Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 313

ตอนที่ 313 ปิดประตูตรวจค้น

ไหล่หลุดไปครึ่งท่อน กำลังร้องโหยหวนอยู่นั้น หวังทงก็ถีบเข้าที่ท้อง คนผู้นั้นล้มกลิ้งลงกับพื้น

เสียงร้องหยุดลง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องที่ดังและน่าสยดสยองยิ่งกว่าเดิม ทหารที่อารักขามาก็ไม่รอช้า รีบกระโดดถอยหลังทันที คุกเข่าลงร้องขอชีวิตว่า

“ใต้เท้าหวัง พวกข้าน้อยแค่มาด้วยเท่านั้น ทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องด้วยขอรับ!”

หวังทงระบายลมหายใจออก แม้ว่าเหนื่อยมาก แต่สมองก็ยังราวกับลูกไฟ คนหกพันกว่าเข้าเมืองมาก่อจลาจล แต่ละหน่วยงานกลับยืนรอดู ถ้าตนเองไม่เตรียมตัวป้องกันไว้ก่อน เกรงว่าวันนี้ก็คงต้องเสียเลือดเสียเนื้อ ไยจึงรอให้เรื่องสงบแล้วค่อยมาเพิ่มความสับสนวุ่นวายเยี่ยงนี้

เสียงนกกระจอกจอกแจกเงียบลง ทั้งเชลยและทหารองครักษ์เสื้อแพรต่างก็มองขวานในมือหวังทงด้วยความรู้สึกหวาดกลัว คมขวานกว้างมีเลือดหยดติ๋ง

ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง หวังทงรู้สึกสดชื่นขึ้นหน่อยหนึ่ง พวกที่ทำการในเมืองไหนเลยจะแค่ยืนดู เห็นชัดว่าเป็นใจ

“ไสหัวกลับไปบอกฟานต๋า ในเมืองมีคดีใหญ่ ข้าปิดประตูเมือง ผู้ใดคิดออกจากเมืองให้สังหารให้หมด นำกลับไป!!”

หวังทงตะคอกเยียบเย็น ทหารทั้งสองรีบไปประคองคนผู้นั้นจากไป หวังทงตะโกนดังว่า

“ส่งหัวหน้าออกมา หากไม่ส่งตัวมา รอบข้างมีความผิดเท่ากัน!”

นี่ก็เหมือนกับสอบปากคำมือสังหาร กลิ่นคาวเลือดทั่วลานทำเอาทุกคนต่างหวาดกลัว ทุกคนก่อนมาได้มีการบอกกันว่า พวกเราคนมาก พอก่อเรื่องทางการย่อมหวาดกลัวไม่กล้าลงมือได้แต่ประนีประนอม นายกองพันนั่นยอมอ่อนข้อแล้ว วันเวลาดีๆ ของชาวนาวาสุคนธ์จะกลับคืนมาแล้ว

ความคิดที่ไร้ที่มาที่ไปนี้ได้ถูกทำลายลงสิ้นตั้งแต่ตอนนี้ม้าทะยานออกมาแล้ว พวกนาวาสุคนธ์ส่วนใหญ่เป็นพวกใช้แรงงาน เห็นอาวุธสังหารเช่นนี้ก็ทำให้หวาดกลัวจนแทบเสียสติ ในใจคิดว่าขอเพียงมีชีวิตรอดเท่านั้น

ตอนส่งตัวมือสังหารออกมาเมื่อครู่ก็เช่นนี้ หวังทงถามถึงหัวหน้าก็เช่นกัน หัวหน้าที่สมควรตายนำทุกคนเข้าเมืองมา ตอนนี้งามหน้านัก ผู้ใดก็ไม่อาจหนีได้ ชาวนาวาสุคนธ์ยามนี้รู้สึกเกลียดชังหัวหน้าพวกนี้ยิ่งนัก

เมื่อหวังทงถามจบ ก็ได้ยินด่าทอดังมาจากกลุ่มคน มีหัวหน้าคนหนึ่งด่าทอคนข้างๆ ว่าทรยศ มีบางคนถึงกับพยายามร้องบอก

องครักษ์เสื้อแพรบุกเข้าไปในฝูงชนและจับหัวหน้าแต่ละคนออกมา

“ลงทัณฑ์สอบ เบื้องหลังมีผู้ใดบงการ ติดต่อผู้ใด คืนนี้ผลัดกันไปพัก พักที่นี่ ภาวะฉุกเฉินทั้งเมืองเหมือนเดิม พรุ่งนี้เช้านำคนพวกนี้ออกนอกเมือง”

