ตอนที่ 23 เจ้าเด็กอ้วนโขยกเขยก
เสียงพูดคุยดังเข้ามาพร้อมกับผ้าม่านที่เปิดออก มีคนสองคนเดินมาในร้าน ดูเหมือนจะเป็นพ่อกับลูก แต่ก็เหมือนปู่กับหลาน คนอายุมากสวมชุดคลุมยาวตัวนอกสีน้ำตาลเข้มลายเงินทอง ท่าทางร่ำรวยนั้นกลับไว้เคราแพะที่มองดูน่าเกลียดยิ่งนัก คนผู้นี้มองไปรอบๆ ยังมีเจ้าเด็กอ้วนคนหนึ่งแอบอยู่ด้านหลัง
มองดูก็รู้ว่าเป็นพวกขุนนางนอกราชการมีสตางค์ออกมาเที่ยวเล่น ในสมัยนี้ไม่ใช่คนทั่วไปจะเลี้ยงเด็กให้อ้วนเช่นนี้ได้ หวังทงสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าเด็กอ้วนผู้นี้น่าจะอายุใกล้เคียงกับตนเองในตอนนี้ น่าจะราว 13-14 ปี เพียงแต่ตอนนี้ตนชินกับการใช้สถานะผู้ใหญ่ไปสำรวจเสียแล้ว
“หอมจริง หอมจริง หอมกว่าที่ห้องเครื่องบัดซบพวกนั้นทำอีก”
ตอนเจ้าเด็กอ้วนเดินออกมา หวังทงก็พบว่า ท่าเดินของเขาโขยกเขยกไปมาอย่างมาก หวังทงเอียงตัวไปดูก็พบว่าท่าทางการเดินของเจ้าเด็กอ้วนนี้เป็นเพราะขาพิการ
ไม่รู้ว่าเป็นนายท่านตระกูลใด ชีวิตดีๆ ในบ้านไม่เอา เดือนสิบสองเช่นนี้ออกมาหาสามชั้นน้ำแดงที่นี่กิน หวังทงขี้เกียจจะสนใจ จึงก้มหน้าครุ่นคิดเรื่องของตนเองต่อ ไม่ทันสังเกตว่าขุนนางนอกราชการสูงวัยผู้นั้นจ้องมองมาครู่หนึ่ง
คนงานในร้านรีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับ ขุนนางผู้นั้นมองอาหารในร้าน ใบหน้าแสดงความไม่พอใจออกมา สุดท้ายก็สั่งผักดองกับสามชั้นน้ำแดงสองชาม และข้าวเปล่า
สามชั้นน้ำแดงแสนธรรมดา แต่กลับเป็นจานเด็ดหอเลิศรส ดังนั้นจึงเลือกเครื่องปรุงอย่างพิถีพิถัน ปรุงด้วยความร้อนพอเหมาะ เนื้อหมูสามชั้นก็แดงมันแวววาว หอมโชยแตะจมูก
พอยกมาขึ้นโต๊ะ เจ้าเด็กอ้วนกัดไปหนึ่งคำ ตาก็พลันส่องประกาย รีบกินเอากินเอา ก่อนจะกลืนลงไปอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า
“อร่อย อร่อย”
เห็นเด็กน้อยกินอย่างเอร็ดอร่อย ขุนนางผู้นั้นก็อดไม่ได้ที่จะกินสักชาม หลังจากเข้าปากไปก็พยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยปากกล่าววว่า
“มีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ”
เสียงอ่อนโยนมาก ยามนี้ในร้านมีลูกค้าแค่สองคน ความสนใจของหวังทงถูกดึงไปอย่างอดไม่ได้ ได้ยินเสียงขุนนางนอกราชการชมเชยขึ้น เขาก็อดไม่ได้หัวเราะกล่าวติดตลกไปว่า
“ท่านทั้งสองดูท่าไม่เหมือนคนที่จะมาร้านแบบนี้ อย่างไรกัน วันนี้ว่างมาเดินแถวนี้หรือ? อาหารฉลองปีใหม่ที่บ้านจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ขุนนางนอกราชการขมวดคิ้ว ใบหน้าเข้มกล่าวขึ้นว่า
“ใต้เท้าท่านนี้ วันนี้ไม่ออกตระเวน กลับมานั่งที่ร้านนี่ทำอะไรกัน”
