ตอนที่ 627 มีความสามารถควรใช้งาน เหนื่อยกายหากผ่อนคลาย
การมองความตายเหมือนการกลับบ้านนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะคิดได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกลัทธิไตรสุริยันพวกนี้ ลัทธิไตรสุริยันในวังเพื่อฟื้นคืนพลังหยาง เพื่อความร่ำรวยนอกวังทั้งนั้น มีแต่คนบ้าเช่นหลินซูลู่คนเดียวที่ไม่เหมือนคนอื่น
หวังทงน้ำเสียงเรียบ หากทุกคนรู้ว่าจริง ถูกส่งไปเมืองหลวง สำนักบูรพา องครักษ์เสื้อแพรและกรมอาญาย่อมเกรงว่าต้องผ่านทุกที่อย่างละรอบ แต่ละการลงทัณฑ์นั้นล้วนต้องผ่าน อาจเรียกได้ว่า เป็นไม่สู้ตาย
คิดถึงตรงนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมชาวาบไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัว หวังทงกล่าวจบ คนบนพื้นก็หยุดด่าทันที ดาบในมือหวังทงลากผ่านก้อนอิฐบนพื้นไป ส่งเสียงครืดคราด ก่อนจะถามขึ้นว่า
“นายท่านรองคือใคร? ใช้น้องชายนายใหญ่เจ้าหรือไม่?”
“…รู้แค่ว่านายใหญ่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า คนที่ทำการนอกวังก็คือนานท่านรองผู้นี้…”
หวังทงพยักหน้าถามต่อว่า
“นายท่านรองชื่ออะไร ยังมีนายท่านสามอีกใช่หรือไม่?”
“……หลินซูฝู นายท่านสามชื่อหลินซูไฉ คนทั่วไปเรียกว่าไฉฝูหลิน เดิมเป็นเถ้าแก่ใหญ่อยู่เทียนจิน”
“ไฉฝูหลินไปไหนแล้ว?”
“สามวันก่อนลงมือ นายท่านสามก็หายตัวไปแล้ว แม่นางอวี้เหนียงจื่อที่ซื้อตัวมากับคนข้างกายก็หายตัวไปด้วย……”
เหมือนกับข่าวที่ตนได้มา หวังทงเงียบไป ก่อนจะตะโกนเรียกหลี่หู่โถวเข้ามา กล่าวว่า
“ลากเจ้านี่ออกไปตัดหัว แล้วนำอีกคนเข้ามา”
เห็นๆ ว่าตัดหัวสังหารชีวิต หากเชลยที่แข็งกร้าวก่อนหน้านี้ ยามนี้กลับถอนหายใจโขกศีรษะเสียงดัง ก่อนจะถูกหลี่หู่โถวกับลูกน้องลากตัวออกไป
คนที่สองก็ยังคงแข็งกร้าว พร่ำแต่ว่า ‘นายท่านรองดีต่อข้าไม่น้อย แน่จริงเจ้าก็สังหารข้าสิ’ หวังทงเพียงแสยะยิ้มก่อนจะให้คนมาจับมัดไว้ พรุ่งนี้ให้ขุนนางท้องที่ส่งตัวไปเมืองหลวง
พอถามถึงคนที่สาม คนผู้นี้กลับรู้งานดี ถามอันใดก็ตอบ เหมือนที่คนแรกพูดไม่น้อย หวังทงจึงให้เขาจบชีวิตอย่างสบาย
เชลยทั้งหมด 5 คน ถูกคราดและจอบของคนโรงบ้านตระกูลชิวทำร้ายบาดเจ็บไม่น้อย คนที่สี่ที่ถูกนำตัวเข้ามา ลี่เทาก็รีบวิ่งเข้ามาในห้อง สีหน้าลี่เทาเคร่งเครียดอยู่มาก โบกมือให้นำตัวเชลยออกไปก่อน
พอในห้องไม่มีคนนอก ลี่เทาเขยิบเข้าไปใกล้กระซิบว่า
“เมื่อครู่ไปสอบปากคำ คนในนั้นมองไปทางคนเดียว ก็คือคนที่ออกคำสั่งผู้นั้น เขาว่าตนเองเป็นพวกลัทธิไตรสุริยันมาหาพี่หวังเพื่อแก้แค้น”
หวังทงอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะออกมาทันที ชี้ไปด้านนอกกล่าวว่า
“เจ้ารู้ไหมเมื่อครู่ข้าถามเจ้าพวกนั้นไปเป็นพวกใด? พวกเขาบอกว่าตนเองเป็นชาวลัทธิไตรสุริยัน”
