Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 243

ตอนที่ 243 กำไรยากลำบาก ร่วมมือกันอีกครั้ง

เดือนสามที่ไปยุ่งเรื่องบนคลองส่งน้ำนั่นมา เถ้าแก่กู่ก็ไม่ใช่คนร่ำรวยกิจการใหญ่โตอะไร ด้วยสถานะที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ควรจะมาเยี่ยมคารวะขอบคุณในคืนวันนั้นด้วยซ้ำ

แต่ก็ลากมาได้ตั้งครึ่งเดือนจึงได้มา ช่างไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมเสียจริง หากหวังทงก็ไม่ได้ใส่ใจ หวังซื่อที่ศาลซุ่นเทียนก็เคารพนอบน้อมหวังทงมาโดยตลอด ทำงานก็นับว่าพยายามใช้ได้ คนในปกครองไม่รู้งานก็ไม่รู้งานไปแล้ว จะไปใส่ใจทำไม

หวังทงไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาคารวะขอบคุณถึงที่ในยามนี้ เรื่องนี้ก็ช่างมันไป ได้แต่รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเท่านั้น

พอชายวัยกลางคนผู้นั้นเข้ามาถึง ก็คุกเข่าลงกับพื้นขั้นบันได โขกศีรษะตามธรรมเนียมสามที จากนั้นก็ให้คนนำรายการของขวัญเข้ามามอบให้

สามร้อยตำลึง ยังมีเครื่องเคลือบเครื่องลงยาชั้นดีอีกหกชิ้น นับแล้วน่าจะราวหนึ่งร้อยตำลึง ของขวัญชิ้นใหญ่อยู่ เครื่องเคลือบบนเรือนั่นขายหมดก็ไม่แน่ว่าจะได้กำไรมาเพียงนี้

หวังทงนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยว่า

“เจ้าและข้าก็เคยคบหากันตอนอยู่เมืองหลวง โรงตีเหล็กนั่นข้าก็รับมาตามที่เจ้าขอ ความสัมพันธ์ข้ากับหวังซื่อก็ไม่เลว ของขวัญของเจ้าหนักไปหน่อย จ่ายเงินไปมากมายเพียงนี้ ข้าไม่กล้ารับ เจ้านำกลับไปเถอะ!”

เถ้าแก่กู่โขกศีรษะ กล่าวอย่างนอบน้อมที่สุดว่า

“ใต้เท้าหวังช่วยข้าน้อยมากมายเพียงนี้ เงินแค่นี้ข้าเกรงว่าท่านจะรังเกียจว่าน้อยนิด หากนำกลับไป ก็ถือว่าดูถูกข้าน้อยแล้ว”

เงินแค่นี้สำหรับหวังทงไม่นับว่ากระไรได้ แต่ก็ไม่คิดมากอะไรอีก กองของไว้ด้านหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า

“ไม่ใช่คนแปลกหน้ากัน ไยต้องเกรงใจเพียงนี้ นั่งลงเถอะ!”

เถ้าแก่กู่ขอบคุณอีกครั้งก่อนจะนั่งลงริมขอบเก้าอี้หมิ่นเหม่อย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ไม่คุ้นเคยกับคนที่เทียนจิน หวังทงคิดจะรู้จักคนระดับล่างทั่วไปให้มากอีกหน่อย ท่าทางของเขาก็นุ่มนวลมาก พอชายผู้นั้นนั่งลง หวังทงก็ถามก่อนว่า

“การค้าร้านท่านดีไหม ระยะนี้ไม่มีคนมาหาเรื่องใช่ไหม!”

เถ้าแก่กู่สีหน้าแปลกใจ ยิ้มเฝื่อนๆ ตอบว่า

“เรียนใต้เท้า เรื่องวันนั้นเดิมข้าน้อยก็ควรจะมาคารวะขอบคุณในคืนนั้น แต่พอกลับไปคิดไปคิดมา การค้านี้ทำไม่ได้แล้ว หลายวันนี้เลยมัวแต่หาทางขายร้าน จึงได้มาคารวะท่านในตอนนี้”

ร้านขายไปแล้ว หวังทงรู้สึกงง เห็นว่าเทียนจินทั้งในและนอกเมืองนี้มีร้านค้ารุ่งเรืองกันมากมาย ควรจะเป็นการค้าที่มีกำไรงาม เหตุใดบอกจะขายก็ขาย หวังทงคิดถึงเรื่องอื่นทันที เขาขมวดคิ้วถามว่า

“เถ้าแก่กู่ หากเป็นเพราะว่านกงกงหรือใต้เท้าฟานไปหาเรื่องท่าน ท่านก็บอกข้า ข้าจะออกหน้าให้ท่านเอง”

ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ กู่จื้อปินก็ยิ้มเฝื่อน ทำเอาใบหน้าบิดเบี้ยว ส่ายหน้ากล่าวว่า

“ขอบคุณใต้เท้าหวังที่หวังดี การค้านี้ทำต่อไปไม่ไหวแล้ว ทำวันหนึ่งก็ขาดทุนวันหนึ่ง ข้าน้อยไม่มีใจอยากจะทนทำต่อแล้ว ข้าน้อยยังมีที่ดินตกทอดที่เมืองเป่าติ้งอยู่บ้าง กลับไปทำไร่ทำนา ใช้ชีวิตเรียบง่ายไปก็พอแล้ว”

“หรือว่าไม่ทำกำไร เรือสินค้าขึ้นเหนือล่องใต้มากมายเพียงนั้น สินค้าไม่เคยขาด เถ้าแก่กู่ก็ทำการค้าชำนาญ ทำไมยังเป็นเช่นนี้ไปได้?!”

“คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหวังจะเชี่ยวชาญการค้าด้วย เรียนตามตรง ข้าน้อยทำการค้ามาหลายปี รู้ว่ากำไรน้อยหน่อยได้ รู้ว่าควรซื่อสัตย์ต่อลูกค้า แต่ทำการค้านี้ สินค้าที่มาครั้งหนึ่งก็ต้องมีเรื่องครั้งหนึ่ง ออกสินค้าก็ต้องมีเรื่องอีก ใต้เท้าก็เห็นว่าการตรวจพ่วงสินค้าวันนั้น ข้าน้อยเปิดกิจการมาได้สองสามเดือน ทุกครั้งเอาสินค้าเข้าร้านก็ต้องถูกตรวจ ทุกครั้งก็มีเรื่องไม่น้อย เงินจ่ายไปทางนี้ รอสินค้าออกมาได้ ผ่านปากคลองส่งน้ำ ก็มีด่านอีก ว่ากันว่ากลัวจะเป็นโจรร้ายแฝงตัวเข้าเมืองมา มาตรวจกันบนฝั่งอีกรอบ การตรวจครั้งนี้ก็มีแต่เรื่องเดือดร้อน รอให้ผ่านด่านนี้ไป เงินทองที่ใช้จ่ายไปรวมๆ กันขึ้นมาก็ต้องขายราคาสูง แต่พอราคาสูง จะมีผู้ใดมาซื้อ ตั้งแต่ปีก่อนมา ทำการค้าไปทั้งหมด 13 รอบ ไม่ได้เงินสักแดง กลับต้องเอาเงินมาโปะเพิ่มอีก”

กู่จื้อปินพูดไปพูดมาก็เริ่มใส่อารมณ์ หวังทงได้ยินแล้วก็รู้สึกสนใจมาก อดถามขึ้นไม่ได้ว่า

“สินค้าทางใต้เอามาขายแถบทางเหนือก็กำไรมหาศาลนี่ ไยจึงต้องมุ่งเพียงแค่เมืองหลวง”

กู่จื้อปินไม่สนใจธรรมเนียมอะไรอีกแล้ว พอได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็ยกมือตบหน้าตักเสียงดังป้าบก่อนกล่าวเสียงดังว่า

“ใต้เท้าหวังเหตุใดคิดได้ ทำไมข้าน้อยคิดไม่ถึง สินค้าครั้งนี้ขึ้นสินค้าที่เมืองหลินชิง ได้คนซื้อจากเมืองเป่าติ้งเรียบร้อย แต่ยังมาพบเรื่องเช่นนี้ เหมือนว่ามีใครจับตาดูข้าน้อยอยู่ ไม่กล้าปิดบังใต้เท้า วันนั้นใต้เท้าออกหน้าช่วยเหลือ ข้าน้อยรู้สึกดีใจมาก ในใจคิดว่าวันหน้ามีคนคุ้มครองแล้ว แต่พอได้เห็นสิ่งที่ร้านค้าอื่นๆ ต้องประสบกันมาสองริมฝั่งคลองส่งน้ำแล้ว ในใจก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา…”

กล่าวถึงตรงนี้ก็ทอดถอนใจ หวังทงรู้สึกไม่เข้าใจ ร้านค้าอื่นๆ มันเป็นยังไง ก็เห็นอยู่ว่าร้านค้าสองริมฝั่งคลองส่งน้ำ ยังมีพวกโรงเตี๊ยมที่กิจการรุ่งเรืองมากมาย จึงได้ถามออกไปว่า

“เจ้าไม่ต้องเสียใจไป อย่างมากก็แค่เปิดกิจการขึ้นมาใหม่ ข้าอยู่เบื้องหลังคอยหนุนเจ้า เจ้ากลัวอะไร?”