พอได้ยิน หวังทงในใจก็พอเดาได้ ดีไม่ดีขุนนางนอกราชการท่านนี้น่าจะเป็นขุนนางที่ไหนสักแห่ง มิเช่นนั้นการพูดจาจะดูมีกิริยาท่าทางสูงส่งเช่นนี้ได้อย่างไร
หากอารมณ์ดี ไม่เอาคำพูดเสียงแข็งเหล่านั้นมาใส่ใจ หวังทงยิ้มรับกล่าวว่า
“ร้านนี้ข้าน้อยเป็นเถ้า…”
ขุนนางนอกราชการผู้นั้นมองหวังทงอย่างแปลกใจ จากนั้นก็หันหน้าไปไม่สนใจเขาอีก ทำวางท่าไม่เบา เคยเจอกับลูกค้ามาทุกระดับ แต่หวังทงหัวเราะไม่ได้สนใจอีกต่อไป
“ทั้งหมด 60 อีแปะ ขอบคุณนายท่านที่มาเยือน”
เสียงคนงานในร้านดังขึ้น อาหารจานเดี่ยวพอกินเสร็จค่อยคิดเงิน ขุนนางผู้นั้นล้วงมือเข้าไปในเสื้อ มือล้วงเข้าไปควานรอบหนึ่ง กลับต้องนิ่งอี้งไป
รอยยิ้มคนงานในร้านยังคงเดิม ยื่นมือออกไปเช่นเดิม หากขุนนางผู้นั้นล้วงไปล้วงมา ทันใดนั้นสีหน้าก็ลำบากใจ เจ้าเด็กอ้วนที่นั่งอยู่นั่นกวาดกินสามชั้นน้ำแดงไปสองชามใหญ่ๆ ยังคงร้องตะโกนอยู่ตรงนั้นไม่หยุดเช่นเดิมว่า
“หอมจริง ขอกินอีกชามนะ!?”
“ทั้งหมด 60 อีแปะ…”
คนงานเก็บเงินมองออกว่ามีอะไรผิดปกติ จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง สีหน้าอึกอักลำบากใจของขุนนางผู้นั้นยิ่งหนักขึ้น พลางกระแอมไอก่อนจะกล่าวตะกุกตะกักขึ้นว่า
“คือว่า…คือว่า…วันนี้ไม่ได้พกเงินมา ค้างไว้ก่อนได้ไหม วันหน้าค่อยมาคืน”
พอได้ยินว่าไม่มีเงิน สีหน้าคนเก็บเงินก็แย่ลงทันที เขากล่าวอย่างลำบากใจว่า
“หอเลิศรสกิจการเล็กๆ แต่ไรมาไม่เคยให้ค้างเงิน กงกงในวัง องครักษ์ในวัง ร้านเราก็มิเคยให้”
เจ้าเด็กอ้วนด้านหลังยังฟังไม่ชัดว่าทางนี้พูดว่าอะไร ก็เอาน้ำขลุกขลิกสามชั้นน้ำแดงราดลงไปบนข้าว กินไปสองสามคำ ก็พูดเสียงดังขึ้นอีกว่า
“ยังกินไม่อิ่มเลย เอามาอีกชาม…”
ขุนนางนอกราชการวัยกลางคนผู้นั้นหันกลับไปมอง สีหน้าท่าทางลำบากใจมากขึ้นไปอีก มองทางนั้นทีทางนี้ที รบกวนหวังทงจนหลุดจากห้วงความคิด
ได้ยินเสียงทั้งสองฝ่าย ก็รู้สึกอยากจะหัวเราะอย่างอดไม่ได้ มองเห็นการแต่งกายของทั้งสองคน เดาว่าลืมเอาเงินมาจริง ไม่ใช่กะมากินฟรีดื่มฟรีที่นี่ ดูท่าทางลำบากใจของขุนนางผู้นั้นแล้ว หวังทงก็กล่าวขึ้นเสียงดังว่า
“เสี่ยวจาง ไม่เป็นไร น่าจะลืมจริง วันหน้าค่อยเอามาให้ก็ได้”
หวังทงเอ่ยปาก คนงานผู้นั้นก็โค้งคำนับด้วยรอยยิ้ม กลับไปทำงานต่อ หากขุนนางผู้นั้นกลับไม่รู้สึกขอบคุณในความใจกว้างของหวังทง กลับมองประเมินอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง
บางทีเมื่อครู่คำพูดอาจล่วงเกินไป คนรวยมีเงินรักหน้าตาเป็นที่สุด
หากแค่ 60 อีแปะ ไยสายตาต้องระแวดระวังและป้องกันตัวเช่นนี้ด้วย หวังทงคิดไม่ตก แต่ก็คร้านที่จะต้องสนใจ ก้มหน้าวาดกระดาษในมือต่อ ตอนนี้ร้านเล็กเกินไป ลูกเล่นน้อยไป คิดจะรักษาลูกค้าไว้ ก็ต้องขยายร้านและเพิ่มอาหารใหม่
