ตอนที่ 216 มหาชนเติมเต็ม สารที่ทำให้ตกใจ
หากเป็นกองทัพจี้โจวรับทหารย่อมไม่มาปักธงและใช้วิธีการร้องงิ้วอะไรในตลาดนี่เป็นแน่ เพราะคงไปที่กองกำลังพิทักษ์แต่ละแห่ง และไปตามหมู่บ้านติดประกาศเรียกพลก็ได้แล้ว
ได้ยินว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพร ความรู้สึกของคนระดับล่างก็ต่างออกไปทันที องครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวงต้อยต่ำมาก เรื่องการค้างเบี้ยหวัดกันมานานปี มีคนรู้กันไม่มาก แต่ในใจทุกคนรู้ดีว่าองครักษ์เสื้อแพรไม่นับว่าเป็นทหารกองทัพ สังกัดแค่กองงานปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ไม่ต้องเผชิญอันตราย เป็นสถานที่ที่ดีที่สุด
แต่ตลาดนี่จัดในเมือง มีประชาชนบางคนรู้ความภายในก็แอบซุบซิบกัน และก็มีบ้างที่คิดมากกำลังคิดกันว่าจะมีเรื่องดีตกลงมาจากฟ้าได้ที่ไหนกัน
แต่ชายบนเวทีที่ถอดชุดตัวนอกออกให้เห็นชุดมัจฉาเวลาด้านใน และชายที่กำลังต้มน้ำซุปร้อนกรุ่นด้านล่างก็สวมชุดมัจฉาเวหา ไม่ไกลนักก็เป็นทหารักษาความสงบประจำกองกำลังจี้โจวกำลังลาดตระเวนที่ไม่สนใจอะไรทางนี้ ก็ทำให้คนเชื่อไปสามส่วน
จากนั้นชายบนเวทียังยกหีบใหญ่ออกมาหลายใบ พูดไปก็เอียงหีบไป เงินก้อนวาววับส่องประกาย “วิ๊ง” ออกมา กระทบแสงอาทิตย์แยงเข้านัยน์ตาทันที
“ใต้เท้าเรามีเงิน และก็มีความออกหน้ารับผิดชอบ ทุกคนหากกลัวว่าไม่มีเบี้ยหวัด ใต้เท้าเรายอมเอาอนาคตมาเป็นเดิมพันไปเอาเรื่องที่ทำการมาก หากยังไม่ได้ ใต้เท้าเราเองก็มีให้พวกเจ้า!!”
ได้ยินเสียงตะโกนดังอาจหาญเช่นนี้ จิตใจทุกคนก็สั่นคลอน อดไม่ได้เชื่อไปอีกสามส่วน
“มาๆ น้องชายท่านนี้คิดว่าคงไม่เชื่อเป็นแน่ เราก็ใช่ว่าจะบอกว่าจะเป็นก็เป็นได้ ไปรับเอกสารที่โต๊ะทางนี้ก่อน เขียนชื่อ อายุ ภูมิหลังครอบครัว ประทับตราใต้เท้าเรา รอวันที่ 5 เดือนหนึ่งก็มาที่ตรอกที่ตั้งที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพรทางทิศเหนือของเมืองนี้ พวกเรายังต้องทดสอบกำลังพวกท่านด้วย จึงนับว่ารับเข้าสังกัด บอกกันตรงนี้ไว้ก่อน ไม่มีเอกสารนี้ แม้แต่จะสอบก็ไม่มีคุณสมบัติ!”
