ตอนที่ 30 ลูกค้าที่มาคือสองนายบ่าว
ทุกคนล้วนเป็นประชาชนคนธรรมดา ข้อหาล่วงเกินเบื้องสูงนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจอย่างมาก ตอนฟังนักเล่านิทานก็มักได้ยินว่าโทษนี้ประหารเก้าชั่วโคตรเลยทีเดียว เถ้าแก่โดนข้อหานี้ หรือทุกคนต้องโดนลากเข้าไปด้วย พ่อครัวผู้นี้ร้องเสียง ‘โอะ’ ดังขึ้น แล้วก็หันหลังวิ่งออกนอกประตูไป
ปฏิกิริยาของเขานับว่าไม่เลว คนอื่นๆ กลับตกใจจนนิ่งอึ้งอยู่กับที่ เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หูกงกงและหลิวซินหย่งก็ยิ่งได้ใจมากขึ้น
เดิมคิดว่าเจ้าหวังทงนี่คงจะลนลานหน้าซีดรีบคุกเข่าขอร้อง คิดไม่ถึงว่าสีหน้าหวังทงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง หากก็ประสานมือถามขึ้นว่า
“บังอาจเรียนถามหูกงกงว่าท่านประจำการที่ใด เหตุใดจึงกล่าวว่าข้าน้อยล่วงเกินเบื้องสูง!!”
อำนาจในวังมีมากเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีอำนาจกล่าวโทษจับกุมได้ ยิ่งเป็นการจัดการกับองครักษ์เสื้อแพรผู้หนึ่งด้วยแล้ว ดูท่าทางแล้ว ใครก็รู้ว่าเป็นพวกแอบอ้างมาหาเรื่อง หากไม่สอบถามให้ชัดเจน ก็คงถูกอีกฝ่ายถืออำนาจขี่คอข่มขวัญเป็นแน่
ท่าทีสงบนิ่งของหวังทงทำให้หูกงกงตะลึงอึ้งไป และความโกรธกรุ่นตามมาอย่างเร็ว ขันทีข้างกายผู้หนึ่งกล่าวด้วยเสียงแหลมเล็กขึ้นว่า
“เจ้าสุนัขตาบอด ท่านนี้คือหูกงกง หัวหน้าขันทีสำนักดูแลพระราชฐาน[1] รู้แล้วก็รีบคุกเข่ารับผิดซะ ขอให้หูกงกงเมตตา!”
ระบบงานในสำนัดกดูแลพระราชฐานชั้นในแบ่งเป็น 12 สำนักขันที 4 ส่วนงาน[2] และ 8 หน่วยงานย่อย[3] รวม 24 แผนก สำนักดูแลพระราชฐานรับหน้าที่ปัดกวาดดูแลทำความสะอาดห้องหับในแต่ละพระตำหนักในวังหลวง เท่ากับแผนกดูแลอสังหาริมทรัพย์ในยุคสมัยต่อมา แต่ก็นับว่ามีอำนาจอยู่บ้างจริงๆ
แต่นอกวังนั้น ทุกคนไม่ค่อยรู้จักตำแหน่งนี้นัก แม้แต่หวังทงก็ต้องคิดอยู่นานกว่าจะนึกออกว่าหน่วยงานไหน หากในวังนั้นแต่ละฝ่ายต่างร่วมมือกัน สำนักดูแลพระราชฐานแม้ไร้อำนาจ แต่มีสิทธิ์พูดคุยกับสำนักส่วนพระองค์และสำนักอาชาหลวง หากมีเรื่องเกิดขึ้นมาก็คงยุ่งยากอยู่มาก
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หวังทงไม่อาจปรับตัวเข้ากับสมัยนี้ได้ เรื่องอำนาจในวังหลวงนั้น คนในยุคนี้ก็ให้ความยำเกรง ไม่อาจล่วงเกิน ใครจะรู้ว่าขันทีผู้นี้เป็นดวงใจของเจ้านายท่านใดในวัง หากพลาดไปเพียงเล็กน้อยก็อาจนำภัยใหญ่มาสู่ตัวได้
ท่าทางลังเลสงสัยของหวังทง ทำให้หูกงกงยิ่งโมโห ตวาดเสียงดังว่า
“ตอนนี้ใกล้ปีใหม่ ในวังล้วนงานการล้นมือ เจ้ากลับเปิดร้านเชื้อเชิญคนในวังออกมา เสียเวลาเตรียมงานฉลอง ทำให้ฮ่องเต้ ไทเฮาและเจ้านายหลายพระองค์ต้องเสียเวลาไปด้วย เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่ หรือว่ามีแผนการร้ายที่ไม่อาจคาดเดากัน!!”
