Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 31

ตอนที่ 31 ถามมากตอบมาก

ได้ยินผู้อาวุโสผู้นั้นสอบถาม ผู้ติดตามก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวมองขันทีหูผู้นั้นที่อยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าฉงน

ขันทีหูที่กำลังได้ใจอย่างมากอยู่นั้นในที่สุดก็รู้สึกได้ว่าเรื่องเริ่มไม่ใช่อย่างนี้แล้ว จึงผินกายกลับไปมอง…

ร่างเสือสั่นเทิ้ม หวังทงได้อ่านสำนวนนี้จากในหนังสือมาหลายครั้ง แต่ก็ยากที่จะจินตนาการถึง วันนี้กลับได้เห็นของจริง ตอนขันทีหูที่อยู่บนเก้าอี้ผินกายกลับไปมอง ร่างกายสั่นเทิ้มทั้งตัวอย่างรุนแรงไปชั่วขณะหนึ่ง

ขณะที่ทุกคนคิดว่าเขาจะเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ ขันทีหูกลับตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน ยังคงรักษาท่วงท่าบิดเอวเอียงคอหันกลับมา

พอหันกลับมา ผู้ติดตามร่างสูงใหญ่ผู้นั้นเห็นอย่างชัดเจน รีบเข้าไปกระซิบรายงานว่า

“ขันทีหูเสี่ยวเหลียงหัวหน้าขันทีสำนักดูแลพระราชฐาน ดูแลบริเวณประตูอู่เหมิน สามตำหนักใหญ่ ตำหนักและห้องต่างๆ ของวังหลวงทิศใต้…”

ได้ยินคำบอกกล่าวนี้ ผู้อาวุโสก็พยักหน้าน้อยๆ สีหน้ายังคงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ราวกับกำลังกล่าวถึงสิ่งของที่ไม่สำคัญอะไรสักอย่าง ไม่สนใจว่าจะเป็นอย่างไร

เสียง ‘โครม’ ดังขึ้น ขันทีหูในที่สุดก็ขยับแล้ว แต่เป็นเพราะลื่นร่วงลงจากเก้าอี้ สองมือสองเข่าหนึ่งหน้าผากล้วนหมอบชิดติดพื้น สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ขันทีสามคนด้านข้างกับหลิวซินหย่งพากันตะลึงงัน ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอันใด

ขันทีหูที่หมอบอยู่นั้นเหมือนมีอะไรติดคออยู่ แม้จะพยายามเค้นเสียงแต่กลับไร้เสียงเปล่งออกมา สุดท้ายก็เค้นเสียงกล่าวขึ้นเป็นคำๆ แต่ก็ติดขัดพูดจาไม่ชัด

ผู้อาวุโสที่เข้ามานั้นเผยสีหน้ารังเกียจออกมา โบกมือกล่าวเสียงนิ่งเรียบขึ้น

“อย่าได้กล่าววาจาอันใด ไสหัวออกไป”

ขันทีหูเมื่อได้ยินตัวเช่นนั้นก็หยุดสั่นทันที รู้สึกผ่อนคลายลง มือเท้าสะเปะสะปะคลานขึ้นจากพื้น ก้มหน้าก้มตัวต่ำ แม้แต่หลิวซินหย่งก็ไม่สนใจ รีบวิ่งออกไปข้างนอกทันที

หลิวซินหย่งกับพวกที่เหลือรวมสี่คนพอได้สติ ก็รีบวิ่งลนลานตามออกไป แม้แต่หน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมอง ยังหลบนายบ่าวสองคนนั้นตรงประตูอีกด้วย

ไม่เพียงแต่พวกที่มาหาเรื่องต่างก็ตกใจลนลานกันไปหมด แม้แต่หวังทงก็ยังยืนทื่ออยู่ตรงนั้น บุคคลที่สามารถข่มขวัญขันทีที่มีลำดับขั้นเช่นนี้ได้ ย่อมเป็นผู้มากบารมีแน่นอน!

“ยืนนิ่งเช่นนี้ ไม่ใช่หลักการของการต้อนรับแขก!”

