ตอนที่ 286 เมืองหลวงมีราชโองการ เทียนจินมีเรื่อง
ข่าวจากเมืองหลวงไปเมืองเทียนจินย่อมไม่อาจไปถึงในวันเดียว เมืองหลวงมีราชโองการโปรดเกล้าแปลกประหลาดออกมาฉบับหนึ่ง ข่าวนี้ก็ย่อมไม่อาจไปถึงเทียนจินได้ในวันเดียวเช่นกัน
ค่าใช้จ่ายในวังทุกปีและเงินก้อนจินฮวาที่ฮ่องเต้มีไว้พระราชทานจากเดิมปีละหนึ่งล้าน เพิ่มอีกเป็นปีละสองล้านตำลึง เพิ่มขึ้นหนึ่งล้านอย่างกะทันหันเช่นนี้แล
แม้ว่าสายข่าวยังไม่รายงาน แต่ในวงการขุนนางก็เริ่มโจษจันกันไปทั่ว แต่ก็แค่เพียงไม่นาน เพราะทุกคนที่ได้ยินข้อความส่วนต้นของราชโองการทำเอาอึ้งกันไปเลยทีเดียว ข้อจำกัดต่างๆ ในราชโองการนั้นทำเอางงไปตามๆ กัน
ไม่เพิ่มภาษี ไม่เรียกเก็บจากขุนนาง ไม่เรียกเอาจากงบแผ่นดิน ไม่แตะต้องรายได้จากทรัพย์สินส่วนพระองค์ คนใต้หล้าล้วนคิดไม่ออกมาจะมีวิธีการใดที่จะได้มาซึ่งเงินทองได้อีก
หรือว่าฮ่องเต้ทรงดื่มสุรามากไป ไม่รู้ว่าข่าวมาจากที่ไหนบอกว่าก่อนมีราชโองการหนึ่งวัน ฮ่องเต้เสด็จกลับตำหนักก็ถูกไทเฮาทรงตำหนิ แต่ยังคงไม่ยอมเปลี่ยนพระทัย สุดท้ายไทเฮาเองก็ไม่ทรงทำอะไรได้ คิดเสียว่าเรื่องนี้เป็นการหาเรื่องเกเรแบบเด็กๆ ของฮ่องเต้น้อยไปก็แล้วกัน
ในเมืองหลวงถึงกับมีข่าวลือแพร่สะพัดว่า ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางสั่งประหารเสิ่นว่านซาน[1] กะละมังทรัพย์สินของเขาที่เมืองหนานจิงถูกขุดขึ้นมา เสนาบดีกรมทหารที่เมืองหนานจิงเป็นผู้นำส่งมาที่เมืองหลวง มีกะละมังทรัพย์สินนี้ในครอบครอง หนึ่งล้านตำลึงจะไปลำบากอันใด โยนเหรียญทองแดงลงไปไม่กี่วันก็งอกเงยขึ้นมามหาศาล
ข่าวลือนี้มาทีหลัง ว่ากันว่าวันที่สองหลังจากประชุม คณะเสนาบดีใหญ่ก็เสนอทูลให้โปรดเกล้า ตกบ่ายสำนักส่วนพระองค์ก็ลงชาดอนุมัติเสร็จสรรพและประกาศแก่ใต้หล้า
เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้ คงเป็นเพราะเกรงว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะทรงเปลี่ยนพระทัย ทุกคนมองออกว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้วว่าต้องการเงินก้อนจินฮวา ปฏิกิริยาคนในวังก็ไม่เดือดร้อน ไม่รู้ว่าเป็นความต้องการของมหาขันทีบางคนด้วยหรือไม่ หรือว่าอาจเป็นพระประสงค์ไทเฮาฉือเซิ่ง อย่างไรก็จัดการให้เร็วที่สุดได้เป็นดี
บางทีฮ่องเต้ว่านลี่อาจมีวิธีการอันใด แต่ทุกหนทางก็กันไว้หมดสิ้นแล้ว ถึงตอนนั้นหากมีอะไรผิดไปจากนี้ ทุกคนก็จะได้นำราชโองการนี้ออกมาอ้าง