เรื่องส่วนพระองค์ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ขันทีหูหาเรื่องใส่ความเช่นนี้ คงไม่อาจหลีกพ้นความผิดไปได้ พอตั้งข้อหานี้เสร็จ พลันเห็นสีหน้าหวังทงแปรเปลี่ยน หูกงกงก็คลายโทสะลง เอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้ กล่าวเสียงเย็นเยียบว่า
“อย่าได้คิดว่าสวมชุดมัจฉาเวหา ก็คิดว่าตนเองนั้นสำคัญ รอให้สำนักตงจีซื่อฉั่ง[4]นำคนมามาจับกุมก่อนเถอะ เห็บเหาอย่างเจ้าจะมีอะไร”
สำนักตงจีซื่อฉั่งก็คือชื่อเต็มของสำนักตงฉั่งหรือสำนักบูรพา เป็นสำนักทรงอิทธิพลมากกว่าสำนักองครักษ์เสื้อแพร ในใจดำดิ่งลงไม่ได้อยู่กับตัวหวังทง จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายมาที่นี่ก็เพื่อจะต้องก่อเรื่องให้ใหญ่โตเช่นนี้ แต่ตนเองก็ไม่มีวิธีต้านทานอำนาจแต่อย่างใด ได้แต่ให้อีกฝ่ายบีบคั้นตามอำเภอใจ
หากมีข้อดีอยู่ประการหนึ่ง เรื่องนี้อาจจะมีทางเจรจาได้ หากขันทีผู้นี้กับหลิวซินหย่งไม่อยากมาเจรจา เกรงว่าก็แค่ส่งเจ้าหน้าที่มาจับกุมก็ได้แล้ว
กิจการที่ก่อร่างสร้างตัวมาอย่างยากลำบากนี้กลับต้องถูกผู้อื่นแย่งชิงไป หวังทงรู้สึกยอมไม่ได้ แต่อำนาจอิทธิพลที่ต่างกันเห็นอยู่ตรงหน้า จำเป็นต้องกัดฟันก้มหัวให้
หวังทงคลำมีดสั้นที่เอว อดกลั้นที่จะไม่ลงมือกับพวกองครักษ์เสื้อแพรด้วยกัน ยังพอมีทางเจรจากลับคืน หากทำร้ายคนในวัง นั่นก็คงต้องพบกับข้อหาล่วงเกินพระบารมีขั้นสูงสุด คงต้องโดนประหารเก้าชั่วโคตรจริงๆ โทษตายสถานเดียว
ในสมองคิดอะไรวุ่นวายมากมาย สุดท้ายหวังทงก็ทำเพียงประสานมือกล่าวเสียงอ่อนว่า
“หูกงกงต้องการให้ทำอย่างไร?”
ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่นานก็มีขันทีระดับล่างผู้หนึ่งแหวกม่านจะเข้ามากินข้าว แต่ก็ถูกขันทีผู้ติดตามขันทีหูด่าไล่ออกไป
บรรยากาศด้านในเคร่งเครียด ด้านนอกบรรดาขันทีที่มาที่นี่เข้าไปในร้านไม่ได้ ต่างก็สอบถามวิพากษ์วิจารณ์กัน เสียงเซ็งแซ่จากท้องถนนด้านนอกดังเข้ามาถึงข้างใน
หลิวซินหย่งเห็นหวังทงยอมอ่อนข้อ ก็สบตากับหูกงกง จากนั้นเอ่ยปากว่า
“ทุกคนต่างเป็นพี่น้องร่วมสังกัด ก็ไม่อยากจะบีบจนตรอก เจ้าก็ลาออกจากตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพร มอบร้านนี้ให้เรา พร้อมเงินอีก 500 ตำลึง แล้วก็ไสหัวออกจากเมืองหลวงไปซะ”
ที่กล่าวกันว่าหักกระดูกและดูดไขกระดูกหมดจดก็คงเป็นเช่นนี้เอง ร้านของหวังทงเปิดมาถึงตอนนี้กำไรมาแค่ 100 กว่าตำลึง อีก 300 ตำลึงคงต้องเอาเงินสะสมก้อนสุดท้ายมาโปะเพิ่ม
พอถึงตอนไม่มีเงินติดตัว ไม่มีอำนาจวาสนา จะเป็นหรือตายล้วนไม่ได้อยู่ในมือตนเองแล้ว แต่หากไม่รับปาก คิดไม่คิดมา ก็คงแค่ตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น
ตอนแรกบอกว่า ร้านนี้กระทบต่อการเตรียมงานฉลองปีใหม่ในวัง ตอนนี้กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยถึง ขันทีหูและหลิวซินหย่งต่างมีสีหน้าได้ใจยิ่ง การค้าแสนจะรุ่งเรืองนี้จะตกถึงมือแล้ว ยังได้กำจัดตะปูตำตาตัวนี้ออกไปอีก เรื่องกำลังจะสำเร็จอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ทั้งกำจัดศัตรู ทั้งได้ผลประโยชน์ ช่างน่าชื่นใจเสียจริง
“เป็นเพราะข้าเมตตา ให้ทางรอดแก่เจ้า หากเป็นผู้อื่น …”
ขันทีหูกำลังหยอกอย่างสบายอารมณ์ สนุกสนานอยู่กับเกมแมวหยอกหนู พ่อครัวในร้านไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย หวังทงสีหน้าเครียด กำลังคิดว่าจะพุ่งชนเบื้องหน้านี้อย่างไร มือคลำมีดสั้น ในร้านไม่มีใครทันสังเกตว่าเสียงบนถนนนั้นเงียบสนิทลง
ในตอนนี้เอง ม่านร้านก็เปิดออก มีคนสองคนเดินเข้ามา ยังอีกนานกว่าจะเวลาอาหารกลางวัน หรือว่าขุนนางนอกราชการกับเจ้าเด็กอ้วนมา เห็นขุนนางผู้นั้นท่าทางมีบารมี ไม่แน่อาจจะช่วยตนให้พ้นทางตันนี้ได้ หวังทงหันกายไปมอง กลับพบว่าที่มานั้นไม่ใช่ แต่เป็นผู้ใหญ่สองคน
“หูกงกงจากวังหลวงกำลังปฏิบัติภารกิจ ผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไป!!”