กู่จื้อปินเผยสีหน้าลำบากใจออกมา ลังเลอยู่นานก็ไม่ยอมพูด หวังทงมองไปมาก่อนจะกระแอมไอ ทนไม่ไหวกล่าวว่า

“มีอะไรก็ว่ามา จะมัวมาอ้ำๆ อึ้งๆ ทำไมกัน!”

“ใต้เท้าหวัง ร้านค้าที่เปิดอยู่ริมสองฝั่งน้ำทำการค้าได้นั้น เบื้องหลังก็ต้องมีชนชั้นสูงในเมืองหลวงหนุนหลัง บรรดาเสนาบดีหรือเจ้ากรมต่างๆ ต่างก็มีส่วน ยังมีบรรดากงกงในวังก็มีกิจการค้ากันด้วย ที่เหลือนั้นเกรงว่าคงเปิดทำการไม่ได้”

“การค้าพวกนั้น ล้วนเป็นของพวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงหรือ?”

“ก็ไม่เชิง ร้านสินค้าทงไห่ ร้านสินค้าผู่เหอ ร้านสินค้าหย่งเซิ่ง สามร้านนี้ก็ครอบครองการค้ากันไปเกือบหกเจ็ดส่วนแล้ว”

“หืม? สามร้านนี้เบื้องหลังคือผู้ใดเจ้ารู้หรือไม่?”

การค้าหกถึงเจ็ดส่วน จากความรุ่งเรืองที่เห็นข้างนอกนั้น เบื้องหลังไม่รู้ว่ามีเงินทองไหลเข้ามหาศาลเพียงไร เป็นการค้าที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ทำให้หวังทงรู้สึกสนใจขึ้นมาจริงๆ แล้วว่าเบื้องหลังคือผู้ใด

“ใต้เท้าหวัง ร้านพวกนี้เบื้องหลังเป็นผู้ใดก็ไม่รู้ ร้านหนึ่งมาจากศาลซุ่นเทียน อีกสองร้านมาจากทางมณฑลซานซี ในตลาดเล่ากันว่าพวกเขามีสายสัมพันธ์ไม่เลวกับพวกนาวาสุคนธ์ ไม่แน่ว่าอาจมีเบื้องหลังเป็นพวกนาวาสุคนธ์…”

ได้ยินกู่จื้อปินกล่าวมาเช่นนี้ หวังทงก็อดส่งเสียงแค่นยิ้มเย็นชาขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยว่า

“ก็แค่สำนักชาวบ้านสามัญร่วมกันตั้งขึ้นมา ปกติก็แค่อวดเบ่งไปหน่อย มีความสามารถเพียงไหนกัน ในเมืองหลวงขุนนางใหญ่มีส่วนแบ่งการค้ากันไม่ถึงสี่ส่วน พวกนาวาสุคนธ์ถือสิทธิ์อะไรมีหกส่วน เบื้องหลังช่างน่าประหลาดนัก!”

กู่จื้อปินตัวหดเล็กลง ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ทั้งสองเคยพบกันที่เมืองหลสง ตอนนั้นกู่จื้อปินยิ้มแย้มคุยด้วยได้ แต่ห่างกันไม่กี่เดือน มาพบกันอีกครั้ง สถานะและสง่าราศีของหวังทงไม่เหมือนเมื่อก่อน กิริยาท่าทางและการพูดคุยดูมีอำนาจบารมี กล่าววาจาแต่ละประโยคออกมาก็ตรงประเด็น ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเคารพยำเกรงขึ้นมาลึกๆ

ได้ยินการวิเคราะห์ของหวังทง กู่จื้อปินแม้ไม่กล้ารับคำ แต่ในใจก็ไม่เห็นด้วย นาวาสุคนธ์นั้นไม่ว่าที่คลองส่งน้ำหรือท่าเรือก็ล้วนใหญ่โตน่าเกรงขาม ทางการยังต้องยอมอ่อนให้หลายส่วน มีความสามารถเช่นนี้ การค้าทำแล้วก็ย่อมง่ายดาย ตนเองก็เคยเตรียมของขวัญไปมอบให้ ยอมควักเงินค่าธูป ทำไมอีกฝ่ายจึงไม่สนใจแม้แต่น้อย?

กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั่นเอง หวังทงก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“เถ้าแก่กู่ ตอนนี้ท่านขาดทุนไปเท่าไร?”

“ก็ไม่ถึงสามพันตำลึง”

“ข้าชดเชยให้ท่านสามพันตำลึง ที่เหลือเอาไว้ค้าขายต่อ ขาดทุนข้าชดเชยให้ กำไรท่านกับข้าคนละครึ่งเป็นไง?”

