Skip to content
Home » Blog » องครักษ์เสื้อแพร 314

องครักษ์เสื้อแพร 314

ตอนที่ 314 ในเมืองและนอกเมืองที่คาดไม่ถึง

“พระพุทธรูปองค์นี้คุ้นมาก!”

หวังทงยิ้มเยาะ หม่าซานเปียวและหลี่หู่โถวที่คอยอยู่ข้างกายหวังทงก็เขยิบเข้าไปดูใกล้ๆ ตะโกนร้องดังทันที

“นี่มันของบัดซบที่พวกลัทธิไตรสุริยันบูชานี่”

วัดฮุ่นหยวนที่บูชาพระพุทธรูปไตรสุริยันในเมืองหลวงเป็นแห่งแรกที่หวังทงต้องเผชิญกันกลิ่นไอสังหาร หลี่หู่โถวและหม่าซานเปียวก็ได้รับรู้ในระดับที่ต่างกัน

“ใต้เท้าหวัง นี่คือ…?”

ใต้เท้ากาวถามขึ้น ลัทธิไตรสุริยันกับสำนักไตรสุริยันฟ้าดินล้วนอยู่ละแวกเมืองหลวง เขาย่อมไม่รู้ หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“เจ้าของเด็กเล่นนี้เรียกว่า พุทธรูปไตรสุริยันแห่งวัดฮุ่นหยวน เป็นของพวกปีศาจ ข้าได้ร่วมปราบปรามคดีนี้ที่เมืองหลวง เคลื่อนกองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายประจำพระองค์แห่งสำนักอาชาหลวงเข้าปราบปรามสำนักนี้ได้สำเร็จ!”

พอได้ยินคำว่า อาชาหลวง สามพยางค์นี้ ใต้เท้ากาวก็ไม่กล้าถามต่อให้มากความ เรื่องในวัง รู้มากยิ่งมีภัยมาก หวังทงรับพุทธรูปมาพลิกดูอย่างละเอียด

ของสิ่งนี้ไม่ได้เห็นมาหนึ่งปีกว่าแล้ว แต่ยังสามารถพึ่งพาความทรงจำให้โรงตีเหล็กหลอมออกมา ก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนของเดิมหรือไม่ มองอยู่ครู่หนึ่งก็หรี่ตามองไปยังชาวนาวาสุคนธ์ที่คุกเข่าอยู่ พานหมิงเอาแต่โขกศีรษะอยู่ที่พื้นด้วยเกรงว่าตนเองจะหลุดท่าทางพิรุธออกไป

ชาวนาวาสุคนธ์คนอื่นๆได้แต่คอตกไม่กล้าขยับเขยื้อน แต่ตอนนี้กลับมีคนผู้หนึ่งจ้องพุทธรูปในมือหวังทงเขม็ง หวังทงอึ้งไป คนผู้นี้หวังทงรู้จัก จึงยิ้มถามว่า

“หัวหน้าเผียวรู้จักสิ่งนี้หรือไม่?”

หัวหน้าเผียวตัวสั่นไปทั้งตัว ดูเหมือนลมรั่วออกจนอ่อนนิ่มไปหมด หวังทงน้ำเสียงเยียบเย็น กล่าวต่อว่า

“ยามหัวหน้าเผียวจัดมือสังหารมา คงไม่ใช่อาการอ่อนนิ่มเช่นนี้กระมัง”

หัวหน้าเผียวตัวแข็งทื่อราวกับซากศพ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ปฏิกิริยานี้เหมือนว่าจะแปลกไปสักหน่อย หวังทงไม่ทันได้สนใจ

สิ่งของต่างๆ ในห้องถูกตรวจค้นออกมาหมด อาวุธสั้นยาวไม่ต้องกล่าวถึง เงินทองก็มีไม่มาก ยังมีเครื่องหมายไตรสุริยันขนาดทั้งใหญ่และเล็ก ยังมีคัมภีร์ลัทธิไตรสุริยันอีก ของพวกนี้ หวังทงรู้หมดแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอันใด

มือปราบหลายนายที่ตามใต้เท้ากาวมานั้นเป็นพวกชำนาญการ เมื่อค้นหาอันใดไม่พบ ก่อนจบงานยังเข้าไปขยับโอ่งน้ำในห้องออก

จากคำอธิบายของเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาญา โอ่งน้ำเต็มย่อมมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ใต้โอ่ง ไม่มีผู้ใดสนใจ โอ่งหนักย่อมไม่ค่อยมีผู้ใดอยากจะขยับ ด้านล้างไม่แน่อาจมีทางเข้าใต้ดินอยู่ก็ได้

