ที่สามกองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจินนี่ นายกองพันคนไหนเห็นข้าแล้วไม่คุกเข่า? หากเจ้าไม่คุกเข่า ข้าจะให้คนช่วยเจ้าเอง จากนั้นค่อยยื่นฎีกาเจ้าว่าไม่รู้จักธรรมเนียม!!”
หวังทงชักดาบในมือออกมา กัดฟันพูดว่า
“ผู้ใดกล้า!!”
ฟานต๋าถอยหลังไปหนึ่งก้าว ตามด้วยรอยยิ้มเยาะ
“เจ้าอายุน้อยเพียงนี้มีความสามารถอันใด แม่ทัพชีให้ทหารมาอารักขาข้า ทุกคนเป็นขุนพลกล้ารบมาร้อยสนามรบ จะจัดการพวกกำเริบอย่างเจ้าไม่ได้หรือ!!”
หวังทงไม่ได้มองไปซ้ายขวา มิน่าพวกองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูจึงดูร้ายกาจ สู้กันก็ไม่แน่ว่าจะชนะ จะบุกเข้าไปจับอีกฝ่ายได้หรือไม่กัน แต่ครั้งนี้มาคุยงาน เหตุใดจึงกลายเป็นเหตุสังหารกัน
กำลังตึงเครียดอยู่นั้น ด้านนอกมีคนวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา กระหืดกระหอบกล่าวว่า
“ใต้เท้าฟาน ใต้เท้าฟาน มีราชโองการมา มีราชโองการมา!”