คนเรามักมีนิสัยว่า ของที่ส่งมาถึงที่ก็มักจะสงสัยสามส่วน แต่หากตกปลาได้สักตัว ก็กลับจะแย่งเบ็ดกัน หม่าซานเปียวกล่าวจบ
ผู้คนโดยรอบลังเลอยู่ครู่หนี่ง ก็กรูกันเข้ามา เจ้าหน้าที่ลงบันทึกมือเป็นระวิง เอกสารเขียนกันแผ่นต่อแผ่นไม่หยุด
ตัวอักษรบนเอกสารรายงานพวกนั้นเกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่อ่านออก แต่พอประทับตราประจำตัวใต้เท้าด้วยชาดแดงแล้วก็รู้สึกได้ว่าเป็นของจริง ในหมู่ประชามีความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับทางการอย่างหนึ่งว่า หากเห็นตราประทับชาดแดงก็ต้องไม่ปลอม นอกจากนั้นคนเขียนเอกสารยังคัดเลือกอีก
พวกที่ครอบครัวมีบุตรชายโทนไม่เอา พวกที่มีกิจการไม่เอา การเลือกนี่ช่างยุ่งยาก แต่ที่สามกองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจินนี่ นับรอบๆ ไปด้วย ก็มีกองกำลังพิทักษ์เกือบแปดกองอยู่ในพื้นที่เขตนี้ กองกำลังพวกนี้ขาดอะไรก็ไม่มีทางขาดบุตรชายโทนสืบตระกูล
ลูกหลานกองทัพทำนาจ่ายเบี้ยเสบียงมากกว่าชาวบ้านธรรมดาหนึ่งเท่า และนอกจากคนโตสืบทอดวงศ์ตระกูลไปเป็นทหารแล้ว ลูกคนอื่นๆ ก็ไม่มีที่ไป มิเช่นนั้นบรรดาชายหนุ่มที่มาเดินเตร็ดเตร่เล่นในตลาดพวกนี้จะมาจากไหนกัน
พวกที่มาสมัครเบียดเสียดกันแน่น คนรับหน้าที่เขียนเอกสารก็เขียนจนมือไม้อ่อน ยังต้องให้จางซื่อเฉียงตามองครักษ์เสื้อแพรในพื้นที่ไปเคาะตามบ้านจ้างมาเพิ่มในราคาสูงอีก
หลี่หู่โถว ลี่เทาและซุนซิงกับเด็กคนอื่นๆ อีกสิบกว่าคน ถานเจียงจัดให้ไปติดตามอยู่ข้างกายหวังทง เด็กพวกนี้อยู่ร่วมกับหวังทงทั้งวันทั้งคืนมานาน ย่อมคุ้นเคยสนิทสนมกันดี ฝีมือก็ไม่เลว หนึ่งนับว่าเป็นทหารองครักษ์ไว้ใจได้ สองจะได้เรียนรู้เพิ่ม อย่างน้อยก็ได้เห็นด้วยตนเอง
พวกเขาอยู่ที่เพิงร้านน้ำชากลางแจ้งที่ไม่ไกลนัก ภาพการเบียดเสียดคึกคักนี้ ซุนซิงกับลี่เทายังนิ่งได้ แต่หลี่หู่โถวกลับอ้าปากค้าง
ท่าทางที่มองบรรดาชายหนุ่มแย่งกันอย่างตกตะลึงเช่นนี้ทำเอาหวังทงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ อธิบายพลางหยอกล้อไปว่า
“ของอะไรที่เจ้าส่งถึงที่แล้วไม่มีคนเอาบ้าง ขอเพียงทำให้เหมือนว่าเป็นของมีน้อยที่ดี ทุกคนก็ย่อมมาแย่งกันอย่างไม่รู้ตัว ไม่ว่าตนเองต้องการหรือไม่ก็ตาม”
การค้าในวงการตลาด จิตวิทยาผู้บริโภคอะไรพวกนี้ก็ถูกนำมาใช้ที่นี่ ว่ากันว่าใช้มีดฆ่าวัวมาฆ่าไก่ก็ไม่เกินเลยไปนัก ห่างกันหลายร้อยปี ก็ไม่แปลกที่เด็กพวกนี้จะรู้สึกแปลกว่าเป็นของใหม่ไม่เคยเห็น
แต่เด็กพวกนี้ก็เหมือนเข้าใจเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่หวังทงกล่าวมา ภาพความคึกคักที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าทำเอาทุกคนมองกันอย่างยินดี ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็รู้เพียงแค่กังวลว่าคนมาก ไม่กังวลว่าคนน้อยแล้ว
*********
พรุ่งนี้วันสิ้นปี ทหารรักษาการณ์ในเมืองเทียนจินก็เริ่มขี้เกียจ พวกที่เข้าออกเมืองล้วนเป็นบรรดาครอบครัวในกองกำลัง หนึ่งไม่มีเงินน้ำร้อนน้ำชา สองล่วงเกินไม่ได้ ไถเงินแค่แดงเดียววันรุ่งขึ้นก็จะมีคนเป็นร้อยกรูเข้ามาเอาเรื่อง ใครอยากเดือดร้อนกัน
ดังนั้นประตูเมืองจึงจัดกองกำลังทหารรักษาการณ์ 120 นายสองกะผลัดเปลี่ยน ผลัดแรกอยู่ในห้องด้านในประตูเมืองผิงไฟอุ่น อีกกะผลัดกันขึ้นไปประจำบนกำแพงเมืองตากแสงแดดอุ่นๆ คนเข้าออกเมืองจะมีผู้ใดสนใจกัน