ไม่มีห้องใต้ดิน แต่พอคว่ำโอ่งลงกลับเห็นเครื่องประดับชิ้นเล็กข้างใน น่าจะเป็นพวกที่หนีกันอย่างกระชั้นชิดโยนลงไป พวกมือปราบนำมาให้หวังทงดู

เป็นพุทธรูปไตรสุริยันองค์เล็กทำจากทองแดง ครั้งนี้หวังทงไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว เพราะองค์นี้ไม่ใช่องค์ที่เขาสั่งให้หลอมขึ้น หวังทงยกพุทธรูปขึ้นส่องกับแสงเพ่งมองอย่างละเอียด

พานหมิงป้ายความผิดครั้งนี้ แม้แต่หลี่หู่โถวยังไม่รู้ คนอื่นก็ยิ่งไม่รู้ พวกยันต์ป้องกันตัวใหญ่เล็ก คัมภีร์พวกนั้นล้วนเป็นหวังทงสั่งให้เฉียวต้าทำขึ้น พานหมิงเอามาวางไว้ตามที่หวังทงสั่ง ในนี้ย่อมไม่มีคำสั่งให้โยนลงน้ำ

พุทธรูปองค์เล็กนี้มีเชือกร้อยไว้ หวังทงชูขึ้นถามว่า

“ของผู้ใด!??”

ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมอง นอกจากเผียวเฉวียนแล้ว คนอื่นๆล้วนมีสีหน้างุนงง หวังทงเดินไปหน้าเผียวเฉวียน ยิ้มถามว่า

“หัวหน้าเผียว คิดไม่ถึงว่าท่านนับถือพุทธไตรสุริยันด้วย หรือว่าท่านก็เป็นพวกไม่มีสิ่งนั้นด้วย?”

เผียวเฉวียนหน้าตาเหมือนชาวชนเผ่าเกาหลี หน้าตาแบนเรียบไม่เห็นส่วนนูนเว้า ยามนั้นเขาไม่มีความกล้าหรือกำลังวังชาใดหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ถึงกับเอาแต่โขกศีรษะไม่หยุด ได้แต่ร้องขอชีวิต

“ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิตด้วย…”

หวังทงหันไปหยิบขวานสั้นขึ้นมา ส่งสัญญาณให้สองคนเข้ามาจับแขนเผียวเฉวียนให้กางออก หันสันขวานสับลงไป มือขวาของเผียวเฉวียนช้ำเลือดขึ้นมาทันที

ใต้เท้ากาวและบรรดามือปราบเจ้าหน้าที่ต่างขมวดคิ้วหันหน้าหนีทันที หวังทงไม่สนใจเสียงร้องโหยหวนของเผียวเฉวียน คำรามถามว่า

“ผู้ใดนับถืออีก เหตุใดจึงนับถือ เล่ามาให้ละเอียด!! บอกเจ้าไว้เลยว่า เจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย จะเป็นทีละดาบหรือจะให้เจ้าได้ตายสบาย ก็ต้องดูว่าเจ้าจะพูดหรือไม่พูด!”

เผียวเฉวียนเป็นชายร่างกำยำ แต่ก็มีจุดอ่อนแบบชาวเผ่าเกาหลี ไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ พอต้องเผชิญกับความเป็นความตายจึงได้แต่ตกใจจนเข่าอ่อน

มือถูกทุบแตก เผียวเฉวียนน้ำตาไหลพราก ส่งเสียงร้องไม่หยุด หวังทงถามไม่ทันไดตอบ หวังทงรอครู่หนึ่ง ก็ทนไม่ไหว้ถามต่อว่า

“เอามืออีกข้างมันออกมา!!”

“…อาจารย์ข้าน้อยคือหัวหน้าจิน….จินโต่วชางผู้นั้น…จินโต่วชางสืบทอดให้ข้าน้อย บอกว่าผู้ที่นาวาสุคนธ์ไว้ใจที่สุดจึงจะสามารถนับถือพุทธไตรสุริยันได้…ข้าน้อยยังมีพี่น้องอาจารย์เดียวกันอีกห้าคน…ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิต…ข้าน้อย…ยอมพูดแล้ว…”

หวังทงหรี่ตามองพานหมิง พานหมิงกลับจ้องมองเผียวเฉวียนเขม็งอย่างโมโหมาก คิดว่าพานหมิงเป็นแกนนำสำคัญสุดแล้ว แต่กลับไม่รู้เรื่องพุทธไตรสุริยันแม้แต่น้อย

“จินโต่วชางตอนนี้อยู่ที่ใด?”