น้ำเสียงที่กล่าวอย่างอ่อนโยน หวังทงเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายไม่มีหนวดเครา คนผู้นี้น่าจะเป็นขันที แต่ลำดับไหนกันถึงทำให้ขันที่มีตำแหน่งตกใจกลัวจนเป็นเช่นนั้นไปได้ หวังทงคิดไตร่ตรองในใจ ก่อนจะได้สติยิ้มกล่าวว่า

“ต้อนรับท่านทั้งสองบกพร่องไปจริงๆ น่าอายๆ เชิญนั่ง พวกเจ้ามาเก็บกวาดหน่อย”

สายตาที่บรรดาพ่อครัวในร้านมองหวังทงนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เถ้าแก่ของเรายอดเยี่ยมไปเลย ถึงกับรู้จักคนใหญ่คนโตเช่นนี้ แม้แต่กงกงในวังก็ยังกลัวจนปัสสาวะเล็ด

รีบหยิบกะลังมังเข้ามาเช็ดถูกให้สะอาด สองนายบ่าวนั้นมองมาแวบหนึ่ง ผู้สูงวัยกว่ายิ้มและกล่าวขึ้น

“แม้อายุยังน้อย แต่ก็นับว่ามีความสุขุม”

แม้ไม่รู้ว่าระดับชั้นอีกฝ่ายใหญ่โตแค่ไหน แต่อย่างไรก็ต้องให้หวังทงมาต้อนรับเอง หวังทงก้าวเท้าเข้ามาสองสามก้าวกล่าวว่า

“ร้านเราวันนี้มีปลาอินทรีทอดเค็ม สามชั้นน้ำแดง เนื้อชุปแป้งทอดผัดเปรี้ยวหวาน จานผักก็มีผักกาดขาวตุ๋นกากหมู ผัดไชเท้าฝอย น้ำซุปจะเป็นน้ำซุปกระดูกแพะ และมีผักดองแถมให้ด้วย”

ขณะพูดอยู่นั้น ได้ยินเสียงดังมาจากนอกประตู ตามมาด้วยเสียงตบอีกหลายที เสียงดังก้องเป็นอย่างยิ่ง

เสียงฟังแล้วคุ้นหูอยู่บ้าง น่ากลัวว่าจะเป็นขันทีหูตบบ้องหูใครสักคน หวังทงในใจก็ร้องอย่างสะใจ หากใบหน้ายังคงสะกดให้นิ่งเฉย

ผู้อาวุโสผู้นั้นค่อยๆ นั่งลง ผู้ติดตามเบื้องหลังยืนอยู่ข้างกาย ผู้อาวุโสยิ้มและกล่าวกับหวังทงว่า

“ได้ยินว่าผักกาดขาวตุ๋นกากหมูของเจ้ารสชาติไม่เลว เอาจานนี้แล้วกัน!”

หวังทงรีบรับคำ เรียกให้พ่อครัวจัดอาหารมา ตอนนี้หวังทงพอเข้าใจแล้ว ที่มาที่ไปทุกอย่างมีความเป็นไปได้สูงว่าต้องมาจากเจ้าเด็กอ้วนกับขุนนางนอกราชการผู้นั้น ได้พบผู้มากบารมีมาช่วยเหลือแล้ว

คิดถึงขุนนางผู้นั้นที่สอบถามตนเองว่าทำไม่ถึงไม่สอบเข้ารับราชการขุนนางฝ่ายบู๊ไปเลย หวังทงก็ใจเต้นตึก หรือตนเองทำอะไรผิดไป สิ่งที่ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่นั้นกระทำก็แปลกยิ่งนัก หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวดุจหิมะออกมาจากอกเสื้อแล้วเช็ดโต๊ะไปสองสามที จากนั้นก็หยิบขึ้นมาเพ่งมอง

โต๊ะเก้าอี้ในร้านเก็บกวาดเช็ดถูอย่างสะอาด หวังทงมีความเข้มงวดในเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็เป็นร้านอาหาร คราบน้ำมันอะไรพวกนี้ก็ต้องมีบ้าง หวังทงมองการกระทำของอีกฝ่าย อดรู้สึกเสียดายผ้าเช็ดหน้าเลอะคราบน้ำมันนั้นไม่ได้ น่าเสียดายผ้าเช็ดหน้าชั้นดีนั่น

“ทำงานนับว่าละเอียด!”

ผู้อาวุโสวิจารณ์เสียงเรียบ และยังถามต่อว่า

“ร้านนี้มีทั้งหมด 37 คน หัวหน้าหน่วยจางซื่อเฉียงและนางหม่าหญิงหม้ายข้างบ้านช่วยเหลือการงานเจ้า แต่งานใหญ่งานเล็กก็ต้องพึ่งพาเจ้า ทำไหวหรือ?”

หวังทงไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย ขันทีอาวุโสท่านนี้แม้ไม่ได้บอกกล่าวสถานะตนชัดแจ้ง แต่ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน หวังทงจึงมีท่าทีสุภาพอ่อนน้อมอย่างมาก ก้มตัวตอบว่า

“กำหนดรางวัลและบทลงโทษให้ชัดเจน ตั้งใจตรวจสอบและจัดการ ก็พอไหวขอรับ”

คำตอบนี้ทำให้ผู้อาวุโสผู้นั้นรู้สึกแปลกใจ หลังจากนิ่งอึ้งไป ก็พยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าพึงพอใจ เอ่ยถามต่อว่า

“สมุดบัญชีในร้านใครเป็นผู้จด เจ้าตรวจสอบอย่างไร?”