ลี่เทาอึ้งไป ลัทธิไตรสุริยันถูกทะลายในเมืองหลวงอย่างหนัก หากที่นี่มีสองกลุ่มมาโจมตี หากรวมกำลังกันได้นับว่ากำลังใหญ่ยิ่ง กลับสังหารกันเอง ท่านรองของอีกกลุ่มหนึ่งเป็นถึงหัวหน้าลัทธิไตรสุริยันนอกวัง แม้แต่คนผู้นี้ก็ไม่รู้จัก ยังบอกว่าตนเองเป็นพวกลัทธิไตรสุริยัน
หวังทงยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“ไม่ต้องถามมากความแล้ว ให้คนด้านนอกเข้ามาทีละคน ต้องคุมตัวให้ดี อย่าให้พวกเขาพบกัน พรุ่งนี้กลับเทียนจินไปยังต้องจับขังแยก”
ลี่เทาแม้ว่าไม่เข้าใจ หากก็ยังรับคำสั่งออกไป นำคนเข้ามา
……
“ลัทธิไตรสุริยันยังมีคนหลงเหลืออีกไม่น้อย นอกจากคนที่หลินซูฝูพามาแล้ว ยังมีคนอื่นอีกไหม?”
“……ยังจะมีอีกได้อย่างไร คืนนั้นสังหารไป ตอนนี้ยังออกจับกุมไปทั่ว ตายไปก็ตายไป ถูกจับก็ถูกจับไป ไม่ก็หนีไป ท่านรองดีกับพวกเราไม่น้อย……”
***************
ท้องฟ้าเริ่มมีแสงรำไร ในที่สุดหวังทงก็นั่งสัปหงกอยู่ในโถงกลาง ชาวโรงบ้านถูกเรียกตัวมากลางดึก ผ่านการต่อสู้ ยังได้เงินก้อนโต แต่ละคนก็คึกคักยิ่ง
คนโรงบ้านนำป้ายประจำตัวหวังทงไปในเมืองเชิญเจ้าหน้าที่มือปราบมา เห็นป้ายนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทง คนในเมืองย่อมไม่รอช้า เส้นทางเมืองหลวงกับเทียนจิน ผู้ใดไม่รู้จักชื่อหวังทง คนในพื้นที่มากมายเท่าไรไปเทียนจินหากิน ยังมีคนอีกมากมายเท่าไรร่ำรวยจากเทียนจิน
ได้ยินใต้เท้าหวังถูกจู่โจมที่โรงเตี๊ยมในพื้นที่รับผิดชอบตน เจ้าหน้าที่ทั้งอำเภอก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ หากเกิดเหตุขึ้นจริง ตนเองย่อมจบสิ้นกันครานี้เป็นแน่
พอถึงเกือบเที่ยง นอกจากเจ้าหน้าที่ราว 20 กว่าคนมากันหมดแล้ว ยังมีชายฉกรรจ์จากตระกูลใหญ่ในเมืองนอกเมืองที่รวมตัวกันมาอีก รวมได้ร้อยกว่าคนก็มาถึง
เชลยลัทธิไตรสุริยันเมื่อคืน เหลือรอด 2 ชีวิต ตามร่างกายมีบาดแผล ถูกมัดไว้แน่นหนา คนร่วมร้อยมากุมตัวไป ช่างเป็นเรื่องเล็กทำให้เป็นเรื่องใหญ่เสียจริง
หวังทงจัดคนกองกำลังหู่เวยผู้หนึ่งตามไปด้วย คุมตัวพวกลัทธิไตรสุริยัน 2 คนที่ยังเหลืออยู่กลับเมืองหลวง หน่วยงานอาญาแต่ละหน่วยย่อมต้องทำให้เขาอยู่มิสู้ตาย อาจจะทำให้กล่าวอันใดออกมาอีกก็เป็นได้ แต่หวังทงก็ได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้แล้ว
อาหารเช้ามากมายกว่าอาหารค่ำเมื่อคืนมาก คหบดีในอำเภอส่งพ่อครัวและวัตถุดิบมาโดยเฉพาะ เตรียมจัดเลี้ยงรับรองใต้เท้าหวัง
พวกหวังทงคิดไม่ถึงว่าสถานีพักม้าระหว่างทางจะต้องมารับเลี้ยงที่ยุ่งยากเช่นนี้ จึงได้ปฏิเสธไป ให้เจ้าหน้าที่เลือกคนมา 10 กว่าคนแล้วเช่นรถใหญ่สองคัน กุมตัวพวกลัทธิไตรสุริยันกลุ่มแรกที่เข้าลงมือไปส่งเทียนจิน
จัดเตรียมเรียบร้อย พระอาทิตย์ก็ขึ้นสูงมากแล้ว หลิ่วซานหลางตั้งแต่เมื่อคืนก็ยุ่งมาไม่ได้หยุดพัก เห็นสีหน้าหวังทงเรียบเฉยมาตั้งแต่เกิดเหตุ ก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ กอปรกับการตำหนิของลี่เทำเช่นนั้น ทำให้หลิ่วซานหลางไม่อาจไม่คิด ตนเองเมื่อคืนออกไปรวบรวมกำลังพลหรือว่าทำให้ใต้เท้าไม่พอใจ