ประตูเมืองเปิดแค่ครึ่งชั่วยาม ก็เห็นมีคนออกมานอกเมืองไปหาคนรู้จักกัน บอกว่าในเมืององครักษ์เสื้อแพรกำลังรับสมัครคน เป็นโอกาสดี
ได้ยินว่าพวกทหารรักษาประตูเมืองยังแอบหัวเราะกัน คิดกันในใจว่าพวกลูกหลานกองกำลังนี้ช่างโลกแคบ หากไปที่อื่น กองกำลังองครักษ์เสื้อแพรเป็นที่ๆ ดี แต่ที่เทียนจินนี้ทำงานให้องครักษ์เสื้อแพรนับว่าเป็นงานระดับล่างไม่ใช่หรือ แต่จะว่าไป ใต้เท้าหวังที่มาใหม่นี่อายุไม่มาก แต่กลับโดดเด่นไม่น้อย ว่ากันว่าพาคนไปเอาเรื่องที่กองตรวจการ ถึงขั้นเอะอะโวยวายเรียกเงินก้อนใหญ่ นับว่ามีความสามารถ
หากหัวหน้ากองแห่งกองทัพจี้โจวกล้าทำเช่นนี้ เกรงว่าแม่ทัพชีคงได้ชักดาบออกมาตัดหัวไปแล้ว แต่ของพวกนี้ดูแค่นี้ไม่ได้ ต้องดูไปนานๆ
ทุกจุดต่างเอาแต่ตากแดดคุยเล่นกัน ทางตะวันตกของเมืองมีความวุ่นวายอยู่บ้าง บนถนนหลวงฝูงชนพากันตะโกนด่ากันไปมา เบียดกันแหวกเป็นสองทาง ทำเอาทหารประจำประตูตะวันตกต้องตื่นตัวตาม หัวถนนด้านตะวันตกนี้เชื่อมต่อไปยังเมืองหลวง มีความโกลาหลเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้น
บรรดาทหารคว้าดาบเขย่งเท้ามองออกไป เห็นม้าเร็ววิ่งทะยานผ่าฝูงชน ควบมาทางประตูเมืองอย่างเร็ว เดิมคิดจะรั้งไว้ถาม หากก็ต้องหลบลงสองข้างทางแทน
เห็นการแต่งกายแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ว่ามาส่งสารทางการก็เป็นพวกตระกูลใหญ่ส่งออกไป พูดอีกทีก็คือล่วงเกินไม่ได้ รีบปล่อยให้เข้าไปเป็นใช้ได้
แต่อยู่ๆ มีพลส่งสารด่วนมาเช่นนี้ หรือว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใด ทหารเฝ้าประตูเมืองพากันนิ่งค้างอยู่เป็นนาน รู้สึกอ่อนไหวไปกับลมพัดชายหญ้านี้อย่างมาก
คิดในใจอย่างรวดเร็วแล้วก็รีบเข้าไปดูในเมือง พลส่งสารสองสามคนมุ่งตรงไปยังที่ทำการ ก็พอเดาได้แล้วว่ามีเรื่องด่วนเกิดขึ้น
ใครจะไปคิดว่าพลส่งสารสองสามคนนั้นพอเข้าเมืองมาก็แยกออกเป็นสาย มุ่งไปยังที่ทำการต่างกัน เรื่องแบบนี้กองกำลังที่เทียนจินคุ้นเคยดี และก็ดูออกจากเส้นทางว่าไปส่งสารที่ไหน แต่มองทิศทางที่ไปแล้ว เหมือนว่าทุกที่ทำการล้วนมีพลส่งสาร เกิดเรื่องอะไรขึ้น
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะยังไม่จบแค่นี้ เพราะตอนบ่ายก็มีพลขี่ม้ามากันทีละคนสองคน ถึงกับยังมีรถเล็กวิ่งเข้าเมืองมาด้วยกัน ทำเอาบรรดากองรักษาการณ์มองกันงง เกรงว่าจะมีเรื่องใหญ่ระดับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
*********
ตลาดในเมือง โต๊ะรับกำลังพลรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมายตั้งแต่เช้าถึงบ่าย คนเขียนเอกสารเปลี่ยนไปหลายคนก็ยังรับมือไม่ไหว
ตอนเที่ยงจึงรีบไปซื้อเนื้อซื้อไก่ปรุงสุกและแผ่นเปี๊ยะจากตลาดมากินกับน้ำซุปกระดูกร้อนๆ ในหม้อใหญ่เป็นอาหารเที่ยง เห็นว่าได้กินดี คนที่มาสมัครก็ยิ่งมากขึ้นๆ
บรรดาคนที่นายกองฟานต๋าส่งมาจับตาดูอยู่ใกล้ๆ หลายคนก็รู้สึกร่วมไปกับการแสดงพวกนี้ด้วย ถึงขั้นคิดจะมาสมัคร ถูกพ่อบ้านที่พามาด้วยลากไปด่ายกใหญ่จึงได้รู้สึกตัว เห็นสถานการณ์คึกคักเช่นนี้แล้ว เดิมคิดจะปิดบังสถานะสายสืบก็ไม่สนใจแล้ว พากันมายืนล้อมวงคุยกันไปจับตาดูไป ตกค่ำก็ค่อยกลับไปรายงานข่าวก็แล้วกัน
“เจ้าว่านายกองพันหวังผู้นี้สมองพิการหรือไม่ รับคนเช่นนี้ อย่าว่าแต่กองพันเลย ข้าว่าทั้งกองกำลังพิทักษ์ก็เรียกพลมาได้ครบ หากแจกเบี้ยเต็มที่ จะเอาอะไรกิน?”