หอเลิศรสในความเป็นจริงนั้นมีลูกค้าในวงจำกัดแค่พวกชาวถนนทักษิณ เจ้าหน้าที่ขันทีและองครักษ์ในวัง ตอนนี้แค่มาลองของแปลกใหม่ ยังไงก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้
ยามนี้หวังทงกำลังวางแผนการตลาดอะไรต่อมิอะไรอยู่ ใจจึงจดจ่อกับงาน พอถูกรบกวนจนหลุดออกจากห้วงความคิดอีกครั้ง ก็พบว่าในร้านมีเจ้าหน้าที่และองครักษ์วังหลวงไม่น้อย เมื่อครู่ที่มองดูแล้วโล่งไปจริงๆ
ตอนฟ้าใกล้มืด จางซื่อเฉียงกับคนที่ไปซื้อหาวัตถุดิบอีกสองสามคนก็กลับมา วันอากาศหนาวเช่นนี้ ก็เลือกซื้ออาหารสดมาให้มากหน่อยได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเน่าเสีย
ตามปกติหลังจากซื้อเสร็จ ต้องมาคิดเงินต่อหน้าหวังทง รายงานจำนวน หากหวังทงกลับพบว่าไม่ถูกต้องนัก แต่ไม่ต้องรอจนเขาถามขึ้น จางซื่อเฉียงก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า
“วันนี้ซื้อแพะมาเพิ่มอีกตัว เหล้าอีก 20 ชั่ง ยังมีผลไม้แห้งอีก 200-300 อีแปะ ส่งไปที่นายกองธงเล็ก หลี่เหวินหย่วนของกองร้อยเรา น้องหวังเจ้าต้องการเรียนเพลงมวยไม่ใช่หรือ? นี่คือการไปฝากตัวเป็นศิษย์ไง”
พอพูดจบ หวังทงก็รู้สึกสนใจขึ้นมา จางซื่อเฉียงเลยเอ่ยต่อว่า
“ยังจำวันนั้นได้ไหม คนที่ด่าเจ้ากั๋วต้งยกใหญ่ ก็คือคนผู้นั้น หลี่เหวินหย่วนมีฝีมือดี เพลงทวนเยี่ยมยอด ในกองร้อยเรา หรือจะใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย ในกองพันเรา ไม่มีผู้ใดเกินคนผู้นี้ไปได้”
“ในกององครักษ์เรามีคนระดับนี้ด้วยหรือ?”
หวังทงสงสัยมาก องครักษ์เสื้อแพรนอกจากมีตำแหน่งพิเศษสองสามตำแหน่งแล้ว ที่เหลือก็เป็นลูกหลานคนในเมืองหลวง ตำแหน่งสืบทอดต่อกันมา ไม่มีการสอบคุณสมบัติฝึกฝนอะไร แต่ละคนนอกจากชุดบนตัวพร้อมดาบที่เหน็บแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับประชาชนทั่วไปนัก จะมีผู้มีฝีมือเช่นนี้ได้อย่างไร
“แม่ทัพชี เคยได้ยินไหม ผู้บัญชาการกองทัพเมืองจี้โจว บัญชาการทหารสามเมือง ชีจี้กวงไง?”
จางซื่อเฉียงกล่าวอย่างกระตือรือร้น ‘ชีจี้กวง’ ได้ยินชื่อนี้ก็ราวกับฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม แม่ทัพปราบโจรสลัด ผู้กล้าแห่งกองทัพ จึงรีบพยักหน้า ทางนั้นยังพูดต่ออีกว่า
“หลี่เหวินหย่วนนั้นก็คือนายทหารคู่กายนายพลชี หลังจากเผด็จศึกโจรสลัดตายเรียบแล้ว ก็ถูกธนูยิงเข้าที่แขนจนไม่อาจออกศึกได้อีก แม่ทัพชีจึงขอกับใต้เท้าเบื้องบน ให้เขามาอยู่กับกองร้อยเรา…หลายวันก่อนตกลงกันแล้ว พี่หลี่ผู้นั้นก็ชื่นชมเจ้าอยู่มาก วันที่ 1 เดือนหนึ่ง น้องหวังก็ไปฝากตัวเป็นศิษย์ที่บ้านได้เลย”