*********
วันที่ 30 เดือนเจ็ดเมืองหลวงออกราชโองการ เมืองเทียนจินวันที่ 1 เดือนแปดย่อมยังไม่ได้ข่าวอันใด
พลทหารองครักษ์เสื้อแพรที่เดิมรวมตัวกันอยู่แต่ในค่ายอยู่ ๆ ก็ตั้งแถวเดินขบวนออกจากค่าย ออกลาดตระเวนในเมือง เห็นพลทหารถือหอกยาวในมือเดินกันเป็นขบวน
บรรดาคนในเมืองต่างก็หวาดกลัวกันอย่างมาก ไม่ออกจากบ้านได้เป็นดี ตามท้องถนนจึงเงียบยิ่งกว่าเงียบ
ค่ายฝึกใหม่นอกเมืองมีคนขี่ม้าลาดตระเวนรอบค่ายระยะสองลี้ และยังมีทหารกองใหญ่ลาดตระเวนแบบปูพรม คนไม่เกี่ยวข้องไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ล้วนไม่กล้าเข้าใกล้ พากันถอยห่างออกไปให้ไกลที่สุด
อย่างไรงานที่ต้องคอยจับตาดูหวังทงกับพรรคพวกนั้นก็เป็นงานที่ใช้เวลานาน ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบในยามนี้ อย่างนั้นก็พักสักวันก็แล้วกัน
วันที่ 28 เดือนเจ็ดคนที่เมืองทงโจวคิดจะจ้างเรือขนส่ง อยู่ๆ ก็พบว่าไม่มีเรือสักลำ แม้กระทั่งเรือบรรทุกเสบียงและสินค้าลงที่ทงโจวก็เช่นกัน ทุกลำพากันหยุดเพื่อรับงานส่วนตัวกันหมด มีคนไปสืบข่าวมารายงานว่าวันที่ 20 เดือนเจ็ด มีคหบดีผู้หนึ่งเหมาเรือไปหมด ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร
ท่าเรือเมืองเทียนจินเป็นท่าระหว่างทางขนส่ง นอกจากท่าเรือนอกเมืองแล้ว ต้นแม่น้ำและปลายแม่น้ำยังมีเรือไม่น้อยลอยลำคอยท่าอยู่ ที่ท่าเรือต้นแม่น้ำก็มีสิบกว่าลำรวมกันเป็นขบวนใหญ่ลอยลำรออยู่
เรือพวกนี้ลอยลำเช่นนี้มาหลายวัน ไม่มีการเคลื่อนไหวอันใด มีคนนำรถใหญ่ไปเทียบและคอยส่งอาหารขึ้นเรือพวกนั้น เข้าๆ ออกๆ กันไม่น้อย หากก็คุ้มกันเข้มงวดมาก ปกติทุกคนก็ต่างอยู่กันบนเรือไม่ออกมาเพ่นพล่าน
คืนวันที่ 1 เดือนแปด เรือ 20 กว่าลำที่จอดอยู่ก็จุดตะเกียงสว่างไสว มีเสียงผู้คนจอแจ แต่สถานที่นี้ค่อนข้างห่างไกลชุมชน และก็ไม่ใช่สถานที่สำคัญอันใด จึงไม่มีผู้ใดคอยจับตาดู คืนนี้ที่ยุ่งกันก็ไม่รู้ว่าเป็นการสบคบคิดกันทำอะไรที่บอกใครไม่ได้ แต่หากมองเห็นก็ควรต้องหลีกหนีให้ไกล
นอกเมืองเทียนจินมีธรรมเนียมที่ไม่ได้ร่างเป็นอักษรว่าอย่ายุ่งเรื่องผู้อื่น ที่คลองส่งน้ำและแม่น้ำทะเล[2]ก็เช่นเดียวกัน ปิดตาข้างหนึ่ง เปิดตาข้างหนึ่ง ย่อมมีอายุยืนยาว
**********
วันที่ 2 เดือนแปด ฟ้าใสกระจ่าง หลายวันนี้ ร้านค้าภายใต้ชื่อของหวังทงสองร้านก็นำสินค้าเข้าร้าน องครักษ์เสื้อแพรในเมืองก็มาช่วยงานกันไม่น้อย