จัดการรถเสร็จ พวกหวังทงก็ขึ้นม้ากำลังจะออกเดินทาง หลิ่วซานหลางก็รีบออกมาส่ง หวังทงบนหลังม้ามองเขาไปมา อยู่ๆ ก็กล่าวว่า
“เรื่องงานที่โรงเตี๊ยมสามธารานี่เจ้าไม่ต้องทำแล้ว กลับเทียนจินเถอะ!”
วาจานี้ทำเอารอบข้างเงียบกริบ หลิ่วซานหลางรู้สึกเจ็บปวดใจ ในใจคิดว่าเมื่อคืนคงทำผิดไปแล้ว ตอนนี้แม้แต่งาน โรงเตี๊ยมสามธาราก็ไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว
แต่ทว่าไม่มีงานนี้ เบี้ยหวัดทหารพิการก็ยังคงมีอยู่ หลิ่วซานหลางลังเลก่อนจะคุกเข่าลงกล่าวว่า
“ข้าน้อยรับคำสั่งนายท่าน”
คิดในใจว่าทำการค้าที่โรงเตี๊ยมนี่มา สัมพันธ์ดีกับคนโดยรอบ แม้ว่าร่างกายพิการ แต่ก็มีความสุขมาก ตอนนี้ไม่อาจมีวันเวลาเหล่านั้นอีกแล้ว
ราษฎรโดยรวมก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน หลิ่วซานหลางได้ทำอะไรให้ชาวโรงบ้านไม่น้อย มีผู้อาวุโสและคหบดีโรงบ้านหลายคนเริ่มครุ่นคิด หากทางเทียนจินไม่เอาหลิ่วซานหลาง ก็ให้โรงบ้านชิวจ้างต่อก็ไม่เลว
ขณะที่กำลังอึดอัดกันอยู่นั้น หลิ่วซานหลางก็ได้ยินหวังทงกล่าวว่า
“เจ้าจะมามัวคุกเข่าอยู่ทำไม เก็บของตามข้ากลับไปสิ ให้เจ้าเป็นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมไม่เหมาะสมกับความสามารถเจ้า กลับเทียนจิน จะให้เจ้ารับหน้าที่อื่น”
รอบด้านเงียบกริบ ตามมาด้วยเสียงเอะอะดัง คนที่ตั้งสติได้ก็เข้าไปแสดงความยินดีกับหลิ่วซานหลาง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่นี่ไม่นับเป็นคนของกองกำลังหู่เวย เป็นเพียงคนงานของร้านสามธารา ตอนนี้หวังทงใช้คำว่า ‘ให้รับหน้าที่อื่น’ เห็นได้ว่าจะจัดสรรตำแหน่งให้เขา ก็น่าจะได้ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการแล้ว ทุกคนก็ย่อมเรียกขานเขาว่า ‘นายท่าน’ แล้ว
กลุ่มชายฉกรรจ์ที่หลิ่วซานหลางฝึกมาก็ร้องเฮโลดัง ตะโกนให้พี่หลิ่วได้เป็นเจ้าหน้าที่ทางการแล้วก็อย่าลืมมาพาพวกเขาไปเทียนจินด้วย
“เจ้ารับมือศัตรูได้อย่างสุขุม เคยเป็นแค่หัวหน้าหน่วยในกองทัพ กลับฝึกชาวบ้านได้ดีเช่นนี้ มีความกล้ามีความสามารถ คนเช่นนี้ให้มาเป็นเถ้าแก่ที่นี่ ถือเป็นการปิดกั้นความสามารถเจ้า ข้าพาเจ้ากลับไปด้วยครานี้ก็จะหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้เจ้า”
หวังทงบนหลังม้ากล่าวขึ้น หลิ่วซานหลางที่กำลังตะลึงก็ได้สติ ได้ยินเช่นนี้ ในใจก็มีความยินดีหลั่งไหลถาโถมเข้าใส่ คิดจะอ้าปากกล่าวอันใดก็เหมือนมีก้อนอันใดมาจุกที่คอ กล่าวไม่ออก ได้แต่โขกศีรษะพับพื้นอย่างแรงสิบกว่าที สุดท้ายกล่าวนำเสียงติดสะอื้นว่า
“ข้าน้อยแม้ต้องแลกด้วยชีวิต ก็จะตอบแทนคุณใต้เท้า”
หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“งานโรงเตี๊ยมนี่ส่งมอบให้คนที่เจ้าไว้ใจ รีบไปเก็บของได้แล้ว!”