เสียงแหลมเล็กของผู้ติดตามขันทีหูกล่าวขึ้นหนึ่งประโยค คาดว่าเพราะเห็นว่าสองคนที่มานั้นมิใช่ชาวบ้านธรรมดา จึงไม่ได้กล่าววาจาหยาบระคายหู
กงกงในวังปฏิบัติภารกิจ หากได้ยิน ถ้าไม่ใช่บรรดาผู้ใหญ่ในราชสำนักแล้ว เป็นแค่ขุนนางธรรดาก็ล้วนต้องหลีกทาง จะว่าไป ผู้ใหญ่ในราชสำนักจะมาเยือนร้านเล็กๆ นี่ได้อย่างไร
หากสองคนนั้นก็ไม่ได้จากไป ชายวัยกลางคนอึ้งไปก่อนจะหันไปถามว่า
“หูกงกง สำนักขันทีไหนกัน?”
หลิวซินหย่งเดิมคิดจะขึ้นเสียงใส่ หากฟังดูรู้สึกว่ามันผิดแปลกไปจึงกลืนคำพูดลงท้องไป ชายผู้นั้นสวมชุดขุนนางนอกราชการตัวยาวลายเงินตราสีแดงเข้ม สวมหมวกทรงสี่เหลี่ยมแบบบัณฑิตลัทธิขงจื๊อ ผู้นี้อายุราวสี่ห้าสิบ ใบหน้าเหลี่ยม ดวงตาฉายแววเมตตา ด้านหลังยังมีอีกผู้หนึ่งแต่งกายแบบพ่อบ้าน สวมชุดธรรมดากับหมวกใบเล็ก
ดูเหมือนเป็นนายบ่าวออกท่องเที่ยว แต่กิริยาท่าทางขุนนางนอกราชการผู้นั้นมีบารมีน่าเกรงขามบางอย่าง ทำให้รู้สึกเกรงกลัว บุคคลระดับนี้หวังทงเคยพบเห็นมาก่อน เคยเห็นไกลๆ ตอนคนใหญ่คนโตมาเยี่ยมโรงเรียน ตอนนั้นยังต้องทอดถอนใจ รู้สึกว่าผู้มีบารมีนั้นช่างแตกต่างจากคนทั่วไป
สำหรับคนรับใช้ผู้นั้น อายุราวสามสิบกว่า รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดุดัน ท่าทีระแวดระวัง เห็นชัดว่าเป็นพวกแม่ทัพใหญ่ หากเมื่อสวมชุดชาวบ้านระดับล่างที่พอดีตัว ก็จะแลดูขัดตาอย่างยิ่ง
…………………………
[1] สำนักดูแลพระราชฐาน ทำหน้าที่ดูแลความสะอาดของพระตำหนักในวัง เป็นสำนักขันทีหนึ่งใน 12 สำนักขันทีสมัยราชวงศ์หมิง ที่แบ่งกันดูแลงานต่างๆ ในวังหลวง นอกจากนี้ยังมีสำนักส่วนพระองค์ ทำหน้าที่ดูแลเรื่องที่เกี่ยวกับฮ่องเต้โดยเฉพาะ เช่น การลงคำสั่งด้วยชาดแดงในฎีกา ออกราชโองการ สำนักอาชาหลวง ทำหน้าที่ดูแลม้า ภายหลังมีอำนาจคุมกองกำลังในวัง สำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ ทำหน้าที่ดูแลเครื่องใช้ที่ทำจากไม้ในวัง เช่น ฉากบัง เก้าอี้ และสำนักห้องเครื่อง ทำหน้าที่ดูแลเครื่องเสวย เป็นต้น
[2] 4 ส่วนงาน หมายถึงส่วนงานเกี่ยวกับ จัดหาท่อนฟืน ตีฆ้องตีกลอง ทำกระดาษ และจัดน้ำสรง
[3] 8 หน่วยงานย่อย หมายถึงหน่วยงานย่อยเกี่ยวกับการจัดทำอาวุธ เครื่องประดับทอง หมวกประดับ เครื่องแต่งกาย เครื่องปรุงอาหาร วัตถุดิบปรุงอาหาร เป็นต้น
[4] สำนักตงจีซื่อฉั่งในสมัยราชวงศ์หมิงมีหน้าที่สำคัญในการสืบหาข่าวกรองความมั่นคง