หวังทงรู้สึกผ่อนคลายลงในที่สุด เห็นรอบด้านถ่ายทอดคำสั่งลงไป คนมากมายหากออกนอกเมืองตอนนี้ ไม่มีที่คุมขัง หากรวมหัวกันหลบหนีก็ย่อมไม่อาจตามจับได้

ประตูเมืองถูกปิด แต่ละครอบครัวไม่ออกจากบ้าน ก็เท่ากับเป็นคุกใหญ่ธรรมชาติ ขอเพียงแต่ละค่ายปิดกั้นท้องถนนไว้ พวกมันจะหนีไปที่ไหนได้อีก อยู่ที่นี่พรุ่งนี้ยังจะซื้อหาอาหารจากชาวบ้านมาให้ทหารได้อีก

ยามนี้ เห็นหัวหน้ากองกำลังของถานปิงโบกมือมา หวังทงก็ยกมือขึ้นโบกรับ ถามถานเจียงข้างๆ ว่า

“จับพวกก่อเรื่องแยกคุมตัว หากมีผู้ใดส่งเสียงปลุกระดม สังหารได้ทันที จบเรื่องข้าค่อยออกหนังสือเป็นหลักฐานให้เจ้าเพิ่มละกัน ลงมือสังหารไปได้เลย!”

ถานเจียงทำความเคารพแบบทหาร หวังทงส่งเสียงขึ้น หลี่หู่โถวกับทหารคนสนิทสิบกว่าคนก็ขึ้นม้าตามไป พลทหารองครักษ์เสื้อแพรทั้งเตะทั้งถีบให้เปิดทาง

ชาวนาวาสุคนธ์ที่ตกใจกลัวอยู่นั้นเห็นหวังทงจากไป แม้ว่าจะถูกมัดอยู่ ไม่รู้ว่าอีกสักครู่จะต้องรอพบกันอะไรอีก แต่ตอนนี้ก็รู้สึกโล่งใจ คนที่อายุน้อยหลายคนเริ่มส่งเสียงร้องไห้

เทียนจินแม้จะไม่ใหญ่นัก แต่ผู้คนหลายหมื่นเบียดแน่นกันอยู่กลางเมือง ที่อื่นๆ ก็เงียบเหงายิ่ง ชาวบ้านอยู่แต่ในบ้านห้ามออกมา นอกจากทหารประจำการบนถนน ก็ไม่เห็นเงาผีตัวใดอีก

พวกหวังทงขี่ม้าออกไป มุ่งไปยังกองคุมกำลังพลประจำที่ทำการศาลในเมือง ซุนต้าไห่กำลังเฝ้าอยู่หน้าประตู พอเห็นหวังทงมาถึง ก็วิ่งลงมาทำความเคารพกล่าวว่า

“ใต้เท้า ตั้งแต่ข้าน้อยมาถึงที่นี่ ที่ทำการก็ปิดประตูแน่น ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป!”

ก่อนกองกำลังหวังทงเข้าเมืองมา ที่ทำการในเมืองแต่ละแห่งยังส่งคงไปรักษาการอยู่ตามท้องถนน แต่พอเห็นกองกำลังหวังทงมาถึง ทุกคนก็หัวหดกันหลบเข้าไป

“เคาะประตูเรียก บอกว่าข้ามา!”

เสียงคำสั่งเย็นเยียบ ซุนต้าไห่กับพลทหารองครักษ์เสื้อแพรรีบเข้าไปเคาะประตู ทุบไปหลายทีพร้อมตะโกนดังว่า

“รีบเปิดประตูเร็ว นายกองพันเราใต้เท้าหวังมา!”

“ปีนข้ามกำแพงเข้าไปเปิดประตูจากด้านใน!!”

