Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 242

ตอนที่ 242 มหาอำมาตย์ออกจากเมืองหลวง เรื่องแห้งแล้งก็น่าสนใจ

วันที่ 13 เดือนสาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งกำลังออกเดินทางจากเมืองหลวงกลับไปเมืองเจียงหลิง แถบหูกว่าง เพื่อกลับบ้านเกิดไปทำพิธีศพบิดา

ก่อนออกเดินทาง ฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวกับจางจวีเจิ้งว่า

“ท่านอาจารย์เดินทางจากไปครานี้ แม้จะไปเพียงไม่นาน แต่ก็ยังห่วงใยงานแผ่นดิน”

ยังพระราชทานแผ่นเงิน ด้านบนสลักว่า “ฮ่องเต้พระราชทานแด่ขุนนางภักดี” มีพระราชานุญาตให้ส่งสารเป็นการลับได้ ไทเฮาทั้งสองยังพระราชทานบำเหน็จเพิ่มเติมอีก

ฮ่องเต้ว่านลี่ยังส่งขันทีจางหงแห่งสำนักส่วนพระองค์ไปจัดงานเลี้ยงส่งที่ชานเมือง ในเมืองหลวงขุนนางน้อยใหญ่จัดแถวส่ง นอกจากเกียรติยศเหล่านี้แล้ว คณะเสนาบดีใหญ่ยังให้จางจวีเจิ้งจัดการไว้ทุกสิ่งสรรพ

ลูกศิษย์ของจางจวีเจิ้งหลี่โย่วจือ จางซื่อเหวย เซินสือหังและอีกหลายคนอยู่ในคณะเสนาบดีใหญ่ ก่อนออกเดินทางก็เพียงแค่กำชับเล็กน้อย สั่งการเรื่องราวต่างๆ ด้วยความเป็นห่วง

ตามธรรมเนียม หากมหาอำมาตย์ออกจากคณะเสนาบดีใหญ่ไป รองอำมาตย์ก็ย่อมขึ้นแทนตำแหน่ง แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับกำชับก่อนจางจวีเจิ้งจากไปหลายรอบว่า หากมีเรื่องใหญ่ รีบม้าเร็วไปแจ้งแก่จางจวีเจิ้ง ให้มหาอำมาตย์ตัดสินใจ ไม่อาจตัดสินใจเองได้

รองอำมาตย์หลี่ว์เถียวหยางตอนไปส่งก็ปกติดีทุกอย่าง แต่พอกลับมาที่จวนสีหน้าก็สลดลง มองเห็นตนเองผมเผ้าหงอกขาวทั้งศีรษะในกระจกทองแดงแล้วก็พูดไม่ออก

เขาเองก็รู้ว่าจางจวีเจิ้งต้องกลับไปฝังศพบิดาสามเดือน เดิมคิดว่าจะเป็นโอกาสของตน ดังนั้นจึงวางตัวถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติมาโดยตลอด ทุกเรื่องให้จางจวีเจิ้งเป็นผู้นำ ไม่กล้าทำเรื่องนอกหน้าที่ผิดแผก

แต่วันนั้นที่จางซื่อเหวยพูดถึงเรื่องเบี้ยหวัดในที่ประชุมขุนนาง ก็อดไม่ได้ที่จะออกไปผดุงคุณธรรมสักสองสามประโยค ตอนนั้นได้หน้าไม่น้อย และตอนนี้ในเมืองหลวงยังสรรเสริญกันไม่หยุด ทำให้จางจวีเจิ้งระแวง เดิมคณะเสนาบดีใหญ่ต้องคอยให้ความเห็นในฎีกาก่อนทูลเกล้า สิบเรื่องก็จะมีสามสี่เรื่องถามเขา แต่ตั้งแต่ครั้งนั้นก็เหลือเพียงแค่เรื่องสองเรื่อง และล้วนเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ

จางจวีเจิ้งจากไปในครั้งนี้ ก่อนจากไปยังจัดสรรงาน เรื่องใหญ่น้อยในคณะเสนาบดีใหญ่ให้จางซื่อเหวยตัดสิน ส่วนเรื่องใหญ่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ให้ไปถามความเห็นของจางจวีเจิ้ง คนในสำนักคณะเสนาบดีใหญ่ห้ามยุ่งเกี่ยว

ทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นการจัดวางตนเองไว้ในที่สูงส่ง เป็นขุนนางสำคัญที่ทรงอำนาจ ไม่มีอำนาจยังเรียกว่าเป็นขุนนางได้อย่างไร หลี่ว์เถียวหยางรู้สึกได้ว่าบรรดาคนในราชสำนักต่างเย็นชาและออกห่างตน

“จางซื่อเหวย เจ้าวางแผนได้ดี…”

เล่ากันว่าคนรับใช้ในจวนหลี่ว์ได้ยินใต้เท้าหลี่ว์กล่าวด้วยความโกรธแค้นเช่นนี้ขึ้นในห้อง หาไม่มีใครรับและก็ไม่มีใครอยากจะสนใจ เพราะวันที่ 15 เดือนสามนี้เป็นต้นไป รองอำมาตย์หลี่ว์เถียวหยางก็ขอลาออกจากตำแหน่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงทัดทานไปตามธรรมเนียม ก่อนจะอนุมัติตามที่ขอ

วันที่ 22 เดือนสาม ม้าเร็วไปถึงขบวนเรือของจางจวีเจิ้ง รู้ว่ามหาอำมาตย์จางไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ หลี่ว์เถียวหยางก็ออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด

จากนั้นผู้คนในเมืองหลวงก็หันไปสนใจว่าผู้ใดจะมาดำรงตำแหน่งแทน หลี่โย่วจือเป็นเสนาบดีกรมขุนนาง สถานะสูงส่งที่สุดในคณะเสนาบดีใหญ่ และยังเป็นญาติทางสายบิดากับจางจวีเจิ้ง บุคคลที่จะได้รับเลือกนี้ ต้องเป็นเสนาบดีจางซื่อเหวยจากกรมหทารหรือไม่ก็เสนาบดีเซินสือหังจากกรมพิธีการเป็นแน่

ในความเป็นจริงแล้วสถานการณ์ก็เห็นได้ชัดแล้ว งานในคณะเสนาบดีใหญ่ เรื่องสำคัญให้จางจวีเจิ้งตัดสิน ไม่สำคัญให้จางซื่อเหวยตัดสิน ตำแหน่งรองอำมาตย์ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก

ราษฎรในเมืองหลวงที่ชอบล้อเลียน ก็พากันเรียกจางซื่อเหวยว่า “จางน้อย” ตอนที่เหยียนซงเรืองอำนาจ เหยียนซื่อฟานบุตรชายของเหยียนซงก็เป็นเจ้ากรมอากรอยู่ เรืองอำนาจในราชสำนัก ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ

และตอนนี้จางจวีเจิ้งแซ่จาง จางซื่อเหวยก็แซ่จาง จางซื่อเหวยก็ฟังคำสั่งจางจวีเจิ้งทุกเรื่อง ย่อมต้องถูกเรียกเช่นนี้ น่าสงสารที่สองคนอายุห่างกันไม่ถึงห้าปี หากกลับถูกผู้คนเรียกเป็นพ่อลูก

แม้ฮ่องเต้ว่านลี่จะไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนออกมา แต่เฝิงโหย่วหนิงหลานชายเฝิงเป่งกงกงก็เผยท่าทีของเฝิงกงกงออกมา บอกว่าจางซื่อเหวยผู้นี้ไว้ใจได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ จางซื่อเหวยจะได้ตำแหน่งรองอำมาตย์นั้นก็เป็นเรื่องตอกฝาโลงไปแล้ว เซินสือหังที่เป็นคู่ชิงก็แสดงท่าทีโอนอ่อนให้ หลายครั้งในการกระชุมคณะเสนาบดีใหญ่ ก็มักบอกว่าตำแหน่งรองอำมาตย์นี้ตนไร้สามารถไร้ความชอบไม่อาจรับไว้ได้ เสนาบดีจางควรเป็นผู้ถูกเลือก