บรรดาลูกน้องระดับล่างในจวนนายกองฟานต๋าเห็นเรื่องกินเงินตำแหน่งว่างนี่กันจนชิน วิจารณ์กันขึ้นมาก็ออกรสออกชาติ ทางนี้พูด อีกทางก็ลูบคางยิ้มกล่าวว่า
“ข้าว่านายกองพันหวังไม่แน่ว่ามีความคิดจะตกเงินก้อนใหญ่ ตอนนี้หาคนมาให้ครบ ถึงเวลาค่อยสลายกองก็ได้นี่…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ด้านหลังก็มีคนมาตบบ่า หันไปมองก็เห็นผู้ติดตามใต้เท้าฟานต๋าที่รอยฝ่ามือบนใบหน้ายังไม่ทันจางหายไป ดูแล้วก็เหมือนน่าจะถูกตบบ้องหูมา สีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก กล่าวเสียงรอดไรฟันว่า
“นายท่านบอกว่าไม่ต้องจับตาดูแล้ว ตามข้ากลับไป มีงานอื่นให้พวกเจ้าทำ!!”
********
“….นี่เป็นบุคคลที่ฮ่องเต้ไว้วางพระราชหฤทัยมาก ว่ากันว่าวันนี้ยังคิดจะมอบตำแหน่งรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรให้ด้วย แต่ถูกบรรดาใต้เท้ารั้งเอาไว้…”
“จางเฉิงกงกง รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ว่ากันว่าเป็นผู้ใหญ่ของหวังทง เฝิงเป่ากงกง หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ยังเขียนอักษรมอบให้หวังทง ตระกูลอันผิงโหวถูกปลด ว่ากันว่า…”
นายกองฟานต๋ามองสารในมือ สีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ถ้วยชาบนโต๊ะกลับกระทบกันดังขึ้นเบาๆ อ่านละเอียดแล้วก็ทำเอานายกองฟานต๋าสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฟานต๋าก็โยนสารในมือขึ้นฟ้า ทั้งตัวราวกับถุงเสบียงที่ไม่ปิดปากถุงให้แน่น ตัวอ่อนยวบทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทันที ปากก็บ่นพึมพัมว่า
“คนเช่นนี้ มาที่นี่ทำไมกัน นี่มันมาจัดการคนที่นี่ชัดๆ”
บ่นไปมาสองสามประโยค พลันกระโดดขึ้นยืน ตะโกนออกไปด้านนอกเสียงดังว่า
“รีบไปตามคนที่จับตาดูกลับมา รีบไปเตรียมของขวัญปีใหม่ เตรียมตามแบบที่มอบให้กับผู้ใหญ่ในเมืองหลวง รีบไปสิ รีบไปเร็ว เตรียมสองชุด!”
ผู้ติดตามด้านนอกรีบรุดวิ่งเข้ามา ทำอวดฉลาดว่า
“นายท่าน สารด่วนที่ส่งไปเมืองหลวงนั่นหรือว่าส่งคนไปตามกลับมาดี!”
ฟานต๋าตบบ้องหูไปอย่างแรง พร้อมเสียงด่าปนเสียงสะอื้นว่า
“ล่วงเกินขุนนางคนสนิทฝ่าบาท ก็แค่ถูกปลด แต่หากแจกเบี้ยครบ ผิดธรรมเนียม ก็คงได้แหลกเป็นผุยผงแทน รีบไปเตรียมสิ!”