พลทหารต่อตัวกันเป็นบันได มีคนขึ้นยืนบนหลังม้าตีลังกาข้ามกำแพงเข้าไป ได้ยินเสียงด่าทอและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น ประตูที่ทำการก็เปิดออก

หวังทงก้าวเท้ายาวเข้าไป พลทหารด้านหลังกรูกันตามเข้าไป เดิมพวกเจ้าหน้าที่ในที่ทำการยังมีสีหน้าโมโห แต่พอเห็นดาบคมที่เต็มไปด้วยคราบเลือดในมือองครักษ์เสื้อแพร ทุกคนก็กลัวกันจนถอยกรูดเปิดทางให้ทันที

ใต้เท้ากาวได้ยินเสียงดังด้านนอกอย่างชัดเจน หวังทงก้าวผ่านห้องโถงสองไป ใต้เท้ากาวจึงได้รีบออกมารับ สีหน้าไม่พอใจ พอเห็นก็ตำหนิว่า

“นายกองพันหวัง บุกที่ทำการข้าด้วยเหตุใด เจ้าและข้าล้วนคนละหน่วยงาน คบค้ากันด้วยมารยาท เจ้าเสียมารยาทเช่นนี้ ข่าวแพร่ออกไปไม่กลัวผู้อื่นหัวเราะเยาะหรือ?”

เพิ่งกล่าวจบ หวังทงก็กระชากคอเสื้อลากเข้ามาใกล้ จ้องหน้าเขาอย่างเย็นชากล่าวว่า

“ข้าไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะ ใต้เท้ากาว นำมือปราบและเจ้าหน้าที่ของท่านไปจัดการคดีกับข้า!”

หวังทงเคลื่อนไหวเช่นนี่ มือปราบของใต้เท้ากาวก็ชักอาวุธออกมาตามสัญชาตญาณ พอพวกเขาขยับตัว พลทหารข้างกายหวังทงก็ชักดาบออกมาพร้อมทวนยาวตั้งท่าพร้อม

สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงที่ทำการท้องถิ่น จะไปต่อกรกับกองทหารระดับที่มีอาวุธพร้อมเช่นนี้ได้อย่างไร สองฝ่ายประจันหน้ากัน ไอสังหารลอยคละคลุ้งไปทั่ว อาวุธของบรรดาเจ้าหน้าที่มือปราบต่างถูกโยนลงพื้นด้วยตนเอง หวังทงมองสีหน้าที่ซีดเผือดของใต้เท้ากาว

กลิ่นคาวเลือดบนตัวหวังทงรุนแรงนัก ใต้เท้ากาวย่อมได้กลิ่น ตอนหวังทงปล่อยมือ เขาไม่กล้ากล่าวอันใดอีก

“ในเมื่อเกิดคดีใหญ่ ข้าก็ต้องเรียกกำลังก่อน ใต้เท้าหวังโปรดรอสักครู่”

แค่ชั่วระยะเวลาที่กล่าวอยู่ไม่นานนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่กองอาญากับมือปราบก็มากันพร้อม แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกตึงเครียด แต่ก็ไม่ได้กลัวเกรงอันใด ทุกคนเป็นคนทางการ หวังทงบอกว่าไปสืบคดี ก็คงไม่ทำให้ต้องลำบากใจ

หวังทงขึ้นม้า ใต้เท้ากาวก็ค่อยๆ ตะกายขึ้นม้า พอขึ้นม้าได้ก็เขยิบเข้ามาใกล้ยิ้มเฝื่อนๆ กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“ใต้เท้าหวัง ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเทียนจินที่ถูกส่งมาจากศาลเมืองเหอเจียนเท่านั้น ใต้เท้าฟานเป็นคนของกรมทหาร ว่านกงกงเป็นคนในวัง ขุนพลหลี่เป็นคนของเมืองจี้โจว ใต้เท้าแต่ละท่านประลองกำลังกัน ข้าน้อยไม่กล้าข้องเกี่ยว”

“ตามท่านมาจัดการคดี ย่อมมิใช่การทำร้ายท่าน จะว่าไป สถานการณ์ในเมืองเช่นนี้ ใต้เท้าไม่เข้าใจหรือ”

วงการราชการมักพูดจากันแค่สามส่วน ใต้เท้ากาวคิดว่ากล่าวได้ชัดเจนแล้ว คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะกล่าวได้ตรงกว่า ชั่วครู่หนึ่งก็ไม่รู้ควรกล่าวอันใดดี ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ส่ายหน้า

********

คนของที่ทำการตามไปอย่างงงๆ พอถึงสำนักองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจิน ถนนห่างจากถนนที่ทำการถนนหนึ่ง

ที่นั้นเป็นเขตพื้นที่ชาวบ้านยากจนในเมือง บ้านเรือนและถนนทรุดโทรม ตอนพวกหวังทงมาถึงก็เห็นหม่าซานเปียวกำลังนำพลทหารม้ารออยู่

หวังทงเข้าไปใกล้ถามว่า

“ยังอยู่ด้านในหรือไม่?”