ตั้งแต่มีคณะเสนาบดีใหญ่มา บรรดาขุนนางในราชสำนักต่างก็แย่งกันเลือดตกยางออกให้ได้ตำแหน่งในนี้ ใครได้เข้ามาหรือไม่ ก็มักจะผูกแค้นกันไปหลายรุ่น ยากที่จะมีบรรยากาศปรองดองเช่นนี้

จางจวีเจิ้งขึ้นเรือที่เมืองทงโจว ล่องไปตามน้ำลงใต้ ทางไปเทียนจินยังเดินเรือไปช้าๆ เพราะทางนี้ยังเป็นพื้นที่ศาลซุ่นเทียน ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกล

พอถึงเมืองเหอเจียน ผู้ว่าเหอเจียนและบรรดาขุนนางท้องที่ ขุนนางริมสองฝั่งน้ำ ต่างก็มารับด้วยตนเอง ทั้งรองผู้ว่าและผู้ว่าที่นี่แม้แต่จะนั่งเบื้องหน้าจางจวีเจิ้งยังมีคุณสมบัติไม่พอ ด้านนอกล้วนแต่คุกเข่าลงทำความเคารพ

********

ขณะที่กำลังข้ามเขต ที่ทำการเมืองเทียนจินแต่ละหน่วยงานต่างก็ชุลมุนกันเป็นอันมาก เพราะเทียนจินนี้เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างศาลซุ่นเทียนและศาลเหอเจียนพอดี หากจางจวีเจิ้งก็มิได้ลงจากเรือ

กองตรวจการออกหน้าร่วมกับคนมีหน้ามีตาแต่ละหน่วยงานต่างๆ มาส่งมอบของขวัญ และยังจัดของเสริมเพิ่มให้ในเรือแต่ละลำอีกด้วย และก็ผ่านไปเช่นนั้น

หวังทงก็ตามมามอบให้ไปด้วย 200 ตำลึง เป็นจำนวนตามธรรมเนียม ไม่มากไม่น้อย

ในและนอกเมืองเทียนจินก็ปกติทุกอย่าง งานของหวังทงเองก็ดำเนินไปอย่างปกติดี ไม่ว่านายกองฟานต๋าหรือขันทีว่านเต้าก็ล้วนมีคนงานผลัดเปลี่ยนหน้ากันไป

ใครทำผิดถูกไล่ออก ใครมีปัญหาก็ต้องออกจากจวน ดังนั้นจึงไม่ต้องทำอะไรมาก จวนพวกเขาเองก็ต้องการคนไปเพิ่มเป็นปกติ

คนที่จางซื่อเฉียงพามาจากเมืองทงโจว ก็เป็นลูกหลานคนงานในบ้านตน ทำงานรับใช้มาก่อน ย่อมต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด องครักษ์เสื้อแพรเองก็อ้อมไปอ้อมมา ฉวยจังหวะที่ไม่มีใครสังเกต คนเหล่านี้ก็เข้าไปอยู่ในจวนทำการต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

ก่อนพวกเขาปะปนเข้าไปได้ก็ไม่ได้รับคำสั่งให้สืบข่าวอะไร เพราะคนที่ไม่ได้รับการฝึกมาย่อมเผยพิรุธออกไปได้ง่าย

เพียงแค่มีคนจากบ้านเกิดเดียวกันจากเมืองทงโจวมาที่เมืองเทียนจิน มาเยี่ยมกันเป็นระยะๆ คุยเรื่องสัพเพเหระที่บ้าน ไม่ทันตั้งตัว คนที่ถูกถามก็ไม่ทันรู้ตัว คุยเรื่องสัพเพเหระในจวนกันไป ทุกคนสนุกสนานแล้วก็จากกันไป ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ

ส่วนเรื่องการจัดการของส่วนกลางองครักษ์เสื้อแพรแล้ว หวังทงก็เป็นคนนอก เรื่องบางเรื่องของสำนักบูรพาก็ไม่อาจส่งให้เขา มีช่องว่างกั้นไว้ชั้นหนึ่ง การหาข่าวและการจับตาดูที่หวังทงทำอยู่ก็ได้มาจากประสบการณ์ที่เคยได้มาตอนสำรวจตลาดและวิเคราะห์ลูกค้าขณะทำงานในสมัยนั้น

เรื่องเล็กน้อยไร้สาระก็หลายเรื่อง แต่สำหรับหวังทงแล้ว การวิเคราะห์แยกแยะข่าวสารที่ไร้ประโยชน์พวกนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ สามารถเอามาช่วยในการตัดสินใจให้แม่นยำได้

แต่ความสามารถนี้ไม่ใช่ว่าจะถ่ายทอดด้วยวาจากันได้ในเวลาไม่กี่เดือน ตอนนี้คนที่ทำได้ในเทียนจินก็มีหวังทงคนเดียว ยังดีที่ข่าวสารไม่มาก คนที่ต้องจับตาดูก็แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ตอนที่อยู่เมืองหลวงนั้น หลี่ว์วั่นไฉและพวกขันทีในวังก็พอมีความสามารถด้านนี้อยู่บ้าง อย่างไรก็เคยฝึกจัดการข่าวสารใหญ่มานานหลายปี

ส่งคนเข้าไปปะปนได้ไม่ถึงสิบวัน หวังทงก็ได้ข้อสรุปมาประการหนึ่ง นายกองตรวจการฟานต๋ากับขันทีว่านเต้าสองคนนี้มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่าที่ตนคิดไว้มากนัก

แม้ว่าสองคนจะไม่ไปมาหาสู่กันเท่าไร แต่มีเถ้าแก่ไฉผู้หนึ่งที่มีร้านค้าทงไห่ไปมาหาสู่สนิทสนมกับเขาทั้งสองคนมาก มีกลุ่มก้อนเช่นนี้ ย่อมมีการร่วมมือกันทำสิ่งใดเป็นแน่

ไม่ว่าสิ่งที่คุยกันนั้นคืออะไร แม้จะยังสืบมาไม่ได้ แต่ว่ากันว่าทุกครั้งที่พบกัน แม้แต่ผู้ติดตามคนสนิทก็จะถูกไล่ออกไป ว่ากันว่าเถ้าแก่ไฉจ่ายหนัก ทุกครั้งที่มาเยี่ยมเยียน หลายคนก็จะพลอยได้รับเงินรางวัลอะไรพวกนั้นไปด้วย

เวลายังผ่านมาไม่นาน ข่าวสารได้มาไม่มาก หวังทงได้แต่เตือนตนเองว่าอย่าใจร้อน บังคับใจตนเองว่าให้ค่อยเป็นค่อยไป

ค่ายใหม่ก็ฝึกมาได้เกือบสองเดือนแล้ว ในที่สุดอวี๋ต้าโหยวก็เข้ามาร่วมด้วย ที่เขาทำทุกวันนั้นต่างจากครูฝึกคนอื่นๆ อวี๋ต้าโหยวจะใช้ทวนยาวปลายไม่แหลมเป็นไม้เท้า ขณะที่ทหารกำลังฝึกก็จะเดินไปทั่ว เขาจะไม่รบกวนการฝึกของทั้งสามค่ายขณะฝึกอยู่ แต่จะออกไปคัดเลือกแรงงานที่กำลังทำงานกันอยู่ข้างนอก

เพิงพักกลายเป็นเรือนเป็นห้องขึ้นมาก สนามฝึกก็ปรับพื้นที่ได้ราบเรียบดีมาก รอบนอกยังมีรั้วไม้ที่ทำจากไม้หยาบๆ ทั่วไปคั่นกับคูน้ำที่ขุดได้ลึกอยู่ ตอนนี้สิ่งที่แรงงานกำลังทำกันอยู่ก็คือการขยายเส้นทางจากค่ายไปยังทางหลวงให้กว้างขึ้น จะได้ขนถ่ายสินค้าได้สะดวก