หวังทงผู้นั้นไม่อาจล่วงเกิน คหบดีกู่จื้อปินที่ร่วมลงทุนกับหวังทง ยังมีตระกูลจางที่ได้เขยไปคนหนึ่ง ล้วนเป็นร้านค้าในความคุ้มครองของหวังทง อย่าหาเรื่องดีที่สุด
ดังนั้นหลายวันนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบในหน่วยงานของขันทีว่านเต้าจึงยกขบวนกันกลับเข้าเมือง การขนส่งบนคลองส่งน้ำก็สะดวกราบรื่นมาก
เรือขนถ่ายสินค้าให้กับร้านตระกูลหวังกับตระกูลจางเสร็จก็กางใบออกจากท่าไป พูดไปแล้วก็บังเอิญ พอดีว่ามีขบวนเรือใหญ่จากต้นน้ำมาถึง
บนคลองส่งน้ำมีเรือยิ่งเยอะยิ่งดี ทุกลำแล่นต่อๆ กันมา หนึ่งนั้นทำให้เรือแล่นได้นิ่ง สองนั้นสามารถดูแลกันและกันได้
ทั้งหมดเป็นเรือใหญ่สามสิบกว่าลำ บนเรือมีคานไม้ไผ่ใหญ่ขึ้นโครงไว้ บนนั้นมีผ้าอาบน้ำมันคลุมไว้ มองไม่เห็นว่าเป็นอะไร
ยามนี้ริมเส้นทางน้ำก็ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด มีทั้งวัวและม้าวิ่งวุ่นไปมาไม่น้อย ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนแต่งกายแบบคนเลี้ยงสัตว์ก็ยุ่งวุ่นวายกันไม่หยุด
แรงงานบนเรือส่งเสียงตะโกนหยาบด่าเสียงดัง
“นี่เป็นสัตว์ผู้ใด ไม่ดูแลให้ดี มาถึงนี่แล้ว ทำข้าวของเสียหายไป เอาพวกมันไปขายก็ยังไม่พอชดใช้!”
“ขอโทษด้วยพี่ชาย ไม่รู้เด็กบ้าที่ไหนตัดเชือกขาด วัวและม้าที่โรงเตี๊ยมวิ่งออกมากันหมด ตอนเช้ายังไม่ได้ดื่มน้ำ จึงพากันวิ่งมาที่ริมแม่น้ำนี่!!”
คนเลี้ยงสัตว์เหงื่อท่วมใบหน้าขอโทษขอโพย ไม่นานหวงซานและคนงานสองสามคนจากโรงเตี๊ยมเงินไหลมาก็มาถึง พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ได้แย่ยิ้มเฝื่อน ตะโกนเสียงดังว่า
“พี่ชายทุกท่าน วัวม้าพวกนี้เป็นของแขกที่มาพักที่โรงเตี๊ยมเงินไหลมาของเรา ร้านเราดูแลไม่ดี จึงพากันวิ่งออกมาเช่นนี้ ขออภัยๆ เถ้าแก่เราบอกว่า คืนนี้จะส่งสุราและเนื้อมาให้ทุกท่านเป็นการชดเชย”
หวงซานเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา บรรดาคนริมแม่น้ำก็ไม่อยากเอาเรื่องให้มากนัก ด่าๆ กันไปแล้วก็หันไปทำงานตน ยิ่งยุ่งยิ่งวุ่น น่าเป็นคำบรรยายสภาพในตอนนี้ได้ดีที่สุด
มีคนเลี้ยงสัตว์จับวัวม้าได้จำนวนหนึ่ง หากก็ยังส่งเสียงตะโกนดังไม่หยุด บางคนไล่ต้อนวัวและม้าให้ไกลออกไป ไปทางปากทางออกทะเล วันนี้อากาศร้อนยังส่งเสียงเอะอะดัง หลายคนที่เพิงพักริมฝั่งยุ่งวุ่นวายกันมาทั้งคืน ตอนนี้กำลังนอนกันอยู่ ได้ยินเสียงคนตะโกนบังคับม้าด้านนอกดังมา รบกวนทุกคนจนตื่น ต่างก็โมโหส่งเสียงด่าทอกันดังโหวกเหวก