“พี่น้องเราตะโกนบอกแล้วว่าห้ามออกมา ไม่มีผู้ใดออกมาแม้แต่คนเดียว ข้าน้อยจัดคนเฝ้าไว้หมดแล้ว ไม่มีผู้ใดออกมา!!”

หม่าซานเปียวตอบหนักแน่น น้ำเสียงไม่นับว่าเบา พวกใต้เท้ากาวย่อมไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน หวังทงพยักหน้า กล่าวขึ้นง่ายๆ ว่า

“เข้าไปจับกุม!”

คำสั่งลงไป องครักษ์เสื้อแพรรอบๆ ก็ตีวงล้อมเข้ามา สี่คนแบกท่อนไม้กลมสูงเท่าคนวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหน้าประตู คนด้านหลังสิบกว่าคนยกโล่กระชับดาบเรียงแถว ทุกคนย่องเข้าประชิด

เสียงตะโกนดัง สี่คนแบกท่อนไม้กลมกระแทกประตู ประตูนั้นเป็นประตูเก่าๆ พังๆ สลักด้านในก็เป็นแค่กันคนผลักเข้าไปเท่านั้น

เสียง ‘ผัวะ’ ดังขึ้น สลักประตูหัก ประตูทั้งบานเปิดกว้าง ด้านในมีคนทั้งนั่งยองๆ และยืนอยู่ สีหน้าร้อนรน พอเห็นคนกรูกันเข้ามา ชั่วขณะหนึ่งก็ได้แต่อึ้งไป ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร

พลทหารองครักษ์เสื้อแพรที่ถือดาบและโล่อยู่ก็ตามเข้ามา ทุกคนตะโกนคำรามดังลั่นว่า

“วางอาวุธ ยกมือขึ้นละเว้นชีวิต!!”

แต่ในเวลาอันสั้นนี้ คนในลานยังไม่ทันตั้งสติได้ การเคลื่อนไหวแรกจึงได้แต่จับอาวุธ แต่จะไปทันได้อย่างไร คนหนึ่งคิดจะสู้ ดาบหลายเล่มก็ฟันลงมา ในที่สุดก็มีสองคนได้สติ คุกเข่าลงโขกศีรษะราวกับครกตำพื้นไม่หยุด

ในห้องมีเสียงร้องอย่างตกใจและโมโห จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากด้านหลัง รอจนหวังทงก้าวเข้าไป ที่พื้นก็มีคนคุกเข่าคอตกกันอยู่หกคน

พานหมิงก็คุกเข่าอยู่ในนั้น ทั้งตัวสั่นราวกับลูกนก หวังทงมองข้ามไป เขาแอบพยักหน้าให้เล็กน้อย หวังทงหันไปทางใต้เท้าก้าวกล่าวว่า

“นาวาสุคนธ์ก่อจลาจล นี่เป็นเรื่องใหญ่ ราชสำนักย่อมไต่สวน ที่นี่เป็นรังของพวกก่อจลาจล ขอมือปราบใต้เท้าและองครักษ์เสื้อแพรร่วมกันตรวจค้น!”

เรื่องมาถึงขั้นนี้ ยังจะอย่างไรได้อีก ใต้เท้ากาวตอนนี้ได้แต่พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ สั่งมือปราบที่ตามมาสองสามคนก็เริ่มลงมือตรวจค้น

หวังทงไม่สนใจคนที่คุกเข่าอยู่ที่นั้น เพียงแต่หาที่ลงนั่งพัก ฟ้าเริ่มมือแล้ว เมืองเทียนจินเงียบสงัดผิดปกติ

ไม่นานก็มีตะโกนดังมาจากด้านในว่า

“พบแล้ว!”

มือปราบผู้หนึ่งถือสิ่งของบางอย่างก้าวออกมา สองมือประคองส่งให้หวังทง

ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน พระพุทธรูปประทับบนดอกบัว สองมือชูขึ้น ที่กลางฝ่ามือและกลางหน้าท้องมีพระอาทิตย์ดวงเล็ก…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version