การจะมีพื้นที่บ่อเกลือเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องหากันได้ง่ายนัก รอบๆ คลองส่งน้ำเป็นพื้นที่ทำการค้า ที่บุกเบิกได้ก็บุกเบิกกันไปเกือบหมดแล้ว ค่ายทหารใหม่ก็ยังนับว่าเป็นที่ห่างไกลความเจริญมาก

คนที่อวี๋ต้าโหยวคัดเลือกมาอาจจะไม่ใช่คนเฉลียวฉลาด และก็ไม่ใช่คนที่ก่อเรื่องในคืนวันนั้น แต่เป็นพวกใช้แรงงานที่อดทนลงแรงที่สุด พวกชายฉกรรจ์ที่ไม่ค่อยยอมพูดคุยที่สุด

การกระทำของอวี๋ต้าโหยว หวังทงก็เห็นชอบด้วยทุกประการ ต้องการเงินให้เงิน ต้องการคนให้คน อวี๋ต้าโหยวลงแรงไปเลือกมาด้วยตนเองได้สี่ร้อยคน ตั้งเป็นค่ายสี่และค่ายห้า แต่ค่าแรงแม้ว่าจะเหมือนกับค่ายสามของหวังทง การฝึกก็เหมือนกัน เพียงแต่งานหนักที่ต้องทำก็ต้องทำเหมือนเดิม ลำบากมาก

การฝึกทุกวันพลทหารเกือบพันฝึกกันหนัก ก็กลายเป็นภาพประจำแถบนี้ไปแล้ว มักมีคนว่างงานและคนมาเที่ยวเล่นพากันมาชมที่นี่ ท่าทีหวังทงก็ง่ายมาก แต่ละค่ายผลัดกันถือไม้พลองแส้หนังออกไปขับไล่ นี่ก็นับเป็นการฝึกแบบหนึ่ง และยังเป็นการวัดประสิทธิภาพและความเร็วใจการจัดการของแต่ละค่ายไปในตัวด้วย

การกระทำทุกอย่างของหวังทงแต่ละเรื่องก็ล้วนจดบันทึกไว้อย่างละเอียด จากนั้นก็ผนึกลงกล่องเหล็กส่งเข้าเมืองหลวง ถวายให้ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตร นอกจากเรื่องเจ้าหน้าที่ที่คลองส่งน้ำวันก่อนแล้ว เรื่องอื่นๆ หวังทงก็รู้สึกว่าไม่น่าสนใจอะไรนัก ก็ยังกังวลว่าว่าเรื่องแห้งแล้งน่าเบื่อหน่ายพวกนี้จะทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่เบื่อหน่าย

แต่สารที่ส่งกลับมาจากเมืองหลวงนั้นสลายความกังวลของเขาลง ไม่ว่าจะเป็นที่ฮ่องเต้ว่านลี่บอกว่าพยายามเขียนออกมาให้ละเอียด พยายามเขียนเว้นช่องว่างให้น้อยอีกหน่อย หรือที่จางเฉิงเล่าว่าฮ่องเต้ว่านลี่มักจะเร่งให้เขาออกไปดูว่ามีสารลับจากเทียนจินมาหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ว่านลี่สนใจอย่างมาก ชอบอ่านเป็นที่สุด

วันที่ 2 เดือนสี่ ขณะที่จวนหวังทงเปิดประตูอยู่ก็มีคนมาขอพบ ส่งเทียบมาก่อนว่าชื่อกู่จื้อปินเถ้าแก่ร้านตระกูลหวัง

“เชิญเข้ามาได้ เถ้าแก่ร้านตระกูลหวังแซ่ ‘กู่’ นี่ก็น่าสนใจอยู่ เถ้าแก่กู่มาช้าไปหน่อยกระมัง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version