“ข้าน้อยเป็นผู้จด เงินทองข้าวของเข้าออกล้วนแจงอย่างละเอียด นับว่าละเอียดพอได้ขอรับ”

ครั้งนี้ทำให้ผู้อาวุโสผู้นั้นตกใจไปจริงๆ ท่าทางลังเลเอ่ยขึ้นว่า

“เอาสมุดบัญชีมาดู!”

อยู่ในร้านผู้อื่นกลับเอ่ยปากขอดูสมุดบัญชีของอีกฝ่าย ช่างเป็นเรื่องเหลวไหวสิ้นดี แต่ผู้อาวุโสผู้นั้นพูดจาหนักแน่น ฉายแววอำนาจบารมีชัดเจน ก็นับว่าอีกฝ่ายได้ช่วยเหลือตนเอาไว้ หวังทงจึงไม่ลังเลอันใด ไปที่โต๊ะหยิบสมุดบัญชีออกมา

ผู้อาวุโสเปิดสมุดบัญชี มองแต่ละบรรทัดที่เป็นรอยดินสอถ่านเขียนอยู่ อดส่ายหน้ายิ้มไม่ได้ หากอ่านอย่างละเอียดอีกหน่อย ใบหน้ากลับตกใจจนเปลี่ยนสี เงยหน้าถามหวังทง

“บัญชีเล่มนี้เจ้าจดหรือ?”

หวังทงพยักหน้า ผู้อาวุโสผู้นั้นยังสั่งอย่างนุ่มนวลต่ออีกว่า

“เอาดินสอถ่านของเจ้ามา เขียนอักษรให้ข้าดู”

น้ำเสียงนุ่มนวล แต่กลับแฝงไปด้วยคำสั่ง ไม่เหลือที่ให้ลังเลสงสัย เรียกตนเองว่า ‘ข้า’ ยิ่งทำให้หวังทงมั่นใจว่าสถานะของอีกฝ่ายต้องสูงส่งมาก ถูกคนสั่งไปสั่งมาแม้ว่าในใจจะไม่ชอบใจนัก แต่ก็ยังต้องไปหยิบดินสอถ่านกับกระดาษมา

ผู้อาวุโสเอ่ยตัวอักษรและคำพูดสองสามประโยค หวังทงก็เขียนออกมา ดินสอถ่านย่อมไม่อาจเขียนได้เป็นลายอักษรพู่กันที่สวยงาม แต่เรื่องที่เขียนหนังสือได้นี้ไม่น่ากังขาอีกต่อไป อย่างน้อยหวังทงเองก็พอเขียนได้ มักจะฝึกฝนเปรียบเทียบอยู่เสมอ ในยุคนี้จะใช้อักษรจีนตัวย่อแบบยุคปัจจุบันก็คงไม่ได้

หลังจากทำเรื่องน่าประหลาดนี้ไปแล้ว ผู้อาวุโสก็ไม่เอ่ยอะไรอีก กลับหันไปเตรียมลิ้มรสผักกาดขาวตุ๋นกากหมูที่ยกมาตั้ง หยิบช้อนตักซุปเข้าปากเพียงแค่ชิมรสชาติ จากนั้นก็กล่าวว่า

“มีฝีมืออยู่บ้าง ไม่เลวเลย”

คนที่เคยได้ชิมผักกาดขาวตุ๋นกากหมู ส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกถึงรสหวานชุ่มคอ นับว่าไม่น่าแปลกอันใด ข้างนอกเงียบผิดปกติ ถึงตอนนี้ยังไม่มีคนเข้าร้าน เหมือนกับตอนที่เจ้าเด็กอ้วนกับผู้ติดตามสองคนนั้นมาเยือน แต่หวังทงกลับมีความรู้สึกที่แปลกประหลาดขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง สถานการณ์ตอนนี้กับตอนสัมภาษณ์งานในสมัยนั้นเหมือนกันมาก ผู้อาวุโสผู้นี้เป็นกรรมการสอบ ตนเองเป็นคนถูกสัมภาษณ์

สถานการณ์เช่นนี้ช่างน่าสับสน ความรู้สึกถูกสัมภาษณ์นั้นยิ่งทำให้รู้สึกหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ ทำไมอยู่ๆ จึงมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมากัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version