มีขบวนเรือหนึ่งเลี้ยวเข้ามาบริเวณช่วงสบของคลองส่งน้ำกับแม่น้ำทะเล เรือใหญ่สามสิบกว่าลำ แต่เรือใหญ่เหล่านี้เป็นเรือแล่นในคลองส่งน้ำ ไม่อาจออกสู่ทะเลใหญ่ได้ มาทำไมกัน หรือว่ามาบรรทุกสินค้า เช่นนี้ก็ควรเข้ามากันตอนฟ้ามืดถึงจะถูก
แต่ตอนนี้สองฝั่งวุ่นวายกันไปหมด ใครจะไปสนใจเรือพวกนั้นกัน อย่างไรก็มิใช่มาขนสินค้าออกทะเล ขนถ่ายสินค้าก็ต้องรอกันตอนกลางคืน จะออกทะเลไปตายกันตอนนี้ใครจะสนใจเจ้ากัน
ในที่สุดคนเลี้ยงสัตว์บนฝั่งก็บังคับม้าและวัวให้หยุด พยายามบังคับให้อยู่รอบๆ ตัว คิดจะไล่ต้อนพวกมันกลับไปที่เดิม ขบวนเรือนั้นส่งเรือเล็กหลายลำออกเทียบท่าไม่หยุด ว่าไปก็ช่างบังเอิญ เป็นจุดที่คนเลี้ยงสัตว์หยุดม้าและวัวไว้พอดี
มีคนสังเกตเห็นว่า ม้าและวัวมากองรวมกัน ระยะห่างก็เหมือนจะเท่ากัน และเรือก็จะจอดเทียบอยู่แต่ตรงนั้น
เริ่มรู้สึกว่าผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ จึงตามกันให้ออกจากเพิงมาดู พวกเขาเป็นแค่คนงานบนเรือและพวกแรงงานท่าเรือ เห็นอะไรผิดปกติ ก็แค่ออกมาดูเรื่องแปลกใหม่เท่านั้น
ชาวสำนักนาวาสุคนธ์ในเมืองถูกหวังทงกดไว้แล้ว หากนอกเมืองยังมีอิทธิพลอยู่มาก ทว่าชาวนาวาสุคนธ์หลายพันคนก็รู้จักแต่งานใช้แรงงาน ไม่รู้เรื่องอื่นใดอีก ยามนี้ได้แต่มุงดูตามๆ กันไปเท่านั้น
อย่างไรก็เริ่มมีคนรู้สึกว่าผิดปกติ คิดไปคิดมาหรือว่าควรไปรายงานหัวหน้าสำนักให้รู้ดี ในที่สุดเรือก็เทียบท่า เดิมเรือแต่ละลำจะมีคนงานบนเรือแค่ไม่กี่คน
ยามนี้พอประตูเรือเปิดออก ในนั้นกลับมีชายฉกรรจ์หลายคนกรูกันออกมา พากันวิ่งขึ้นท่า พวกที่มุงดูกันเห็นเช่นนี้ก็พากันตกใจกลัวหันหลังวิ่งกลับเข้าไปด้านหลังทันที
แต่ไม่นานก็ตั้งสติได้ ชายฉกรรจ์จำนวนมากที่กรูออกจากเรือไม่สนใจพวกเขา กลับยุ่งกับงานบนฝั่งไม่หยุด
“อย่าแตกตื่นไป! กลุ่มแรกทำตามที่จัดไว้ จับวัวและม้าเทียมเครื่องลากไว้ กลุ่มสองไปช่วยเรือที่เทียบท่าใช้เชือกมัดปืนใหญ่ไว้ให้แน่นหนา กลุ่มสามไปลากเรือเล็กสองลำนั้นมา ระวังหน่อย อย่าทำดินปืนเปียก”
“ขึ้นฝั่งค่อยหยิบอาวุธ ได้อาวุธแล้วก็รีบไปล้อมด้านนอกตั้งแถวคอยป้องกันไว้!!”
“รีบไปรายงานใต้เท้า เทียบท่าแล้ว เทียบท่าแล้ว!!”