************
เพราะมีรถใหญ่ขนเชลยมาด้วย ดังนั้นจึงเสียเวลาเดินทางไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่ครานี้กลางคืนไม่มีการโจมตีอีก ผ่านไปอย่างสงบสุขยิ่ง
กลับถึงเทียนจินวันที่ 25 เดือนหก เป็นเวลาที่คึกคักที่สุดของเทียนจินในหนึ่งปี หวังทงกับคนสนิท รวมทั้งคนตระกูลถานไม่อยู่เทียนจิน จางซื่อเฉียงและซุนต้าไห่ดูแลการค้าการจัดการในเมืองและนอกเมือง ไช่หนานและหม่าซานเปียวดูแลกองกำลังหู่เวยและสำนักองครักษ์เสื้อแพร
เมืองหลวงเกิดเหตุต่อสู้ใหญ่ วุ่นวายไปหมด เทียนจินกลับสงบเรียบร้อยดี ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ
พอเข้าสู่เทียนจิน ก็รู้สึกได้ถึงความเจริญรุ่งเรือง ทุกคนก็รู้สึกผ่อนคลายลง ตามมาด้วยความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก จัดการงานเสร็จ ก็พากันกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ที่นี่คุ้มกันแน่นหนา ไม่ต้องกังวลว่าจะมีนักฆ่ามาอีก และอยู่เทียนจินมานานเช่นนี้ ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนเป็นเหมือนบ้านตน
หวังทงกลับไม่อาจได้พัก พอกลับมา ก็ตามตัวซุนต้าไห่มาให้เขาไปหาเรือนทางเมืองฝั่งตะวันตก จะให้จับเชลยพวกนี้ไปขังไว้
“ใต้เท้า นักโทษอุกฉกรรจ์เช่นนี้ หรือว่าควรส่งเข้าคุกใต้ดิน”
ได้ยินซุนต้าไห่เสนอขึ้นอย่างเป็นห่วง หวังทงก็เผยรอยยิ้มกล่าวว่า
“ไม่จำเป็น เอาไปไว้ที่นั่นก่อน หาหมอมารักษาด้วย อาหารการกินมีให้ไม่ขาด แต่ต้องจับตาเฝ้าให้ดี อย่าให้พวกเขาหนีไปได้”
คำสั่งดูเหมือนแปลกๆ กลับไปมา แต่ซุนต้าไห่ก็รับคำ รีบออกไปจัดการ สีหน้าไช่หนานข้างๆ รู้สึกงง แต่ก็ไม่ได้ถามอันใด พอซุนต้าไห่ออกไป หวังทงก็ฮัดเช้ยดัง หันมายิ้มกล่าวว่า
“เมืองหลวงเกิดเรื่องมากมาย ยังต้องเล่าให้ไช่กงกงฟังทีละเรื่อง”
ไช่หนานส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังเดินทางมาลำบากแล้ว พรุ่งนี้เล่าก็เหมือนกัน แต่ใต้เท้าไปเมืองหลวงมาหลายวันนี้ เสิ่นหวั่งมาขอพบถึงสี่ครั้งแล้ว ไม่รู้ว่ามีเรื่องด่วนอันใด……”