กู่จื้อปินอึ้งไปก่อนจะตัวสั่นไปทั่งตัว สีหน้าดูลำบากใจ เอ่ยว่า

“ร้านข้าน้อยขายไปแล้ว จะว่าไปจะทำการค้าให้ใต้เท้านั้น ข้าน้อยเองก็ขาดทุนมาโดยตลอด จะมีหน้าไปลากใต้เท้ามาขาดทุนไปด้วยได้อย่างไรกัน”

“ห้าพันตำลึงมอบให้ท่านไว้ก่อน หากขาดทุนก้อนนี้ไป ท่านอยากไปก็ไปได้เลย จะว่าไป มีข้าคอยดูแลท่าน ผู้ใดยังกล้ามาหาเรื่องท่านอีก ทั้งไปทั้งกลับย่อมราบรื่น เงินที่คนอื่นทำกำไรได้ พวกเราทำกำไรไม่ได้งั้นหรือ?”

หวังทงกล่าวได้ใจกว้าง แต่กู่จื้อปินก็ยังคงมีสีหน้าลำบากใจ หวังทงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจ ยิ้มกล่าวว่า

“เถ้าแก่กู่คิดว่าข้าถูกคนเมืองหลวงขับไล่ออกมาที่นี่งั้นหรือ เทียบกับพวกชนชั้นสูงพวกนั้นไม่ได้งั้นหรือ ความกล้าหาญของท่านที่เคยเปิดร้านตีเหล็กทำอาวุธทำกำไรหายไปไหนหมด!”

วาจานี้ทำเอากู่จื้อปินสะดุ้ง จนประโยคสุดท้าย กู่จื้อปินก็ลุกขึ้นยืนหน้าตาแดงก่ำ คุกเข่าลงโขกศีรษะอีกครั้งก่อนจะกล่าวเสียงดังก้องว่า

“ใต้เท้ากล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว เงินที่ใต้เท้าชดเชยให้มา ข้าน้อยไม่เอาสักแดง แม้ว่าต้องหมดตัวก็จะร่วมการค้ากับใต้เท้าให้ถึงที่สุด!”

หวังทงยิ้ม ก้าวเข้ามาดึงให้ลุกขึ้น ยิ้มกล่าวว่า

“วันหน้าท่านจะต้องร่ำรวย จะหมดตัวได้อย่างไร อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้ รีบไปซื้อร้านท่านคืนมาก่อนเถอะ ริมสองฝั่ง ที่ดินดีๆ เป็นเงินเป็นทอง เงินไม่พอ ก็มาเอาจากข้าไปได้!!”

กู่จื้อปินรับคำด้วยความตื่นเต้น ไม่ว่าอาการตื้นตันนี้จริงหรือเท็จ แต่ในใจหวังทงกับกู่จื้อปินก็ล้วนเข้าใจดี สองคนอย่างน้อยก็ยืนอยู่ข้างเดียวกันแล้ว

รอจนกู่จื้อปินจากไป หวังทงก็ขี่ม้าไปค่ายใหม่ตามปกติ พอออกจากเมืองไป ก็เห็นความคึกคักของสองฝั่งน้ำ เรือแล่นเข้าแล่นออกไปมา เดิมก็รู้สึกตื่นเต้นกับการค้ารุ่งเรืองขนาดนี้ในยุคสมัยนี้อยู่แล้ว ยามนี้กำลังคิดถึงว่า เทียนจินนี่ไม่รู้ว่ามีความลับมากมายเท่าไร

*******

ตั้งแต่วันที่ 13 เดือนสาม มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งก็กลับบ้านเกิดไปฝังศพบิดา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็อิสระมาก กลางวันก็ทำไปตามปกติ พอเลิกประชุมก็ไปอ่านสารที่หวังทงส่งมา การอ่านเอกสารจากสำนักรักษาความสงบทำให้ทรงรู้สึกสบายพระทัยและอิสระยิ่งนัก

แต่หลังวันที่ 6 เดือนสี่ วันเวลาสบายๆ เหล่านี้ก็หมดไป หลินซูลู่จากสำนักอาชาหลวงตรวจพบการทุจริตของโจวอี้แห่งกองกำลังมังกรฝ่ายซ้าย สำนักอาชาหลวง ด้วยการรายงานจำนวนม้าและอุปกรณ์ม้าต่างๆ อันเป็นเท็จ เข้ากระเป๋าไปทั้งหมดสองหมื่นหกพันตำลึง

ที่หลินซูลู่รายงานนั้นหมายถึง กองกำลังสำนักอาชาหลวงเป็นปราการด่านสุดท้ายของวังหลวง แต่โจวอี้กลับทำลายระเบียบ โกงกินเงินกองกำลัง เป็นความผิดร้ายแรง

ฎีกาถูกส่งไปที่ไทเฮาทั้งสองและฮ่องเต้ว่านลี่ ความผิดนี้ตามกฎแล้วต้องประหารชีวิต…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version