หัวหน้าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรยามนี้ล้วนไม่ได้สวมชุดมัจฉาเวหา หากแต่งกายชุดสั้น บางคนยังถอดเสื้อเปลือยท่อนบน แต่ละคนตะโกนคำสั่งเสียงดัง
บรรดาหัวหน้ายามนี้หากมิได้กำลังแจกจ่ายอาวุธก็จะไปช่วยบรรดาพลทหารทำงาน มีบางคนคว้าเอาเครื่องอานม้าที่นำมาด้วยใส่ให้ม้า ขึ้นขี่ม้าวิ่งเข้าเมือง
เมืองเทียนจินนอกเมืองยามนี้ชุลมุนวุ่นวายอย่างมาก เส้นทางน้ำห่างจากคูเมืองหลายลี้ เรื่องทางนี้ทางนั้นอาจยังไม่รู้ การที่โหวกเหวกวุ่นวายกันเช่นนี้ เป็นเพราะพลทหารเสื้อแพรอึดอัดกันอยู่ในค่ายใหม่มานาน อยู่ๆ ปล่อยออกมา ด้านหน้ามีพลทหารบนหลังม้าถือกระบอง ด้านหลังเป็นกองกำลังสวมชุดปกติ
ในกองกำลังนั้นมีม้าสิบกว่าตัวผูกกับรถม้า ได้ยินเสียงสั่งการรถให้เคลื่อน คนงานร้านสินค้าชุดเดิมหลังจากได้รับการฝึกฝนมาหลายเดือน ตอนนี้ก็นับว่ามีความรู้แบบทหารแล้ว
พลทหารม้าด้านหน้าเห็นอะไรขวางด้านหน้า ก็จะฟาดด้วยแส้ตีด้วยกระบองเพื่อเปิดทางให้ขบวนใหญ่ด้านหลังเคลื่อนตามเข้ามาได้อย่างสะดวก
ในเมืองไม่ว่าที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรหรือเรือนที่มีทหารพำนักอยู่ล้วนปิดประตูใหญ่แน่นหนา จัดคนโรงบ้านกับกองร้อยที่หนึ่งของค่ายหนึ่งเฝ้ารักษาการ หวังทงนำพลทหารม้าหลายสิบนายรอขบวนใหญ่อยู่ด้านหน้า
คนที่ท่าเรือมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นดาบวาววับของบรรดาองครักษ์เสื้อแพรแล้ว ผู้ใดกล้าเข้าใกล้อีก
“มัดเชือกให้แน่นหนา หากเจ้าสิ่งที่หนักพันชั่งนี้หล่นลงไป ใต้เท้าลงโทษทางวินัยทุกคนเป็นแน่…”
“เรียบร้อย บังคับให้สัตว์พวกนั้นเคลื่อนตัวได้แล้ว!!”
บรรดาคนเลี้ยงสัตว์บนท่าเรือไม่วุ่นวายกันอีก พากันตะโกนบังคับฝูงม้าและวัวที่เข้าแถวเรียบร้อยให้อยู่ในระเบียบ เชือกหนาเส้นใหญ่มัดปืนใหญ่ไว้ ค่อยๆ ผ่อนเชือกลากขึ้นท่ามา
“เรือบรรทุกหินหมาสือเทียบท่า!! ขบวนใหญ่จะมาถึงแล้ว!! เตรียมขนถ่าย!!”
“ไม่มีไม้!! ตรงนั้นมีเพิงไม้ไม่ใช่หรือ? รื้อออกมา!!”
………………..
[1] เสิ่นว่านซานเป็นคหบดีใหญ่ในสมัยปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางแห่งราชวงศ์หมิง ภายหลังล่วงเกินฮ่องเต้จึงถูกลงโทษประหารชีวิต ว่ากันว่าที่เขาร่ำรวยมหาศาลก็เพราะมีกะละมังเรียกทรัพย์ใบหนึ่ง
[2] เมืองเทียนจินมีเส้นทางคลองส่งน้ำที่ขุดเชื่อมจากแม่น้ำหวงเหอขึ้นมาตอนเหนือผ่านเทียนจินขึ้นไป มีจุดตัดสบต่อจากเมืองเทียนจินออกทางตะวันออกลงทะเลป๋อไห่ชื่อว่า แม่น้ำทะเล