เมื่อมองเห็นขวานห่างจากมืออีกข้างไม่ไกล เผียวเฉวียนก็ทนเจ็บปวดไม่ไหวพูดออกมาหมด หวังทงหันไปสั่งซุนต้าไห่ว่า

“นำตัวคนที่นี่กลับไปให้หมด ให้พี่น้องเจ้าที่พามาจากเมืองหลวงเฝ้าคุมตัวไว้ นอกจากข้าแล้วไม่ให้พบผู้ใด เข้าใจแล้วใช่ไหม!?”

หวังทงกล่าวจริงจัง ซุนต้าไห่คำนับรับคำหนักแน่นแบบทหาร หวังทงหันไปทางใต้เท้ากาวกล่าวว่า

“ใต้เท้ากาว ทุกเรื่องในวันนี้ ทางท่านกับข้าร่วมเขียนรายงานแล้วค่อยประทับตราส่งไปเมืองหลวง”

เห็นท่าทางหวังทงและพุทธรูปไตรสุริยัน ได้ยินวาจาเช่นนี้ ใต้เท้ากาวก็ย่อมรู้ว่าตนเองเข้ามายุ่งกับเรื่องยุ่งยากแล้ว แต่เรื่องนี้ถึงขั้นนี้ ยังจะอย่างไรได้อีก ได้แต่ขมวดคิ้วยุ่งยากรับคำเท่านั้น

หวังทงไม่รอช้าแม้แต่น้อย รีบก้าวออกจากประตูไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น กองกำลังใหญ่จากไปไกลแล้ว

***********

จินโต่วชางอยู่บนเรือลำหนึ่งบนแม่น้ำแต่เช้า ในเรือมีเตาดินเหลืองกำลังอุ่นสุรา โต๊ะเล็กข้างๆ มีกับแกล้มสองสามอย่าง

ชายชาวเผ่าเกาหลีผู้นี้มองดูชาวนาวาสุคนธ์จากท่าเรือเข้าเมือง ก็ยิ้มร่าหลบอยู่ในเรือ ร่ำสุราไปอย่างมีความสุข ยังกล่าวกับนายเรือคนอื่นๆ ด้วยว่า

“ตอนข้าอยู่เกาหลี มีแต่ปีใหม่จึงได้ดื่มสุราขาวสองสามวัน ต่อมาไปประเทศวัว จึงได้รู้ว่าเมื่อก่อนไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนเลย พอมาราชวงศ์หมิงนี่ จึงได้รู้ว่าที่ประเทศวัวก็ไม่เท่าไร ไม่รู้ว่าตอนใต้แผ่นดินนี้เป็นเช่นไร ต้องไปชมเป็นขวัญตาสักหน่อย”

นายเรือใหญ่เหมือนรู้สถานะของเขาดี จึงยิ้มก้มหน้า ไม่ตอบรับอันใด

ขบวนนาวาสุคนธ์ไปได้ไม่นาน กองกำลังองครักษ์เสื้อแพรก็ปรากฏ จากนั้นประตูเมืองก็ปิดลง จินโต่วชางยิ้มไม่ออกอีกต่อไป

เขาเดินไปมาอยู่หัวเรือก็ถูกนายเรือใหญ่เรียกให้กลับลงไป คลองส่งน้ำเทียนจินยามนี้ติดขัด เรือเดินต่อไม่ได้ ประตูเมืองยิ่งปิดนาน ข่าวที่แอบส่งมาเป็นระยะก็เริ่มหายไป จินโต่วชางเหงื่อท่วมใบหน้า ยิ่งร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเห็นดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า จินโต่วชางก็เดินออกมาอย่างร้อนใจว่า

“พี่น้องทุกท่าน ผิดปกติแล้ว เรือไม่อาจออกเดินทางได้ พวกเราอย่างไรก็ขึ้นไปนั่งกันบนฝั่งก่อน ข้าคุ้นเคยกับที่นี่ จะเรียกรถพาพวกเราไปกันก่อน อย่าให้ถึงเวลาหนีไม่ทัน”

นายเรือใหญ่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า

“ท่านไม่ต้องร้อนใจไป นายสั่งไว้แล้ว หากออกเรือไม่ได้ ถึงเวลานั้นก็จะส่งรถม้ามารับพวกเรา หากพวกเราไปตอนนี้ ทิ้งที่นี่ให้รกร้างว่างเปล่า ย่อมไม่เป็นการดีแน่”

จินโต่วชางสบถด่าสองสามคำ แต่ตอนนี้อยู่กลางคลองส่งน้ำ แม้คิดจะหนี รอบด้านก็มีแต่น้ำ เขาอายุมากแล้วหนีไม่ไหว คนสนิทอย่างพวกเผียวเฉวียนก็ส่งเข้าเมืองไปหมด ได้แต่กลับไปรอในห้องเรือ

พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า นายเรือใหญ่เอาแต่ยืนมองไปประตูเมือง จินโต่วชางออกมาอีกรอบ กำลังคิดจะกล่าว หัวหน้าเรือกลับไม่รู้ว่าเห็นอะไร หันมายิ้มกล่าวว่า

“ท่านกลับไปเก็บของก่อน เราจะเข้าเทียบท่า”

จินโต่วชางรู้สึกผ่อนคลายลงในที่สุด สัมภาระข้างกายในนั้นมีทองคำ 150 ตำลึง ยังมีเครื่องหยกหลายชิ้น นี่เป็นเงินติดตัว ไม่อาจทิ้งได้

รีบหันไปหยิบก่อนจะตามนายเรือใหญ่เข้าไป

เสียงร้องดังโหยหวนดังแล้วเงียบลง ไม่มีคนบนคลองส่งน้ำได้ยิน ไม่ผู้ใดสังเกตเห็น

**********

หวังทงกับลูกน้องรีบรุดมาถึงเรือที่ขึ้นธงดำ นอกจากศพจินโต่วชางแล้ว ก็ไม่พบสิ่งใด

ตามคำให้การของเผียวเฉวียน ในเมืองมีหัวหน้าสิบกว่าคน หลังเกิดเรื่องก็ออกจากเมืองไป จากนั้นก็ขึ้นเรือธงดำ เร่งเดินเรือข้ามคืนไปยังซานตง

แต่ตอนที่มาถึงที่ก็เห็นแต่ท้ายทอยของจินโต่วชางถูกมีดฟันเป็นแผลใหญ่ เลือดไหลนองเต็มท้องเรือง ลองสอบถามละแวกใกล้เคียงกับบรรดาเรือข้างๆ นายเรือและคนงานบนเรือลำนี้เมื่อครู่ลงจากเรือบอกว่าคืนนี้ไม่อาจเดินทางได้ ขึ้นฝั่งหาสุราดื่มก่อนค่อยกลับมา

“กลับเข้าเมือง เตรียมม้า 40 ตัว พรุ่งนี้หรือคืนนี้ก็จะส่งสารด่วนไปเมืองหลวง”

ตอนออกจากเรือมา หวังทงก็สั่งเสียงเย็นเยียบ

************

“เจ้าทารกไร้เดียงสา เจ้ารนหาที่ตายเอง ก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ แม้แต่โอรสสวรรค์ย่อมไม่อาจปกป้องเจ้า”

ณ ที่ทำการกองตรวจการ ฟานต๋าเดินไปเดินมาด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน เอาแต่บ่นกับตัวเองไม่หยุด เดินไปครู่หนึ่งก็หยุดตะโกนดังว่า

“เตรียมม้าฝีเท้าดีและคนให้พร้อม พรุ่งนี้พอประตูเมืองเปิด มีข่าวด่วนส่งเมืองหลวง รีบไปเตรียมการ อย่าได้ชักช้าให้เสียการ!!”

*************

“ข้าจะหาเหตุใดโจมตีเมืองหลวง กรมทหารยังไม่มีคำสั่งมา ในเมืองก็ไม่มีขุนนาง ชาวบ้านผู้หนึ่งออกมาขอความช่วยเหลือ แต่หวังทงกลับบอกว่าองครักษ์เสื้อแพรปิดเมืองจับโจร จะว่าไป ประตูเมืองปิด ข้าจะโจมตีได้อย่างไร ในมือข้ามีทหารแค่ห้าพันนาย หวังทงนั้นมีเกือบสี่พันนาย!”

“เช่นนี้ท่านไปโจมตีแม่น้ำทะเลทางนั้นได้หรือไม่…”

“เหลวไหล!! ที่นั้นมีปืนใหญ่สิบกว่ากระบอกตั้งอยู่ เจ้าอยากตายก็ไปเอง อย่ามาดึงทหารข้าไป!

***********

“จะต้องเขียนให้ละเอียด อย่าเขียนเรื่องเหลวไหล เราเห็นอะไรก็เขียนไปอย่างนั้น”

พวกสำนักบูรพาประจำเทียนจินเหงื่อท่วมใบหน้า สีหน้าเคร่งเครียดกำชับลูกน้อง กล่าวจบก็ปาดเหงื่ออย่างเคร่งเครียด พึมพำกับตนเองว่า

“หายนะแท้ เรื่องนี้ไม่มีลมเล็ดรอดมาก่อนเลย ได้แต่ขอให้นายกองพันหวังปกป้องแล้ว…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version